คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
สถานะการณ์ในเคียฟเมืองหลวงของยูเครนตอนนี้กำลังตึงเครียดไม่แพ้กรุงเทพ มีรายงานข่าวในสื่อยุโรปของทั้ง 2 ประเทศ เพียงแต่ข่าวของยูเครนจะลงลึกและกว้างกว่าเพราะเป็นประเทศที่มีผลกับยุโรปโตยตรง
การเมืองที่ยื้อแย่งยูเครนกันอยู่นั้น ไม่ได้หวังผลต่อกับเฉพาะยูเครนเท่านั้น แต่เป็นการเมืองระหว่าง 2 ขั้ว คือ รัสเซีย กับ อียูหรือยุโรปตะวันตก รัสเซียนั้นเป็นมหาอำนาจใหญ่ที่สูญเสียอำนาจควบคุมประเทศใต้บังคับบัญชา Eastern Bloc ไปเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ได้แต่นั่งดูประเทศลูกน้องเหล่านั้นหันหลังให้ตนและเดินหน้าสู่ระบบประชาธิปไตยยุโรปประเทศแล้วประเทศเล่า ความเป็นมหาอำนาจที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตก็ลดน้อยถอยลงไปทุกวันด้วยเศรษฐกิจและเทคโนโลยี่ที่ไม่สามารถตามทันประเทศอื่นๆ ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ได้ เช่น จีน ที่กำลังพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
การเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมหมายถึง การรุกคืบเข้ามาของระบอบเสรีประชาธิปไตยประชิดรั้วบ้านรัสเซียเข้ามาทุกวัน และยูเครนก็เป็นประเทศหนึ่งที่เป็นประเทศหน้าด่านติดเขตแดนกับรัสเซีย ถ้ายูเครนหันหาเข้าสู่อียูเมื่อไหร่ก็เท่ากับเปิดทางเข้าสู่รัสเซียได้ทันที
ถึงแม้ว่ายูเครนจะเป็นประเทศที่มีพื้นที่เพาะปลูกกว้างใหญ่ไพศาลและมีดินปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดประเทศหนึ่งก็ตาม แต่จากการที่อยู่ภายใต้การปกครองคอมมิวนิสต์รัสเซียมาเป็นเวลานาน การบริหารจัดการ ความรู้และเทคโนโลยี่จึงยังคงล้าหลังโลกตะวันตกอยู่มาก ฉะนั้นหลังจากเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตยแล้วก็ยังขาดทุนทรัพย์ที่จะปรับปรุงพัฒนาให้มีผลผลิตแข่งขันกับตลาดเสรีได้ และกลายเป็นสาเหตุให้ยูเครนต้องใช้พลังงานสำหรับการผลิตเกินกว่าความจำเป็น เพราะพลังงานกลับสูญเปล่าไปกับเครื่องมือเครื่องจักรที่ล้าสมัยไร้ประสิทธิภาพ
ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้ว่ายูเครนจะมีพื้นที่การเพาะปลูกทั้งหมด 32 ล้าน Hectare ซึ่งมากกว่าเยอรมนีถึงกว่า 2 เท่าตัว แต่กลับมีผลผลิตไม่ถึง 70% ของผลผลิตทางพืชผลเกษตรของเยอรมนี
ยูเครนเคยขอเงินกู้จาก IMF และได้รับการอนุมัติแบ่งเป็น 3 งวด แต่พอมาถึงงวดที่ 3 กลับไม่ยอมทำตามเงื่อนไขที่ IMF ต้องการ (เป็นเงื่อนไขที่ป้องกันการคอรัปชั่นของรัฐบาล) ทาง IMF จึงงดจ่ายเงินกู้ช่วยเหลือ ประกอบกับปัญหาพิพาทกับรัสเซียหลายรอบเรื่องราคาแก๊สธรรมชาติที่รัสเซียขึ้นราคากว่า 4 เท่าตัว ในขณะที่ยูเครนต้องพี่งพาแก๊ซจากรัสเซียมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการใช้พลังงานทั้งหมด และรัสเซียใช้ไพ่ที่เหนือกว่าในมือนี้บีบบังคับยูเครนให้ปฏิเสธการลงสัญญาเข้าร่วมนาโต้ และล่าสุดคือสัญญาการค้ากับอียูตามที่เป็นข่าวไปแล้ว
แต่รัฐบาลยูเครนประเมินความต้องการของชาวยูเครนต่ำจากความเป็นจริง จำนวนคนที่ออกมาเดินประท้วงมากกว่าหนึ่งแสนคนที่ต้องการให้ยูเครนเปิดความสัมพันธ์กับอียูกำลังกลายเป็นการประท้วงเพื่อการปฏิรูปทางการเมืองใหญ่อีกครั้งของยูเครนเหมือนเหตุการณ์ Orange Revolution ในปี 2004 เพียงแต่ผู้นำการประท้วงครั้งนี้เปลี่ยนจาก Julija Timoschenko (ซึ่งขณะนี้ติดอยู่ในคุก) เป็นนักมวยอาชีพแชมป์โลกรุ่นหนักชาวยูเครนที่หันมาเล่นการเมืองคือ Vitali Klitschko แทน
เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนกับรัสเซียในรายละเอียดมีน่าสนใจอีกมากมาย ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และ การทหาร แต่จะออกนอกกรอบของกระทู้นี้ไป จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้
การเมืองที่ยื้อแย่งยูเครนกันอยู่นั้น ไม่ได้หวังผลต่อกับเฉพาะยูเครนเท่านั้น แต่เป็นการเมืองระหว่าง 2 ขั้ว คือ รัสเซีย กับ อียูหรือยุโรปตะวันตก รัสเซียนั้นเป็นมหาอำนาจใหญ่ที่สูญเสียอำนาจควบคุมประเทศใต้บังคับบัญชา Eastern Bloc ไปเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ได้แต่นั่งดูประเทศลูกน้องเหล่านั้นหันหลังให้ตนและเดินหน้าสู่ระบบประชาธิปไตยยุโรปประเทศแล้วประเทศเล่า ความเป็นมหาอำนาจที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตก็ลดน้อยถอยลงไปทุกวันด้วยเศรษฐกิจและเทคโนโลยี่ที่ไม่สามารถตามทันประเทศอื่นๆ ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ได้ เช่น จีน ที่กำลังพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
การเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมหมายถึง การรุกคืบเข้ามาของระบอบเสรีประชาธิปไตยประชิดรั้วบ้านรัสเซียเข้ามาทุกวัน และยูเครนก็เป็นประเทศหนึ่งที่เป็นประเทศหน้าด่านติดเขตแดนกับรัสเซีย ถ้ายูเครนหันหาเข้าสู่อียูเมื่อไหร่ก็เท่ากับเปิดทางเข้าสู่รัสเซียได้ทันที
ถึงแม้ว่ายูเครนจะเป็นประเทศที่มีพื้นที่เพาะปลูกกว้างใหญ่ไพศาลและมีดินปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดประเทศหนึ่งก็ตาม แต่จากการที่อยู่ภายใต้การปกครองคอมมิวนิสต์รัสเซียมาเป็นเวลานาน การบริหารจัดการ ความรู้และเทคโนโลยี่จึงยังคงล้าหลังโลกตะวันตกอยู่มาก ฉะนั้นหลังจากเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตยแล้วก็ยังขาดทุนทรัพย์ที่จะปรับปรุงพัฒนาให้มีผลผลิตแข่งขันกับตลาดเสรีได้ และกลายเป็นสาเหตุให้ยูเครนต้องใช้พลังงานสำหรับการผลิตเกินกว่าความจำเป็น เพราะพลังงานกลับสูญเปล่าไปกับเครื่องมือเครื่องจักรที่ล้าสมัยไร้ประสิทธิภาพ
ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้ว่ายูเครนจะมีพื้นที่การเพาะปลูกทั้งหมด 32 ล้าน Hectare ซึ่งมากกว่าเยอรมนีถึงกว่า 2 เท่าตัว แต่กลับมีผลผลิตไม่ถึง 70% ของผลผลิตทางพืชผลเกษตรของเยอรมนี
ยูเครนเคยขอเงินกู้จาก IMF และได้รับการอนุมัติแบ่งเป็น 3 งวด แต่พอมาถึงงวดที่ 3 กลับไม่ยอมทำตามเงื่อนไขที่ IMF ต้องการ (เป็นเงื่อนไขที่ป้องกันการคอรัปชั่นของรัฐบาล) ทาง IMF จึงงดจ่ายเงินกู้ช่วยเหลือ ประกอบกับปัญหาพิพาทกับรัสเซียหลายรอบเรื่องราคาแก๊สธรรมชาติที่รัสเซียขึ้นราคากว่า 4 เท่าตัว ในขณะที่ยูเครนต้องพี่งพาแก๊ซจากรัสเซียมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการใช้พลังงานทั้งหมด และรัสเซียใช้ไพ่ที่เหนือกว่าในมือนี้บีบบังคับยูเครนให้ปฏิเสธการลงสัญญาเข้าร่วมนาโต้ และล่าสุดคือสัญญาการค้ากับอียูตามที่เป็นข่าวไปแล้ว
แต่รัฐบาลยูเครนประเมินความต้องการของชาวยูเครนต่ำจากความเป็นจริง จำนวนคนที่ออกมาเดินประท้วงมากกว่าหนึ่งแสนคนที่ต้องการให้ยูเครนเปิดความสัมพันธ์กับอียูกำลังกลายเป็นการประท้วงเพื่อการปฏิรูปทางการเมืองใหญ่อีกครั้งของยูเครนเหมือนเหตุการณ์ Orange Revolution ในปี 2004 เพียงแต่ผู้นำการประท้วงครั้งนี้เปลี่ยนจาก Julija Timoschenko (ซึ่งขณะนี้ติดอยู่ในคุก) เป็นนักมวยอาชีพแชมป์โลกรุ่นหนักชาวยูเครนที่หันมาเล่นการเมืองคือ Vitali Klitschko แทน
เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนกับรัสเซียในรายละเอียดมีน่าสนใจอีกมากมาย ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และ การทหาร แต่จะออกนอกกรอบของกระทู้นี้ไป จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้
แสดงความคิดเห็น
เพราะอะไร รัสเซีย ถึงกีดกันยูเครนไม่ให้เข้าร่วมอียู
ยูเครนเป็นประเทศเล็กๆ ทำไมรัสเซียถึงให้ความสำคัญมากเหลือเกิน