“สรุปว่ากลุ่มเรา ได้ทำโครงงานเรื่อง การเปลี่ยนรูปแบบพลังงาน ทีนี้ ก็เลยนัดมาคุยกันนิดนึง ว่าจะทำอะไรกันบ้าง” นพดลผู้ตั้งตนเป็นหัวหน้ากลุ่มโดยปริยายเนื่องจากปกติก็เป็นหัวหน้าห้องอยู่แล้ว เกริ่นนำต่อหน้าสมาชิกร่วมกลุ่ม มีผู้ชายอีกคน คือ นวิน ผู้หญิงอีก 3 คน คือ นภัสสร นิชนันท์ และฉัน...นิรชา ซึ่งอันที่จริงแล้วสมาชิกกลุ่มยังขาดผู้ชายไปอีก 1 คน ...อีกแล้ว
“ซวยจริง ท่าทางจะยาก” ยังไม่ทันไร นวินก็เริ่มบ่นซะแล้ว
“ไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง กลุ่มเจ้ากามนิต ได้เรื่อง พลังงานแสงอาทิตย์ ได้ตากแดดทดลองกันหน้าดำ หัวแดงแน่ ๆ” นภัสสรยังอารมณ์ดี กล่าวติดตลก “โครงงานของเรา ไม่ไฟฟ้าเป็นกล ก็กลเป็นไฟฟ้า หรือจะเอาศักย์เป็นจลน์ดี แค่เอาปี๊บมาเตะเล่น ก็เปลี่ยนจากศักย์เป็นจลน์แล้ว” ฉันเองกับนิชนันท์อดที่จะหัวเราะไม่ได้ จนกระทั่งเห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของท่านหัวหน้ากลุ่มนี่แหละ ฉันจึงเสนอความเห็นบ้าง
“หนูถีบจักรป่ะล่ะ หมุนจักร แล้วก็ต่อมอเตอร์ให้ไฟติด”
“หวายยย...เราไม่อยากเล่นกับสัตว์นี่นา แล้วหนูมันต้องเลี้ยง หมดโครงงาน จะเอามันไปไว้ไหน” นิชนันท์แย้ง
“เราอยากให้มันอลังการ อาจารย์จะได้ประทับใจ”
เป็นที่รู้กันในห้องนี้ ว่านพดลเป็นพวกชอบทำอะไรให้เด่นที่สุด ดีที่สุด อันที่จริงก็เป็นผลดีกับกลุ่มของเราเหมือนกัน เพราะทำให้พลอยได้คะแนนเก็บเยอะไปด้วย แต่ที่แย่คือ ทำให้เหนื่อยกว่าคนอื่น โดยเฉพาะกรณีที่กลุ่มนี้ มีนายจอมชิ่งอยู่หนึ่งคน นั่นยิ่งทำให้แรงงานในการทำงานลดลงไปโดยปริยาย
“เราเคยเห็นในรายการทีวีของญี่ปุ่นอ่ะ ที่มันเรียงกลไก ไหลลูกบอลลงไปตามราง แล้วก็ไปทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่อง” นพดลพูดไปพลาง ก็เปิดโทรศัพท์มือถือ เป็นที่รู้กันอีกแหละ ว่าคงเปิดตัวอย่างจากในอินเตอร์เนตให้ดู ระหว่างนั้นทุกคนก็แอบเครียดว่า ท่าทางจะต้องเหนื่อยอีกแล้ว
ในวิดิโอที่นพดลเปิดให้ดู ถ้าให้อธิบายแบบวิชาฟิสิกส์ ลูกเหล็กสะสมพลังงานศักย์ไว้ภายใน วิ่งลงมาตามราง ตามแรงโน้มถ่วงของโลกและองศาที่ปรับไว้ เกิดเป็นพลังงานจลน์ เมื่อสุดราง ก็กระทบกับคานดีดคานงัด ที่จะดึงเปิดเขื่อนกั้นน้ำเปิดออก พลังงานน้ำที่ไหลลงมา จะไปหมุนกับกังหันพลังน้ำ เมื่อแกนกังหันหมุน ก็จะเกิดเป็นพลังงานไฟฟ้า ทำให้หุ่นยนต์เคลื่อนไหวได้ ว่าไปแล้วมันก็เหมือนหนูถีบจักรที่ฉันนำเสนอแหละ แต่อลังการกว่า และที่สำคัญคือไม่ต้องเลี้ยงหนู
ในเมื่อไม่มีใครมีความคิดที่ดีกว่ามานำเสนอ เรื่องก็เลยจบลงตรงที่ว่า จะทำกลไกแบบที่เห็นในวิดิโอนี่แหละ แต่เปลี่ยนจากหุ่นยนต์และไดนาโม มาเป็นการโยกครกกระเดื่องจำลองแทน เป็นการผสมผสานกับภูมิปัญญาพื้นบ้าน ฟังดูน่าจะได้คำแนนดีแน่ ๆ
“ทีนี้เนื่องจากโครงการนี้น่าจะเป็นงานใหญ่งานสุดท้ายของเทอมนี้แล้ว และพวกเราก็ทำงานฟรีให้กับคนคนหนึ่งมาตลอด....” ยังไม่จบประโยค ฉันก็พอรู้ว่านพดลกำลังพูดถึงนิรันดร นอกจากจะเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มฉันแล้ว ยังเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ อีกด้วย และโดยที่ฉันไม่ทันรู้ตัว “...ชา เป็นหน้าที่ของเธอที่ต้องไปหาทางให้ไอ้รันมาทำงานนี้”
“ไหงงั้นน่ะ” ฉันประท้วงสุด ๆ ก็ถ้าที่ผ่านมาแม้แต่ท่านหัวหน้าผู้เฉียบขาดยังไม่สามารถลากนิรันดร มาทำงานกลุ่มได้ ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่ได้เลยสักงาน แล้วรอบนี้ทำไมต้องมาโยนให้ฉันด้วย “เธอเป็นหัวหน้าห้อง แล้วก็เป็นหัวหน้ากลุ่ม เธอก็ไปลากมาดิ”
“ก็ถ้ามันง่ายขนาดนั้น เราก็ทำไปแล้ว วัน ๆ เคยทันได้จับตัวไอ้รันมันซะที่ไหนล่ะ ขนาดวันนี้ ไลน์นัดไว้แล้วนะ จะไปดักตัวตอนเลิกเรียน ยังไม่ทันเลย”
ก็คงรีบกลับไปรดน้ำผัก แล้วก็ให้อาหารกระต่ายสุดที่รักอีกตามเคยแหละ หรือไม่ก็คงไปเดินเตร็ดเตร่แถว ๆ สวนรถไฟ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีอะไรให้น่าไปดูนักหนา
“ก็....อย่างมากก็บอกอาจารย์ แล้วก็ไม่ใส่ชื่อลงไปในรายงาน” ฉันยังดิ้นรนต่อ แม้จะรู้ว่าฟังไม่ขึ้นแบบสุด ๆ ที่จะทำแบบนั้น
“พูดง่าย ทำยากสิ ชา ยังไง ๆ ก็เพื่อนกัน ต้องอยู่ห้องเดียวกัน กลุ่มเดียวกันอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ คือ...ก็ปล่อย ๆ ไปหลายงานแล้วอ่ะนะ แต่รอบนี้ ยังไงเธอก็ต้องเอาตัวนายนิรันดร มาทำงานกลุ่มให้ได้ ไม่งั้นอาจารย์ก็ว่าอีก ว่ากลุ่มเราไม่เคยให้ไอ้รันมันทำอะไร เสียชื่อเราหมด”
ฉันได้แต่ทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย “เราไม่รับปากนะ แต่จะพยายาม”
เป็นอันว่า วันนี้นพดลก็จะกลับไปร่างแบบกลไกมา ก่อนที่จะไปหาซื้ออุปกรณ์มาประกอบ และทดลอง ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมร่างแบบการนำเสนอหน้าห้องเอาไว้ ส่วนงานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นของฉันคือ ต้องลากเจ้ารันมาเข้างานกลุ่มให้ได้ เพื่อไม่ให้เสียคะแนนจิตพิสัยของท่านผู้นำ
ระหว่างเดินเข้าบ้านในซอย ฉันลองแวะเข้าไปที่บ้านของนิรันดร ซึ่งก็เป็นไปตามคาด นิรันดรเดินออกมาเปิดประตูหน้าบ้านรับด้วยสีหน้าแปลกใจ กรอบแว่นสีดำหนาเตอะแบบที่ฉันเคยเห็นในรูปเก่า ๆ ของพ่อแม่ย้อนหลังไปเมื่อสักสามสิบกว่าปีก่อนหน้าตอนที่ท่านยังเป็นวัยรุ่น แต่กลับมาฮิตระเบิดเป็น “แฟชั่นเด็กเนิร์ด” ในพ.ศ.นี้ ชายเครื่องแบบนักเรียนหลุดออกมานอกกางเกง แถมยังขะมุกขะมอมไปด้วยดิน เดาได้ว่าคงอยู่ระหว่างเล่นกับกระต่าย
“ลมไรหอบมาเนี่ย!?” นายรันทักก่อนที่จะพาฉันเข้ามาในบ้าน อันที่จริงฉันคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้อยู่แล้ว ด้วยตอนเด็ก ๆ ก็เคยมาเล่นที่นี่บ่อย ๆ จนกระทั่งช่วงหลัง ๆ ที่ต่างคนต่างก็มีกิจกรรมอื่นที่ตัวเองสนใจนี่แหละ ถึงไม่ได้มาเสียนาน ซึ่งบ้านนี้ก็เปลี่ยนแปลงน้อยมาก ถ้าเดินจากประตูเข้าไป จะเป็นโรงรถ ระเบียงมุขเล็ก ๆ ยกสูงเล็กน้อย ปูกระเบื้องผิวมันสีฟ้าเข้ม เสริมด้วยม้านั่งระหว่างเสาสองต้น สนามหญ้า ที่ดัดแปลงเป็นแปลงผักเล็ก ๆ ตามความคิดของลูกเจ้าของบ้านคนนี้ แล้วก็กรงกระต่ายตั้งชิดตัวบ้าน ฉันตัดสินใจนั่งพักอยู่เพียงม้านั่งหน้าบ้าน เพราะไม่คิดว่าจะใช้เวลานาน
“ก็มีคนขอร้องให้มาอ่ะดิ เรื่องงานกลุ่มอ่ะ”ฉันตัดสินใจพูดตรง ๆ
“อ่อ” นายรันรับคำสั้นนิดเดียว
“คือเราก็รู้จักนายมาแต่เด็กนะ เรารู้ว่านายไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวอะไรหรอก แต่พฤติกรรมชิ่งงานกลุ่มของนายนี่ มันก็ยากนะที่จะไม่ให้คนอื่นเค้าว่า”
“ก็คงงั้น”
“แล้ว”
“แล้ว?”
“ยังมาย้อนอีก” เป็นคนอื่นคงคิดว่านายรันกำลังกวนโมโห แต่ฉันค่อนข้างมั่นใจว่า จากความเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวมาตั้งแต่เด็ก ๆ วัน ๆ อยู่แต่กับกระต่าย นายรันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าฉันต้องการอะไร “ไม่คิดว่าจะไปเข้ากลุ่มกับเค้าบ้างหรือไง ไปประชุมกลุ่ม ออกความเห็น ลงมือทำ นำเสนอหน้าห้องอะไรงี้ ปล่อยให้คนอื่นเค้าทำมาทั้งเทอมแล้วนะ มีปัญหาอะไรนักหนากับการทำงานกลุ่มเนี่ย”
“ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็...ไม่รู้จะช่วยอะไร ก็...เห็นทำกันเองได้”
“ที่ผ่านมาทุกคนทำเป็นลืม ๆ ว่ามีนายอยู่อีกคน แล้วก็ทำงานกลุ่มให้อยู่นี่ไงล่ะ แต่รอบนี้ ดลเขาให้เรามาพูดกับนายเนี่ย เพราะงั้น พรุ่งนี้ดลจะเอาแบบจำลองมาให้ เดี๋ยวจะแบ่งงานกันจริงจังอีกที อย่าชิ่งอีกละกัน”
ไม่มีเสียงตอบรับ เป็นอันรู้กันว่ากำลังเข้าสู่ภาวะดื้อเงียบ
“เราก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ ว่านายจะอะไรกันนักกันหนากับกระต่าย แปลงผักแล้วก็สวนรถไฟเนี่ย แต่ชีวิตนายไม่ได้มีแค่นี้นะ นายปฏิเสธสังคมไม่ได้ตลอดหรอก เพราะงั้น แบ่งเวลามาซะ”
นายรันพยักหน้า แต่ไม่ตอบอะไร สำหรับฉันถือว่าเป็นการตอบรับที่ไม่ถึงกับแย่นัก
“แล้วตกลงวันนี้ขนปุย กับข้าวสวย เป็นยังไงบ้างอ่ะ”ฉันทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยถามถึงกระต่าย ซึ่งออกจะได้ผลเกิดคาด นายรันพูดถึงกระต่ายทั้งสองเป็นคุ้งเป็นแคว สรุปว่า ช่วงนี้ขนปุยร่าเริงดี แต่ก่อนหน้านี้ฟันหน้ามันยื่นยาวมากไปหน่อยเพราะไม่ค่อยได้แทะอาหารแข็ง ต้องหาหัวไชเท้ากับแครอทสลับมาให้กินแทนผักกาดที่ปลูกไว้ในสนาม ส่วนข้าวสวยนั้นปกติจะไม่ซุกซนอะไร ชอบอยู่นิ่ง ๆ อยู่แล้ว เห็นได้ชัดเลยว่านายรันนี่คงอยู่กับกระต่ายเยอะไปจริง ๆ
หลังเลิกเรียนวัดถัดมา นพดลเอาแบบร่างมาให้ทุกคนในกลุ่มดู สิ่งที่แปลกตาไปคือวันนี้ นิรันดรยอมมานั่งฟังด้วย นพดลออกจะทึ่งที่ฉันทำสำเร็จ แต่ฉันเองก็ยังหวั่นใจว่า นิรันดรจะยอมนั่งอยู่อีกนานแค่ไหน
สรุปอุปกรณ์ที่จะต้องใช้สำหรับ “เมกะโปรเจคท์”รอบนี้ ได้แก่ ท่อพีวีซีสำหรับทำราง ลูกเปตอง ทัพพีสำหรับคานดีดคานงัด อ่างน้ำ แต่ที่เป็นปัญหาคือ อุปกรณ์ทำกังหันและครกกระเดื่อง ที่ดูเหมือนนพดลเองจะยังสับสนกับกลไกตรงนี้อยู่
“ตัวกังหันมันต้องรับน้ำได้ แล้วปริมาณน้ำมันต้องพอที่จะทำให้กังหันหมุนได้ด้วยอ่ะดิ” นภัสสรพยายามวิเคราะห์ “แล้วเราจะประกอบมันด้วยอะไร”
“ครกกระเดื่องอะไรนี่มันเป็นเรื่องคานดีดคานงัดไม่ใช่เหรอ” จู่ ๆ นิรันดรก็โพล่งเรื่องนี้ขึ้นมา เล่นเอาทั้งกลุ่มอึ้งไป “ก็ไหนบอกว่าทำเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบพลังงาน”
“ก็....มีอะไรเพิ่มขึ้นมา จะได้แตกต่างจากคนอื่น จะได้ได้คะแนนเยอะ ๆ ไง” นพดลพูดแก้เก้อ อันที่จริงฉันว่าแม้แต่ตอนที่เราประชุมกลุ่มกันเมื่อวาน ก็ไม่ได้มีใครคิดถึงเรื่องว่าเราทำงานเกินหัวข้อไปหน่อย และตอนนี้มันก็ทำให้เราต้องตกที่นั่งลำบากเสียอีก
“ก็ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไง แล้วก็ไม่เกี่ยวกับขอบเขตงาน ก็ไม่เห็นต้องทำตรงครกนี่เลย เอาแค่ให้กังหันมันหมุนปั่นไฟก็ได้” นิรันดรพูดต่อ ซึ่งดูเหมือนว่า นิชนันท์ นภัสสร เริ่มจะคล้อยตาม ส่วนนวินยังดูสับสนว่าจะเข้าข้างใครดี ฉันเองยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่เริ่มจะดูออกว่านพดลไม่ค่อยพอใจ ไม่บ่อยนักที่จะมีใครกล้าเถียง หรือขัดคอท่านผู้นำ
“รัน...นายนี่นะ”นพดลเริ่มพูดเสียงเข้ม ซึ่งนิรันดรยังทำหน้าเฉยเมย “แล้วดูทำหน้าเข้า กวนนักนะ”
มีแต่ฉันล่ะมั้งที่รู้ว่านายรันทำหน้าเฉยแบบไม่มีเจตนาอะไรเลย นอกจากแสดงความคิดเห็นตามปกติ ส่วนนพดลกลับเห็นว่า โดนนายรันกวนโมโหไปซะได้ สุดท้ายก็เกิดสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน และเชื่อว่าทุกคนที่เหลือก็ไม่เชื่อเหมือนกัน
“ก็ถ้าไม่อยากทำอย่างที่เราอยากได้ ก็ทำกันเองแล้วกัน เราเหนื่อยแล้ว ไม่ยุ่งด้วยแล้ว”
เป็นอันว่านพดลเดินออกจากการประชุมกลุ่มกลับบ้านไปเสียอย่างนั้น ส่วนทุกคนที่เหลือราวกับถูกไฟช็อตนิ่งอยู่กับที่ กว่านวินจะได้สติเรียกนพดลให้กลับมาคุยกันดี ๆ นพดลก็เดินเก็บกระเป๋าออกจากห้องไปไกลเกินกว่าจะวิ่งตามทันแล้ว ส่วนนายรันนั้น...
“เค้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ เหรอ เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” รันหันมาถามฉันหน้าตาเฉย ฉันจะโกรธก็โกรธไม่ลง เพราะรู้ดีเกินไปว่า รันไม่เคยมีเจตนาร้ายกับใคร แต่ไม่ค่อยรู้ว่าคนอื่นเค้าคิดยังไง
“ไม่รู้ตัวเหรอ ว่าไม่เคยมีใครกล้าท้าทายไอ้นพแบบนี้มาก่อน” นภัสสรตอบแทน พลางยักคิ้วหลิ่วตา“เจ๋งจริงอะไรจริง นาน ๆ จะยอมมาเข้างานกลุ่มแท้ ๆ แต่วางระเบิดซะกระจุยเลย”
“แล้ว...เราจะเอายังไงกันต่อดีอ่ะ” แล้วนิชนันท์ก็เริ่มพูดในสิ่งที่ฉันก็กำลังคิดอยู่ “ถ้าสรุปไม่ได้ ซื้อของไม่ทัน เดี๋ยวก็ทำงานไม่เสร็จพอดี แล้วไอ้แบบเนี่ย....ก็มีแต่นพดลที่ดูรู้เรื่อง แล้ว....ไปแล้วอ่ะ”
เงียบไปชั่วขณะ พวกเราไม่มีใครเคยเจอสถานการณ์นี้มาก่อน หัวหน้ากลุ่มผู้เด็ดขาด และกระหายคะแนน ทิ้งงานไปซะงั้น
“ก็ถ้า...ยอมทำตามแบบที่นพอยากทำ นพก็จะกลับมาเข้ากลุ่มป่ะ” ทุกคนหันกลับมามองที่ต้นเสียง ซึ่งกลายเป็นนายรันนี่เองที่พูด การมาครั้งนี้ของนายรันนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ “ถ้าอยากได้มาก เดี๋ยวเราไปลองออกแบบตรงกังหันกับครกดู แบบที่นพร่างไว้ เดี๋ยว...เราถ่ายรูปไว้ก็ได้จะได้กะถูกว่าจะทำใหญ่เล็กแค่ไหน”
นวินส่งกระดาษที่นพดลร่างแบบเอาไว้ส่งให้นายรันถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์มือถือ
“งั้น...เดี๋ยวเราไปหาท่อพีวีซีมาผ่าเตรียมไว้เป็นรางก็แล้วกัน วันไหนนัดมาประกอบกลไกจะได้เร็วหน่อย” นวินเอ่ยต่อ
“งั้นเดี๋ยวเรากับสร ไปลองดูตรงอ่างน้ำละกันนะ แต่ถ้าต้องเลื่อยอะไรเราให้วินทำนะ”
เอาล่ะสิ แล้วฉันจะทำอะไร
“ชาไปกับเรา เดี๋ยวเย็นนี้เราจะไปหาวิธีทำตรงกังหันกัน”
เรื่องสั้น วัยรุ่น วุ่นวาย - ศักย์ จลน์ กล รัก
“ซวยจริง ท่าทางจะยาก” ยังไม่ทันไร นวินก็เริ่มบ่นซะแล้ว
“ไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง กลุ่มเจ้ากามนิต ได้เรื่อง พลังงานแสงอาทิตย์ ได้ตากแดดทดลองกันหน้าดำ หัวแดงแน่ ๆ” นภัสสรยังอารมณ์ดี กล่าวติดตลก “โครงงานของเรา ไม่ไฟฟ้าเป็นกล ก็กลเป็นไฟฟ้า หรือจะเอาศักย์เป็นจลน์ดี แค่เอาปี๊บมาเตะเล่น ก็เปลี่ยนจากศักย์เป็นจลน์แล้ว” ฉันเองกับนิชนันท์อดที่จะหัวเราะไม่ได้ จนกระทั่งเห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของท่านหัวหน้ากลุ่มนี่แหละ ฉันจึงเสนอความเห็นบ้าง
“หนูถีบจักรป่ะล่ะ หมุนจักร แล้วก็ต่อมอเตอร์ให้ไฟติด”
“หวายยย...เราไม่อยากเล่นกับสัตว์นี่นา แล้วหนูมันต้องเลี้ยง หมดโครงงาน จะเอามันไปไว้ไหน” นิชนันท์แย้ง
“เราอยากให้มันอลังการ อาจารย์จะได้ประทับใจ”
เป็นที่รู้กันในห้องนี้ ว่านพดลเป็นพวกชอบทำอะไรให้เด่นที่สุด ดีที่สุด อันที่จริงก็เป็นผลดีกับกลุ่มของเราเหมือนกัน เพราะทำให้พลอยได้คะแนนเก็บเยอะไปด้วย แต่ที่แย่คือ ทำให้เหนื่อยกว่าคนอื่น โดยเฉพาะกรณีที่กลุ่มนี้ มีนายจอมชิ่งอยู่หนึ่งคน นั่นยิ่งทำให้แรงงานในการทำงานลดลงไปโดยปริยาย
“เราเคยเห็นในรายการทีวีของญี่ปุ่นอ่ะ ที่มันเรียงกลไก ไหลลูกบอลลงไปตามราง แล้วก็ไปทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่อง” นพดลพูดไปพลาง ก็เปิดโทรศัพท์มือถือ เป็นที่รู้กันอีกแหละ ว่าคงเปิดตัวอย่างจากในอินเตอร์เนตให้ดู ระหว่างนั้นทุกคนก็แอบเครียดว่า ท่าทางจะต้องเหนื่อยอีกแล้ว
ในวิดิโอที่นพดลเปิดให้ดู ถ้าให้อธิบายแบบวิชาฟิสิกส์ ลูกเหล็กสะสมพลังงานศักย์ไว้ภายใน วิ่งลงมาตามราง ตามแรงโน้มถ่วงของโลกและองศาที่ปรับไว้ เกิดเป็นพลังงานจลน์ เมื่อสุดราง ก็กระทบกับคานดีดคานงัด ที่จะดึงเปิดเขื่อนกั้นน้ำเปิดออก พลังงานน้ำที่ไหลลงมา จะไปหมุนกับกังหันพลังน้ำ เมื่อแกนกังหันหมุน ก็จะเกิดเป็นพลังงานไฟฟ้า ทำให้หุ่นยนต์เคลื่อนไหวได้ ว่าไปแล้วมันก็เหมือนหนูถีบจักรที่ฉันนำเสนอแหละ แต่อลังการกว่า และที่สำคัญคือไม่ต้องเลี้ยงหนู
ในเมื่อไม่มีใครมีความคิดที่ดีกว่ามานำเสนอ เรื่องก็เลยจบลงตรงที่ว่า จะทำกลไกแบบที่เห็นในวิดิโอนี่แหละ แต่เปลี่ยนจากหุ่นยนต์และไดนาโม มาเป็นการโยกครกกระเดื่องจำลองแทน เป็นการผสมผสานกับภูมิปัญญาพื้นบ้าน ฟังดูน่าจะได้คำแนนดีแน่ ๆ
“ทีนี้เนื่องจากโครงการนี้น่าจะเป็นงานใหญ่งานสุดท้ายของเทอมนี้แล้ว และพวกเราก็ทำงานฟรีให้กับคนคนหนึ่งมาตลอด....” ยังไม่จบประโยค ฉันก็พอรู้ว่านพดลกำลังพูดถึงนิรันดร นอกจากจะเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มฉันแล้ว ยังเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ อีกด้วย และโดยที่ฉันไม่ทันรู้ตัว “...ชา เป็นหน้าที่ของเธอที่ต้องไปหาทางให้ไอ้รันมาทำงานนี้”
“ไหงงั้นน่ะ” ฉันประท้วงสุด ๆ ก็ถ้าที่ผ่านมาแม้แต่ท่านหัวหน้าผู้เฉียบขาดยังไม่สามารถลากนิรันดร มาทำงานกลุ่มได้ ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่ได้เลยสักงาน แล้วรอบนี้ทำไมต้องมาโยนให้ฉันด้วย “เธอเป็นหัวหน้าห้อง แล้วก็เป็นหัวหน้ากลุ่ม เธอก็ไปลากมาดิ”
“ก็ถ้ามันง่ายขนาดนั้น เราก็ทำไปแล้ว วัน ๆ เคยทันได้จับตัวไอ้รันมันซะที่ไหนล่ะ ขนาดวันนี้ ไลน์นัดไว้แล้วนะ จะไปดักตัวตอนเลิกเรียน ยังไม่ทันเลย”
ก็คงรีบกลับไปรดน้ำผัก แล้วก็ให้อาหารกระต่ายสุดที่รักอีกตามเคยแหละ หรือไม่ก็คงไปเดินเตร็ดเตร่แถว ๆ สวนรถไฟ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีอะไรให้น่าไปดูนักหนา
“ก็....อย่างมากก็บอกอาจารย์ แล้วก็ไม่ใส่ชื่อลงไปในรายงาน” ฉันยังดิ้นรนต่อ แม้จะรู้ว่าฟังไม่ขึ้นแบบสุด ๆ ที่จะทำแบบนั้น
“พูดง่าย ทำยากสิ ชา ยังไง ๆ ก็เพื่อนกัน ต้องอยู่ห้องเดียวกัน กลุ่มเดียวกันอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ คือ...ก็ปล่อย ๆ ไปหลายงานแล้วอ่ะนะ แต่รอบนี้ ยังไงเธอก็ต้องเอาตัวนายนิรันดร มาทำงานกลุ่มให้ได้ ไม่งั้นอาจารย์ก็ว่าอีก ว่ากลุ่มเราไม่เคยให้ไอ้รันมันทำอะไร เสียชื่อเราหมด”
ฉันได้แต่ทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย “เราไม่รับปากนะ แต่จะพยายาม”
เป็นอันว่า วันนี้นพดลก็จะกลับไปร่างแบบกลไกมา ก่อนที่จะไปหาซื้ออุปกรณ์มาประกอบ และทดลอง ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมร่างแบบการนำเสนอหน้าห้องเอาไว้ ส่วนงานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นของฉันคือ ต้องลากเจ้ารันมาเข้างานกลุ่มให้ได้ เพื่อไม่ให้เสียคะแนนจิตพิสัยของท่านผู้นำ
ระหว่างเดินเข้าบ้านในซอย ฉันลองแวะเข้าไปที่บ้านของนิรันดร ซึ่งก็เป็นไปตามคาด นิรันดรเดินออกมาเปิดประตูหน้าบ้านรับด้วยสีหน้าแปลกใจ กรอบแว่นสีดำหนาเตอะแบบที่ฉันเคยเห็นในรูปเก่า ๆ ของพ่อแม่ย้อนหลังไปเมื่อสักสามสิบกว่าปีก่อนหน้าตอนที่ท่านยังเป็นวัยรุ่น แต่กลับมาฮิตระเบิดเป็น “แฟชั่นเด็กเนิร์ด” ในพ.ศ.นี้ ชายเครื่องแบบนักเรียนหลุดออกมานอกกางเกง แถมยังขะมุกขะมอมไปด้วยดิน เดาได้ว่าคงอยู่ระหว่างเล่นกับกระต่าย
“ลมไรหอบมาเนี่ย!?” นายรันทักก่อนที่จะพาฉันเข้ามาในบ้าน อันที่จริงฉันคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้อยู่แล้ว ด้วยตอนเด็ก ๆ ก็เคยมาเล่นที่นี่บ่อย ๆ จนกระทั่งช่วงหลัง ๆ ที่ต่างคนต่างก็มีกิจกรรมอื่นที่ตัวเองสนใจนี่แหละ ถึงไม่ได้มาเสียนาน ซึ่งบ้านนี้ก็เปลี่ยนแปลงน้อยมาก ถ้าเดินจากประตูเข้าไป จะเป็นโรงรถ ระเบียงมุขเล็ก ๆ ยกสูงเล็กน้อย ปูกระเบื้องผิวมันสีฟ้าเข้ม เสริมด้วยม้านั่งระหว่างเสาสองต้น สนามหญ้า ที่ดัดแปลงเป็นแปลงผักเล็ก ๆ ตามความคิดของลูกเจ้าของบ้านคนนี้ แล้วก็กรงกระต่ายตั้งชิดตัวบ้าน ฉันตัดสินใจนั่งพักอยู่เพียงม้านั่งหน้าบ้าน เพราะไม่คิดว่าจะใช้เวลานาน
“ก็มีคนขอร้องให้มาอ่ะดิ เรื่องงานกลุ่มอ่ะ”ฉันตัดสินใจพูดตรง ๆ
“อ่อ” นายรันรับคำสั้นนิดเดียว
“คือเราก็รู้จักนายมาแต่เด็กนะ เรารู้ว่านายไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวอะไรหรอก แต่พฤติกรรมชิ่งงานกลุ่มของนายนี่ มันก็ยากนะที่จะไม่ให้คนอื่นเค้าว่า”
“ก็คงงั้น”
“แล้ว”
“แล้ว?”
“ยังมาย้อนอีก” เป็นคนอื่นคงคิดว่านายรันกำลังกวนโมโห แต่ฉันค่อนข้างมั่นใจว่า จากความเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวมาตั้งแต่เด็ก ๆ วัน ๆ อยู่แต่กับกระต่าย นายรันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าฉันต้องการอะไร “ไม่คิดว่าจะไปเข้ากลุ่มกับเค้าบ้างหรือไง ไปประชุมกลุ่ม ออกความเห็น ลงมือทำ นำเสนอหน้าห้องอะไรงี้ ปล่อยให้คนอื่นเค้าทำมาทั้งเทอมแล้วนะ มีปัญหาอะไรนักหนากับการทำงานกลุ่มเนี่ย”
“ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็...ไม่รู้จะช่วยอะไร ก็...เห็นทำกันเองได้”
“ที่ผ่านมาทุกคนทำเป็นลืม ๆ ว่ามีนายอยู่อีกคน แล้วก็ทำงานกลุ่มให้อยู่นี่ไงล่ะ แต่รอบนี้ ดลเขาให้เรามาพูดกับนายเนี่ย เพราะงั้น พรุ่งนี้ดลจะเอาแบบจำลองมาให้ เดี๋ยวจะแบ่งงานกันจริงจังอีกที อย่าชิ่งอีกละกัน”
ไม่มีเสียงตอบรับ เป็นอันรู้กันว่ากำลังเข้าสู่ภาวะดื้อเงียบ
“เราก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ ว่านายจะอะไรกันนักกันหนากับกระต่าย แปลงผักแล้วก็สวนรถไฟเนี่ย แต่ชีวิตนายไม่ได้มีแค่นี้นะ นายปฏิเสธสังคมไม่ได้ตลอดหรอก เพราะงั้น แบ่งเวลามาซะ”
นายรันพยักหน้า แต่ไม่ตอบอะไร สำหรับฉันถือว่าเป็นการตอบรับที่ไม่ถึงกับแย่นัก
“แล้วตกลงวันนี้ขนปุย กับข้าวสวย เป็นยังไงบ้างอ่ะ”ฉันทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยถามถึงกระต่าย ซึ่งออกจะได้ผลเกิดคาด นายรันพูดถึงกระต่ายทั้งสองเป็นคุ้งเป็นแคว สรุปว่า ช่วงนี้ขนปุยร่าเริงดี แต่ก่อนหน้านี้ฟันหน้ามันยื่นยาวมากไปหน่อยเพราะไม่ค่อยได้แทะอาหารแข็ง ต้องหาหัวไชเท้ากับแครอทสลับมาให้กินแทนผักกาดที่ปลูกไว้ในสนาม ส่วนข้าวสวยนั้นปกติจะไม่ซุกซนอะไร ชอบอยู่นิ่ง ๆ อยู่แล้ว เห็นได้ชัดเลยว่านายรันนี่คงอยู่กับกระต่ายเยอะไปจริง ๆ
หลังเลิกเรียนวัดถัดมา นพดลเอาแบบร่างมาให้ทุกคนในกลุ่มดู สิ่งที่แปลกตาไปคือวันนี้ นิรันดรยอมมานั่งฟังด้วย นพดลออกจะทึ่งที่ฉันทำสำเร็จ แต่ฉันเองก็ยังหวั่นใจว่า นิรันดรจะยอมนั่งอยู่อีกนานแค่ไหน
สรุปอุปกรณ์ที่จะต้องใช้สำหรับ “เมกะโปรเจคท์”รอบนี้ ได้แก่ ท่อพีวีซีสำหรับทำราง ลูกเปตอง ทัพพีสำหรับคานดีดคานงัด อ่างน้ำ แต่ที่เป็นปัญหาคือ อุปกรณ์ทำกังหันและครกกระเดื่อง ที่ดูเหมือนนพดลเองจะยังสับสนกับกลไกตรงนี้อยู่
“ตัวกังหันมันต้องรับน้ำได้ แล้วปริมาณน้ำมันต้องพอที่จะทำให้กังหันหมุนได้ด้วยอ่ะดิ” นภัสสรพยายามวิเคราะห์ “แล้วเราจะประกอบมันด้วยอะไร”
“ครกกระเดื่องอะไรนี่มันเป็นเรื่องคานดีดคานงัดไม่ใช่เหรอ” จู่ ๆ นิรันดรก็โพล่งเรื่องนี้ขึ้นมา เล่นเอาทั้งกลุ่มอึ้งไป “ก็ไหนบอกว่าทำเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบพลังงาน”
“ก็....มีอะไรเพิ่มขึ้นมา จะได้แตกต่างจากคนอื่น จะได้ได้คะแนนเยอะ ๆ ไง” นพดลพูดแก้เก้อ อันที่จริงฉันว่าแม้แต่ตอนที่เราประชุมกลุ่มกันเมื่อวาน ก็ไม่ได้มีใครคิดถึงเรื่องว่าเราทำงานเกินหัวข้อไปหน่อย และตอนนี้มันก็ทำให้เราต้องตกที่นั่งลำบากเสียอีก
“ก็ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไง แล้วก็ไม่เกี่ยวกับขอบเขตงาน ก็ไม่เห็นต้องทำตรงครกนี่เลย เอาแค่ให้กังหันมันหมุนปั่นไฟก็ได้” นิรันดรพูดต่อ ซึ่งดูเหมือนว่า นิชนันท์ นภัสสร เริ่มจะคล้อยตาม ส่วนนวินยังดูสับสนว่าจะเข้าข้างใครดี ฉันเองยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่เริ่มจะดูออกว่านพดลไม่ค่อยพอใจ ไม่บ่อยนักที่จะมีใครกล้าเถียง หรือขัดคอท่านผู้นำ
“รัน...นายนี่นะ”นพดลเริ่มพูดเสียงเข้ม ซึ่งนิรันดรยังทำหน้าเฉยเมย “แล้วดูทำหน้าเข้า กวนนักนะ”
มีแต่ฉันล่ะมั้งที่รู้ว่านายรันทำหน้าเฉยแบบไม่มีเจตนาอะไรเลย นอกจากแสดงความคิดเห็นตามปกติ ส่วนนพดลกลับเห็นว่า โดนนายรันกวนโมโหไปซะได้ สุดท้ายก็เกิดสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน และเชื่อว่าทุกคนที่เหลือก็ไม่เชื่อเหมือนกัน
“ก็ถ้าไม่อยากทำอย่างที่เราอยากได้ ก็ทำกันเองแล้วกัน เราเหนื่อยแล้ว ไม่ยุ่งด้วยแล้ว”
เป็นอันว่านพดลเดินออกจากการประชุมกลุ่มกลับบ้านไปเสียอย่างนั้น ส่วนทุกคนที่เหลือราวกับถูกไฟช็อตนิ่งอยู่กับที่ กว่านวินจะได้สติเรียกนพดลให้กลับมาคุยกันดี ๆ นพดลก็เดินเก็บกระเป๋าออกจากห้องไปไกลเกินกว่าจะวิ่งตามทันแล้ว ส่วนนายรันนั้น...
“เค้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ เหรอ เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” รันหันมาถามฉันหน้าตาเฉย ฉันจะโกรธก็โกรธไม่ลง เพราะรู้ดีเกินไปว่า รันไม่เคยมีเจตนาร้ายกับใคร แต่ไม่ค่อยรู้ว่าคนอื่นเค้าคิดยังไง
“ไม่รู้ตัวเหรอ ว่าไม่เคยมีใครกล้าท้าทายไอ้นพแบบนี้มาก่อน” นภัสสรตอบแทน พลางยักคิ้วหลิ่วตา“เจ๋งจริงอะไรจริง นาน ๆ จะยอมมาเข้างานกลุ่มแท้ ๆ แต่วางระเบิดซะกระจุยเลย”
“แล้ว...เราจะเอายังไงกันต่อดีอ่ะ” แล้วนิชนันท์ก็เริ่มพูดในสิ่งที่ฉันก็กำลังคิดอยู่ “ถ้าสรุปไม่ได้ ซื้อของไม่ทัน เดี๋ยวก็ทำงานไม่เสร็จพอดี แล้วไอ้แบบเนี่ย....ก็มีแต่นพดลที่ดูรู้เรื่อง แล้ว....ไปแล้วอ่ะ”
เงียบไปชั่วขณะ พวกเราไม่มีใครเคยเจอสถานการณ์นี้มาก่อน หัวหน้ากลุ่มผู้เด็ดขาด และกระหายคะแนน ทิ้งงานไปซะงั้น
“ก็ถ้า...ยอมทำตามแบบที่นพอยากทำ นพก็จะกลับมาเข้ากลุ่มป่ะ” ทุกคนหันกลับมามองที่ต้นเสียง ซึ่งกลายเป็นนายรันนี่เองที่พูด การมาครั้งนี้ของนายรันนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ “ถ้าอยากได้มาก เดี๋ยวเราไปลองออกแบบตรงกังหันกับครกดู แบบที่นพร่างไว้ เดี๋ยว...เราถ่ายรูปไว้ก็ได้จะได้กะถูกว่าจะทำใหญ่เล็กแค่ไหน”
นวินส่งกระดาษที่นพดลร่างแบบเอาไว้ส่งให้นายรันถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์มือถือ
“งั้น...เดี๋ยวเราไปหาท่อพีวีซีมาผ่าเตรียมไว้เป็นรางก็แล้วกัน วันไหนนัดมาประกอบกลไกจะได้เร็วหน่อย” นวินเอ่ยต่อ
“งั้นเดี๋ยวเรากับสร ไปลองดูตรงอ่างน้ำละกันนะ แต่ถ้าต้องเลื่อยอะไรเราให้วินทำนะ”
เอาล่ะสิ แล้วฉันจะทำอะไร
“ชาไปกับเรา เดี๋ยวเย็นนี้เราจะไปหาวิธีทำตรงกังหันกัน”