.....สยามเซ็นเตอร์ ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง เคยได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมแฟชั่นความล้ำหน้าของกระแสวัยรุ่น สถานที่นี้เป็นการเอาลักษณะเด่นของแหล่ง ช็อปปิ้งเข้าไว้ด้วยกัน อย่างความหลากหลายของสินค้าในตลาดนัดสวนจตุจักร และความสะดวกสบายในห้างสรรพสินค้าเข้ามารวมกันไว้ในสถานที่เดียว
จำได้เมื่อสัก 20 ปีก่อน ถ้าผมจะไปดูสาว สยามเซ็นเตอร์ ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆของผม ขึ้นอยู่กับว่าอยากดูสาวแบบไหน ถ้าอยากดูสาวเซอร์ ต้องไปเดอะมอล์ เพื่อไปดูสาวราม อยากดูสาวมั่นต้องไปท่าพระจันทร์ ธรรมศาสตร์ แต่ถ้าอยากดูสาวๆลูกคุณหนู สยามเซ็นเตอร์คือตัวเลือกที่ดีที่สุดของผม สาวจุฬากระโปรงยาวคลุมข้อเท้า หรือกระโปรงทรงเอคลุมหัวเข่า เข้ากับเสื้อนักศึกษาที่ไม่คับติ้วจนอวัยวะบางส่วนล้นทะลัก ก็ทำให้หนุ่มนักศึกษาสถาบันชายขอบอย่างผม ต้องดั้นด้น เดินทางจากลาดกระบังเข้าสู่ใจกลางกรุง
อ่านมา 2 ย่อหน้า ท่านที่เข้ามาอ่านกะทู้นี้ คงคิดว่า ไอ้พระรองมันพล่ามอะไรของมันหว่า ไม่เห็นเกี่ยวกับการเมือง เฉือก(ส)ตั้งกะทู้ในห้องราชดำเนินทำไม ก็ต้องบอกว่า คนประเภทเยอะไว้ก่อนอย่างผม ก็ต้องมีการอารัมภบท(พล่าม) กันสักหน่อย ที่ท่านด่านั้น ถูกแล้ว ผมไม่ขอโต้เถียงแต่อย่างใด
ประเด็นของผมก็คือ รูปแบบของม็อบในตอนนี้ ก็ใช้รูปแบบเดียวกับการสร้างสยามเซ็นเตอร์ คือสร้างภาพให้ตัวเองดูเป็นศูนย์รวมของความล้ำหน้าของกลุ่มคนในประเทศ การดึงคนในอาชีพที่ได้การยอมรับจากสังคมเข้ามาเป็นพวก อย่าง ข้าราชการ แพทย์ พยาบาล ดารานักแสดง นักศึกษา แล้วสื่อสารประชาสัมพันธ์ออกไป สร้างภาพให้ม็อบกลายเป็นแหล่งรวมความคิดจากบุคคลแถวหน้าของสังคม คล้ายกับสยามเซ็นเตอร์ในสมัยก่อน ที่เป็นแหล่งรวมสินค้าชั้นนำในโลกของแฟชั่น
ในยุคก่อน กระแสเสื้อผ้าไหนมาแรงให้ไปดูที่สยามเซ็นเตอร์ นั้นแสดงว่าสยามเซ็นเตอร์ เป็นผู้เกาะกุมกระแสความสนใจในเรื่องแฟชั่น ร้านรวงต่างๆในสยามเซ็นเตอร์ ก็มักจะนำสินค้าที่อยู่ในกระแส หรือรวมหัวกันสร้างกระแสเองของร้านค้าแต่ละร้าน โดยพากันออกมาเสนอขายด้วยการใส่หุ่นโชว์ หรือแขวนขายกันอย่างพร้อมเพียง จนทำให้คนที่ไปเดินรู้สึกว่า หากไม่มีเสื้อผ้าอย่างที่ร้านเอาออกมาโชว์ อาจจะตกกระแสแฟชั่นได้
ผมจำได้ว่า ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็หลงไปซื้อเสื้อลายสก็อตจากสยามเซ็นเตอร์ เพราะทุกร้านมันก็โชว์แต่เสื้อลายสก็อต ตามกระแส เต๋า สมชาย ดารานักร้องที่กำลังดังในขณะนั้น ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่ได้ชอบดาราศิลปินคนนี้สักเท่าไร เพราะเห็นกันมาตั้งแต่ก่อนเขาเข้าวงการ (เรียนที่เดียวกันในสมัยมัธยม)
และม็อบก็ใช้วิธีการเดียวกันในการสร้างกระแส โดยใช้โซเซียลเน็ตเวิร์ครุกเล้า ป้อนข้อมูลที่หวังผลทางการเมือง เพื่อช่วงชิงมวลชนชั้นกลาง ที่กำลังนิยมสังคมออนไลน์กระแส ทำหน้าที่แพร่กระจายข้อมูลเหล่านั้นออกไปยังบุคคลรอบข้าง ซึ่งการส่งออกข้อมูลลักษณะนี้ เป็นแพร่ข้อมูลเชิงบังคับ เพราะการปฏิเสธกระทำได้ลำบาก จะไม่กด Like ก็เกรงใจเพื่อน เมื่อถูกรบเร้าจะไม่กดแชร์ก็ดูไม่ดี เพื่อนจะว่าเอาได้ จะปฏิเสธหรือไม่เห็นด้วย ก็จะกลายเป็นแกะดำ และกลายเป็นเป้าโจมตีจากสังคมโซเซียล
ซึ่งถ้าไม่นับรวมเรื่องการบิดเบือนข้อมูลที่แพร่กระจายอยู่เกลื่อนสังคมออนไลน์ในขณะนี้ ผมว่าม็อบทำได้ดีกว่า สยามเซ็นเตอร์ในยุคก่อนเสียอีก ในเรื่องการสร้างกระแส
แต่ก็มีความผิดพลาดในการสร้างกระแสของม็อบ เมื่อมีความพยายามใช้ความรุนแรงของนักศึกษารามคำแหง ซึ่งพุ่งเป้าให้สาธารณะชนมองเห็นว่า เป็นความผิดพลาดของรัฐ หวังเป็นชนวนบ่งชี้ว่าฝ่ายตรงข้าม(เสื้อแดง) หรือรัฐใช้อำนาจอย่างโหดร้ายในการใช้กำลังเข้าคลี่คลายสถานการณ์
ม็อบก็พยายามแก้เก้อ ด้วยการบังคับให้ฟรีทีวีถ่ายทอดข้อความที่ผ่านการปรุงแต่งบิดเบือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จากการแถลงของแกนนำ ก็เพื่อต้องการสร้างกระแสให้ลุกกระพือมากขึ้นอีก พยายามอ้างทหารเพื่อหาแนวร่วมล่อหลอกให้การสนับสนุนที่มีอยู่จากมวลชน ที่อยู่ใต้อาณัติการปลุกกระแส ยอมเป็นเครื่องมือในการทางการเมืองของกลุ่มแกนนำต่อไป
และด้วยความหมายของคำว่า สยามเซ็นเตอร์ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ แปลเป็นภาษาชาวบ้านง่ายๆ ตามความเข้าใจของผม สยามเซ็นเตอร์ แปลว่าศูนย์กลางประเทศไทย ม็อบเองก็พยายามทำตัวให้เป็นเช่นนั้น คือพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง การปิดถนนหรือยึดสถานที่ราชการ ก็เพราะอยากให้ตัวเองเป็นข่าว มิใช่อารยะขัดขืนแต่ประการใด
แต่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยแตกต่างจากแฟชั่น คำว่า สยามเซ็นเตอร์ อาจจะเป็นศูนย์กลางของแฟชั่นในเมืองไทย แต่ถ้าจะเปรียบเทียบในมุมมองของผมกับคำว่า สยามเซ็นเตอร์ กับการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ผมจะเปรียบเทียบว่า เป็นรูปแบบการเมืองที่มีประชาชนทั้งหมดเป็นศูนย์กลาง มิใช่ของกลุ่มบุคลคลคณะใด ที่จะชี้นำหรือสั่งการได้ตามใจชอบ โดยไม่สนใจเสียงของประชาชน
สมัยก่อน ผมไปสยามเซ็นเตอร์เพื่อดูสาวๆจุฬา ในยามที่พวกเธอเดินมากับคนรู้ใจ(แฟน)ของเธอ ผมอาจจะเคยรู้สึกอิจฉาเขาบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดอยากเข้าไปแย่งเพื่อเอาสาวๆเหล่านั้นมาครอบครองให้ได้ เพราะใจยังยั้งคิดถึงกฎระเบียบข้อบังคับอันดีงามของคนไทย ที่มีมาตั้งแต่อดีต คือ ศีลธรรม ขนบธรรมเนียม ผมจึงได้แต่ใช้สายตาหาความสุขกับการมองสาวๆใน สยามเซ็นเตอร์ เช่น เดียวกับหนุ่มๆอีกหลายคนที่ไปสถานที่นั้นด้วยจุดประสงค์เดียวกับผม หรือต่อให้เป็นสาวๆที่ไม่มีคู่เดินมาด้วย หนุ่มๆสมัยผมก็ไม่คิดเข้าไปจีบ เพราะคิดว่าคงเป็นการไม่เหมาะสมที่จะไปทำกิริยาแบบนั้นกับคนที่เขาไม่รู้จักเรามาก่อน
สำหรับพวกหนุ่มอย่างผม ไปสยามเซ็นเตอร์คือไปดูสาว ดูแบบดูเฉยๆไม่ได้คิดอะไร ความสวยงาม ความน่ารักของสาวๆเหล่านั้น คือสมบัติสาธารณะ ที่ไม่ควรมีใครไปแตะต้องหรือยึดเอาไปครอบครองแต่ผู้เดียว
ประชาธิปไตยเองก็เช่นกัน มันควรจะเป็นแบบสาวๆที่ สยามเซ็นเตอร์ ที่ไม่ควรมีใครไปแตะต้องหรือยึดเอาไปครอบครองแต่ผู้เดียว เพราะอำนาจในการตัดสินใจใดๆ ควรเป็นของประชาชนทั้งหมดเป็นผู้เลือกตัวแทนของเขา เข้าไปทำหน้าที่ตัดสินใจ จะเลือกผิดเลือกพลาดอย่างไร กติกามันก็ระบุชัดอยู่แล้ว ว่าตัวแทนทำหน้าที่ได้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง หมดวาระแล้วก็เลือกกันใหม่ ตัดสินใจกันใหม่
การชู สภาประชาชน ซึ่งฟังดูคล้ายกับสยามเซ็นเตอร์ทางการเมืองของม็อบ จะไม่ค่อยถูกใจอดีตนักเหล่สาวในสยามเซ็นเตอร์อย่างผมสักเท่าไร เพราะนั้นมันละเมิดสิ่งที่ควรจะเป็นของส่วนรวม และเป็นการกระทำเพื่อตอบสนองตัณหาของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเรื่องนี้ ผมรับไม่ได้
บทความการเมือง สยามเซ็นเตอร์กับม็อบ ประชาธิปไตยกับสยามเซ็นเตอร์
จำได้เมื่อสัก 20 ปีก่อน ถ้าผมจะไปดูสาว สยามเซ็นเตอร์ ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆของผม ขึ้นอยู่กับว่าอยากดูสาวแบบไหน ถ้าอยากดูสาวเซอร์ ต้องไปเดอะมอล์ เพื่อไปดูสาวราม อยากดูสาวมั่นต้องไปท่าพระจันทร์ ธรรมศาสตร์ แต่ถ้าอยากดูสาวๆลูกคุณหนู สยามเซ็นเตอร์คือตัวเลือกที่ดีที่สุดของผม สาวจุฬากระโปรงยาวคลุมข้อเท้า หรือกระโปรงทรงเอคลุมหัวเข่า เข้ากับเสื้อนักศึกษาที่ไม่คับติ้วจนอวัยวะบางส่วนล้นทะลัก ก็ทำให้หนุ่มนักศึกษาสถาบันชายขอบอย่างผม ต้องดั้นด้น เดินทางจากลาดกระบังเข้าสู่ใจกลางกรุง
อ่านมา 2 ย่อหน้า ท่านที่เข้ามาอ่านกะทู้นี้ คงคิดว่า ไอ้พระรองมันพล่ามอะไรของมันหว่า ไม่เห็นเกี่ยวกับการเมือง เฉือก(ส)ตั้งกะทู้ในห้องราชดำเนินทำไม ก็ต้องบอกว่า คนประเภทเยอะไว้ก่อนอย่างผม ก็ต้องมีการอารัมภบท(พล่าม) กันสักหน่อย ที่ท่านด่านั้น ถูกแล้ว ผมไม่ขอโต้เถียงแต่อย่างใด
ประเด็นของผมก็คือ รูปแบบของม็อบในตอนนี้ ก็ใช้รูปแบบเดียวกับการสร้างสยามเซ็นเตอร์ คือสร้างภาพให้ตัวเองดูเป็นศูนย์รวมของความล้ำหน้าของกลุ่มคนในประเทศ การดึงคนในอาชีพที่ได้การยอมรับจากสังคมเข้ามาเป็นพวก อย่าง ข้าราชการ แพทย์ พยาบาล ดารานักแสดง นักศึกษา แล้วสื่อสารประชาสัมพันธ์ออกไป สร้างภาพให้ม็อบกลายเป็นแหล่งรวมความคิดจากบุคคลแถวหน้าของสังคม คล้ายกับสยามเซ็นเตอร์ในสมัยก่อน ที่เป็นแหล่งรวมสินค้าชั้นนำในโลกของแฟชั่น
ในยุคก่อน กระแสเสื้อผ้าไหนมาแรงให้ไปดูที่สยามเซ็นเตอร์ นั้นแสดงว่าสยามเซ็นเตอร์ เป็นผู้เกาะกุมกระแสความสนใจในเรื่องแฟชั่น ร้านรวงต่างๆในสยามเซ็นเตอร์ ก็มักจะนำสินค้าที่อยู่ในกระแส หรือรวมหัวกันสร้างกระแสเองของร้านค้าแต่ละร้าน โดยพากันออกมาเสนอขายด้วยการใส่หุ่นโชว์ หรือแขวนขายกันอย่างพร้อมเพียง จนทำให้คนที่ไปเดินรู้สึกว่า หากไม่มีเสื้อผ้าอย่างที่ร้านเอาออกมาโชว์ อาจจะตกกระแสแฟชั่นได้
ผมจำได้ว่า ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็หลงไปซื้อเสื้อลายสก็อตจากสยามเซ็นเตอร์ เพราะทุกร้านมันก็โชว์แต่เสื้อลายสก็อต ตามกระแส เต๋า สมชาย ดารานักร้องที่กำลังดังในขณะนั้น ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่ได้ชอบดาราศิลปินคนนี้สักเท่าไร เพราะเห็นกันมาตั้งแต่ก่อนเขาเข้าวงการ (เรียนที่เดียวกันในสมัยมัธยม)
และม็อบก็ใช้วิธีการเดียวกันในการสร้างกระแส โดยใช้โซเซียลเน็ตเวิร์ครุกเล้า ป้อนข้อมูลที่หวังผลทางการเมือง เพื่อช่วงชิงมวลชนชั้นกลาง ที่กำลังนิยมสังคมออนไลน์กระแส ทำหน้าที่แพร่กระจายข้อมูลเหล่านั้นออกไปยังบุคคลรอบข้าง ซึ่งการส่งออกข้อมูลลักษณะนี้ เป็นแพร่ข้อมูลเชิงบังคับ เพราะการปฏิเสธกระทำได้ลำบาก จะไม่กด Like ก็เกรงใจเพื่อน เมื่อถูกรบเร้าจะไม่กดแชร์ก็ดูไม่ดี เพื่อนจะว่าเอาได้ จะปฏิเสธหรือไม่เห็นด้วย ก็จะกลายเป็นแกะดำ และกลายเป็นเป้าโจมตีจากสังคมโซเซียล
ซึ่งถ้าไม่นับรวมเรื่องการบิดเบือนข้อมูลที่แพร่กระจายอยู่เกลื่อนสังคมออนไลน์ในขณะนี้ ผมว่าม็อบทำได้ดีกว่า สยามเซ็นเตอร์ในยุคก่อนเสียอีก ในเรื่องการสร้างกระแส
แต่ก็มีความผิดพลาดในการสร้างกระแสของม็อบ เมื่อมีความพยายามใช้ความรุนแรงของนักศึกษารามคำแหง ซึ่งพุ่งเป้าให้สาธารณะชนมองเห็นว่า เป็นความผิดพลาดของรัฐ หวังเป็นชนวนบ่งชี้ว่าฝ่ายตรงข้าม(เสื้อแดง) หรือรัฐใช้อำนาจอย่างโหดร้ายในการใช้กำลังเข้าคลี่คลายสถานการณ์
ม็อบก็พยายามแก้เก้อ ด้วยการบังคับให้ฟรีทีวีถ่ายทอดข้อความที่ผ่านการปรุงแต่งบิดเบือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จากการแถลงของแกนนำ ก็เพื่อต้องการสร้างกระแสให้ลุกกระพือมากขึ้นอีก พยายามอ้างทหารเพื่อหาแนวร่วมล่อหลอกให้การสนับสนุนที่มีอยู่จากมวลชน ที่อยู่ใต้อาณัติการปลุกกระแส ยอมเป็นเครื่องมือในการทางการเมืองของกลุ่มแกนนำต่อไป
และด้วยความหมายของคำว่า สยามเซ็นเตอร์ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ แปลเป็นภาษาชาวบ้านง่ายๆ ตามความเข้าใจของผม สยามเซ็นเตอร์ แปลว่าศูนย์กลางประเทศไทย ม็อบเองก็พยายามทำตัวให้เป็นเช่นนั้น คือพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง การปิดถนนหรือยึดสถานที่ราชการ ก็เพราะอยากให้ตัวเองเป็นข่าว มิใช่อารยะขัดขืนแต่ประการใด
แต่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยแตกต่างจากแฟชั่น คำว่า สยามเซ็นเตอร์ อาจจะเป็นศูนย์กลางของแฟชั่นในเมืองไทย แต่ถ้าจะเปรียบเทียบในมุมมองของผมกับคำว่า สยามเซ็นเตอร์ กับการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ผมจะเปรียบเทียบว่า เป็นรูปแบบการเมืองที่มีประชาชนทั้งหมดเป็นศูนย์กลาง มิใช่ของกลุ่มบุคลคลคณะใด ที่จะชี้นำหรือสั่งการได้ตามใจชอบ โดยไม่สนใจเสียงของประชาชน
สมัยก่อน ผมไปสยามเซ็นเตอร์เพื่อดูสาวๆจุฬา ในยามที่พวกเธอเดินมากับคนรู้ใจ(แฟน)ของเธอ ผมอาจจะเคยรู้สึกอิจฉาเขาบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดอยากเข้าไปแย่งเพื่อเอาสาวๆเหล่านั้นมาครอบครองให้ได้ เพราะใจยังยั้งคิดถึงกฎระเบียบข้อบังคับอันดีงามของคนไทย ที่มีมาตั้งแต่อดีต คือ ศีลธรรม ขนบธรรมเนียม ผมจึงได้แต่ใช้สายตาหาความสุขกับการมองสาวๆใน สยามเซ็นเตอร์ เช่น เดียวกับหนุ่มๆอีกหลายคนที่ไปสถานที่นั้นด้วยจุดประสงค์เดียวกับผม หรือต่อให้เป็นสาวๆที่ไม่มีคู่เดินมาด้วย หนุ่มๆสมัยผมก็ไม่คิดเข้าไปจีบ เพราะคิดว่าคงเป็นการไม่เหมาะสมที่จะไปทำกิริยาแบบนั้นกับคนที่เขาไม่รู้จักเรามาก่อน
สำหรับพวกหนุ่มอย่างผม ไปสยามเซ็นเตอร์คือไปดูสาว ดูแบบดูเฉยๆไม่ได้คิดอะไร ความสวยงาม ความน่ารักของสาวๆเหล่านั้น คือสมบัติสาธารณะ ที่ไม่ควรมีใครไปแตะต้องหรือยึดเอาไปครอบครองแต่ผู้เดียว
ประชาธิปไตยเองก็เช่นกัน มันควรจะเป็นแบบสาวๆที่ สยามเซ็นเตอร์ ที่ไม่ควรมีใครไปแตะต้องหรือยึดเอาไปครอบครองแต่ผู้เดียว เพราะอำนาจในการตัดสินใจใดๆ ควรเป็นของประชาชนทั้งหมดเป็นผู้เลือกตัวแทนของเขา เข้าไปทำหน้าที่ตัดสินใจ จะเลือกผิดเลือกพลาดอย่างไร กติกามันก็ระบุชัดอยู่แล้ว ว่าตัวแทนทำหน้าที่ได้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง หมดวาระแล้วก็เลือกกันใหม่ ตัดสินใจกันใหม่
การชู สภาประชาชน ซึ่งฟังดูคล้ายกับสยามเซ็นเตอร์ทางการเมืองของม็อบ จะไม่ค่อยถูกใจอดีตนักเหล่สาวในสยามเซ็นเตอร์อย่างผมสักเท่าไร เพราะนั้นมันละเมิดสิ่งที่ควรจะเป็นของส่วนรวม และเป็นการกระทำเพื่อตอบสนองตัณหาของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเรื่องนี้ ผมรับไม่ได้