ต้นไม้ประชาธิปไตย

บทเรียนประชาธิปไตยจากคุณพ่อ

พ่อผมเป็นข้าราชการอาจาร์ย สอนวิชาทางด้านป่าไม้ รู้เรื่องต้นไม้ พรรณไม้
ผมมักจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ในรูปแบบต่างๆ ผ่านการเล่าเรื่องที่มีต้นไม้เป็นองค์ประกอบอยู่เสมอ และเรื่องประชาธิปไตยนี่ก็เช่นกัน...

ในช่วงบ่ายวันนึง ขณะที่ผมกำลังนั่งรถกลับบ้านกับพ่อ
ผมได้พูด เชิงเล่าถึงความภาคภูมิใจว่า เพื่อนๆส่วนใหญ่ในรุ่น 22 สาธิตเกษตร
(โดยประมาณ 180-190 คนจาก 220 คน)
ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์
ให้เราหยุดเรียน เพื่อไปดูขบวนพหุยาตราทางชลมารค
แน่นอนครับ อาจาร์ยย่อมไม่เห็นด้วย
แต่พวกเราไม่เชื่อฟัง และ ได้ทำการเดินเท้าออกจากโรงเรียน ทั้งๆที่เป็นวันเรียน
โดยไม่สนใจหน้าที่ของนักเรียน
โดยไม่สนใจคำทักท้วงของอาจาร์ย
และในบ่ายวันนั้น ระดับชั้นของเราก็เหลือคนไม่ถึงหนึ่งห้อง
มีหลายคนที่ไม่ไปด้วย แต่คนไม่มากพอที่จะทำการเรียนการสอนได้
อาจาร์ยจึงตัดสินใจเปิดห้องประชุมให้คนที่ไม่ได้เข้าร่วมได้ดูการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์แทน
แน่นอนครับ พวกผมลิงโลดใจ ไปอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

คุณพ่อยิ้มด้วยสายตาเมตตา และเล่าเรื่องให้ผมฟังว่า
คุณพ่อได้มีโอกาสไปเป็นผู้ประสานงาน
ในช่วงเริ่มต้นของมูลนิธิวิปัสสนากรรมฐานโดยแนวทางของท่านอาจาร์ยโกเอนก้า
ในวงประชุมวันนั้น ได้มีการหารือถึงเรื่องการปลูกต้นไม้ ในบริเวณรอบๆ ศูนย์ปฎิบัติธรรมกมลา
ที่จังหวัดปราจีณบุรี ที่ประชุมมีหลายคน และได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าให้ปลูกไม้สวยงาม
เพื่อให้เกิดความสวยงาม และสบายตาแก่ผู้มาเข้าร่วมปฎิบัติ
มีเพียงความเห็นส่วนน้อยของคุณพ่อ ที่แนะนำให้ปลูกไม้ยืนต้น แม้จะไม่สวยงามในตอนเริ่มต้น
แต่ในระยะยาว เราจะได้ร่มเงา ได้ไอเย็น และบังไอร้อน จากต้นไม้ยืนต้นเหล่านั้น
ครับ คุณพ่อบอกว่า เราต้องปลูกไม้สวยงามตามมติของคณะกรรมการ เพราะนั่นคือเสียงส่วนใหญ่
คุณพ่อในฐานะที่เป็นเสียงส่วนน้อย แต่ดันเชี่ยวชาญในเรื่องต้นไม้
จึงได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ ให้ช่วยปลูกในสิ่งที่ตนไม่เห็นด้วย
คุณพ่อเต็มใจและใส่ใจ ต้นไม้สวยงามเหล่านั้นจึงออกดอก ออกช่อ อย่างสวยงามโดยตลอด
คุณพ่อบอกด้วยว่า ได้ขอให้ทดลองปลูกไม้ยืนต้นไว้ด้วยส่วนนึง บริเวณรอบๆ เสียงส่วนใหญ่ยอมรับ
เวลาผ่านไปหลายปี ไม้ใหญ่ค่อยๆเติบโตขึ้น และให้ร่มเงา
ในขณะที่ไม้สวยงาม ก็ยังคงสวยงามอยู่ แต่ไม่มีร่มเงา และศูนย์ปฎิบัติก็ร้อนอบอ้าว
ครับ ในที่สุดก็มีการประชุมอีกครั้ง เพื่อให้ปลูกไม้ยืนต้นเพิ่มให้เต็มพื้นที่ โดยค่อยๆลดไม้สวยงามลงไป
นี่คือสิ่งที่คุณพ่ออยากจะบอกกับผม
เสียงส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องถูกต้อง หรือเหมาะสม เสมอไป เหมือนจะบอกผมเป็นนัยว่า
การเดินออกจากโรงเรียนเพื่อไปทำกิจกรรมอื่นในเวลาเรียนนั้นไม่เหมาะสม ไม่ควร

ในเวลาหลายปีต่อมา ได้มีการเปิดศูนย์ปฎิบัติเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง
และคณะกรรมการก็ได้เปลี่ยนชุดไปตามวาระ ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมา
ผมจึงได้มีโอกาสได้คุยกับอาจาร์ยท่านนึง ท่านเลยบอกว่า จากบทเรียนเรื่องต้นไม้ในวันนั้น
ทำให้ในวันนี้ เราไม่ต้องเสียเวลาปลูกไม้ดอกสวยงาม แต่เราสามารถเริ่มต้นปลูกไม้ยืนต้น
และไม้ผลได้เลย
ครับ หากในวันนั้นคุณพ่อใช้สิทธิ์ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องต้นไม้
บังคับมติที่ประชุมให้เห็นคล้อยตาม
กระบวนการเรียนรู้เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น
ทุกครั้งที่มีการสร้างศูนย์ใหม่ เราก็จะปลูกไม้สวยงามใหม่
และเสียเวลาเรียนรู้ไปอีกหลายปี เพื่อที่จะกลับมาที่บทเรียนเดิม ว่าการปลูกไม้ยืนต้น
นั้นให้ร่มเงาในระยะยาว และเหมาะกับสถานที่ที่ใช้ในการปฎิบัติธรรมมากว่า

ครับผมได้บทเรียนอะไรจากเรื่องนี้...
ในเมื่อกติการประชาธิปไตยบอกว่า เราควรยอมรับมติของเสียงส่วนใหญ่
แต่เสียงส่วนใหญ่อาจจะมีความคิดเห็นที่ผิดก็ได้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะได้เรียนรู้
แต่หากเรายังคงใช้อำนาจพิเศษ เข้ามาจัดการปัญหาอย่างที่เคยเป็นมา
ประชาชนจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
ต้นไม้ประชาธิปไตยได้ถูกปลูกมาแล้ว และมีการใช้อำนาจพิเศษมาหลายครั้ง
ในการขัดขวางการเจริญเติบโต
สุดท้ายเราก็ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่...
อย่าพร่ำบ่นว่าเราไปไม่ถึงใหน ในเมื่อพวกเราเองต่างก็ยอมให้อำนาจนั้นมาครอบงำเรา

วันนี้ที่เรายังคงย่ำอยู่กับที่
เพราะเราเองก็ยอมให้อำนาจพิเศษ เพรียกร้องหาอำนาจพิเศษ
ให้เข้ามาล้มต้นไม้ประชาธิปไตย
ครับ แม้เราจะเจ็บปวด แต่เราจะได้เรียนรู้
และเมื่อเราเรียนรู้ร่วมกัน
ผมเชื่อสุดหัวใจ ว่าคนไทยฉลาด
ไม่นานหรอกครับ
นักการเมืองที่ไม่ดีจะค่อยๆหมดไป อาจจะเป็นสิบปี ยี่สิบปี
แต่ในที่สุดเราก็จะมี ถ้าเราอดทนที่จะรอคอย

และที่สำคัญ เรื่องการปลูกต้นไม้ ไม่เกี่ยวข้องกับความจงรักภักดี
อย่าใช้ความจงรักภักดี เป็นข้ออ้างในการทำร้ายต้นไม้ ประชาธิปไตย...

ด้วยรักและเคารพ
เฉลิมเดช เอียดแก้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่