พอดีผมเขียนยาวมากใน FB ผมเลยอยากจะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับ
เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะเพื่อนผม Share กันมาก แล้วผมรู้สึกว่าข้อมูลไม่ถูกต้อง
จากเว็บนี้
http://www.thedarknesshero.com/2013/11/26/ตอบจดหมาย-พรบ2ล้านล้าน/
ยังไงก็ช่วยแก้ไขหากผมผิดพลาดในเรื่องของข้อมูล และ Discuss โดยใช้ Facts กันครับ
ปล. *ขอไม่เอาความเห็นแบบด่าเอามันส์ หรือ ความเชื่อนะครับ
ปล.2. Keyboard ผมไม่มีอักษรไทย เลยอาจพิมพ์ผิดถูกบ้าง ก็ขออภัยนะครับ
"เห็นหลายคนกลับมาให้ความสนใจเรื่อง พรบ. 2ล้านล้าน กันใหม่ นับว่าเป็นเรื่องดีครับ
แต่หากจะคัดค้าน อยากให้ค้านในเรื่องของวิธีการกู้มากกว่า เพราะแม้แต่ฝ่าย ปชป คุณกรณ์ก็เห็นด้วยเรื่อง การบูรณาการ สาธารณูปโภคทั้งหมดซึ่งรวมถึง รถไฟความเร็วสูงด้วย (ทำไมต้องบูรณาการ สาธารณูปโภค ตามใน link ข้างล่างครับ)
เห็นหลายคนแชร์เว็บนี้กัน แล้วมีบางประเด็นที่คิดว่าน่าจะเข้าใจผิด จะขอตอบเป็นข้อๆไปนะครับ (ข้อมูลอ้างอิงเดี๋ยวจะแนบไว้ในคอมเมนต์นะครับ)
1. "ต้องเข้าใจก่อนว่าเงิน 2 ล้านล้านบาทนี้น่ะ มันไม่ได้มีแค่การสร้างรถไฟความเร็วสูงหรอกนะ แต่ 43% คือรถไฟความเร็วสูง แต่มันมีอีกหลายโครงการแฝงในนั้น"
ตอบ ถูกต้องครับ มีท้ังหมด 53 โครงการ
2. "เรามาเริ่มที่ตัวเงิน 2 ล้านล้านก่อน เงินจำนวนนี้ในประวัติศาสตร์ชาติเรายังไม่มีการกู้มากขนาดนี้ แน่นอนว่าการคอรัปชั่นเป็นส่วนที่จะ-เงินส่วนนี้ไปมหาศาล เงินจำนวนที่กู้ 2 ล้านล้านบาทนี้จะใช้หมดภายใน 7 ปี (ซึ่งนั่นแปลเป็นนัยๆว่ารัฐบาลนี้หวังอยู่ยาวนะครับ) ซึ่งไม่มีรัฐบาลไหนทำนะ เขาจะกำหนดงบประมาณเป็นปีต่อปี นั่นเพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องและเศรษฐกิจในขณะนั้น รวมถึงเงินคงคลังว่าต้องกู้เท่าไหร่ หรือไม่ต้องกู้"
ตอบ ปัจจุบัน รบ. ไม่ว่าจะฝ่ายไหนต่างก็กู้ทั้งนั้นและก็ชอบด้วย ง่ายๆที่ชอบเรียกกันว่า ปีนี้ รบ. "ตั้งงบขาดดุล" พรบ.นี้ ข้อเสียคืออะไร ทำไมไม่กำหนดปีต่อปี? ตอบแบบสั้นๆ นะครับ หากเรากำหนดปีต่อปี ปีนี้เรามีเงินเหลือสามารถทำได้ แต่หากปีต่อไปเราไม่มีหละ วงเงินกู้เต็มล่ะ เราจะทำอย่างไร ตัวผู้รับเหมาเองหากไม่ได้เงินก็ไม่ทำต่อ ยกตัวอย่างเช่น สนามบินสุวรรณภูมิ (เป็นสนามบินที่ทำสถิติใช้ระยะเวลาการก่อสร้างยาวนานที่สุด ถึง 45 ปี ที่มา
http://www.thaibizcenter.com/KnowledgeCenter.asp?kid=194) หาก รบ. สมัยทักสินไม่กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ตอนนี้เราคงยังใช้ดอนเมืองอยู่ หรือ เสาโฮปเวลล์ดอนเมืองที่ปัจจุบันก็มีแต่ตอ เพราะฉะนั้นจึงแล้วแต่คนจะมองว่า เราอยากจะกู้แล้วกันเงินส่วนนั้นไว้ทำให้เสร็จภายใน 7 ปี หรือ เราจะมองว่ามันเป็นการสร้างหนี้มากเกินไป อยู่กันไปเรื่อยๆ แบบนี้ดีแล้ว
3. "คราวนี้เรามามองในเงินที่ต้องคืน เงินกู้ 2ล้านล้านบาทนี้ มีระยะเวลาใช้นี้กว่า 50 ปี มีดอกเบี้ยอีก 3.16 ล้านบาท และนั่นทำให้เราต้องจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมด 5.16 ล้านล้านบาท และคนไทยในฐานะผู้เสียภาษี เราทุกคนเป็นคนที่ต้องจ่ายคืน นี่ยังไม่รวมเงินที่กู้ก่อนหน้านี้อีกในปี 2555 อีกจำนวน 3.5 แสนล้านบาท(ยังไม่รวมดอกเบี้ย)"
ตอบ ในความเห็นส่วนตัวถือว่าตัวดอกเบี้ยถูกมาก เพราะการคำณวณดอกเบี้ยเงินกู้จะเป็นการคิดแบบ อัตราดอกเบี้ยก้าวหน้า (Compound Rate) ซึ่งปกติอัตราดอกเบี้ยจะรวมกับอัตราเงินเฟ้อแล้ว แต่หลังจากคำณวณคร่าวๆเองแล้ว ดอกเบี้ยโครงการนี้อยู่ที่ 1.72% ต่อปี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อประเทศไทย 10กว่าปีหลังเฉลี่ยอยู่ที่ 2.675% (ที่มา IMF) ดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้ออีก!! พูดอธิบายภาษาชาวบ้านก็ ปีนี้ เงินของคุณ 100 บาทเอาไปฝากธนาคาร ปีหน้าได้ดอกเบี้ยทบต้น เป็น 101.72 บาท แต่เพราะเงินเฟ้อ เงินคุณจะมีค่าจริงๆ แค่ 101.72-2.675 = 99.045บาท คนปกติแล้วจะไม่เอาเงินไปฝากธนาคารแน่นอนเพราะ เงินแทนที่จะได้มากขึ้นกลับเหลือน้อยลง สู้เอาเงินไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ
4. "หนักกว่านั้นอีกนะ คือเงินจะไม่ผ่านกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเงินของแผ่นดิน การหารายได้ รวมถึงภาระผูกพันทางการเงินอื่นๆ เมื่อไม่ผ่านกระทรวงการคลัง ซึ่งผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวในเรื่องการเงินของประเทศ นั่นแปลว่านี่คือเงินของแผ่นดินหรือไม่? ตามหน้าที่ของกระทรวงการคลังนี้ แปลว่านี่ไม่ใช่เงินของแผ่นดิน แล้วมันจะเป็นเงินของใครละ ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ แต่ที่ตอบได้คือคนไทยเราใช้หนี้กันหัวบาน นอกจากไม่ผ่านกระทรวงการคลังแล้ว ยังไม่ผ่านสำนักงบประมาณอีก ซึ่งหน่วยกลางในการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ก่อนที่รัฐบาลจะนำเสนอรัฐสภา เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ประกาศใช้เป็น พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งการทำต้องทำปีต่อปีนะ เมื่อไม่ผ่านจึงไม่มีการนำเสนองบประมาณไปทำอะไรต่อ มีแต่เงินกองไว้ให้มันเอาไปใช้ได้ตามใจชอบ"
ตอบ จากข้อ 2 เพิ่มเติมว่า ปกติแล้วการลงทุนทำอะไรก็แล้วแต่ไม่ว่าจะ รายบุคคล ระดับบริษัทเล็กๆ ใหญ่ๆ หรือ รัฐ จะต้องมีการกันเงินไว้เพื่อดำเนินโครงการให้เสร็จ ยกตัวอย่างเช่น มีคนอยู่คนหนึ่งอยากซื้อบ้านของตัวเอง มีเงินก้อนแต่ไม่พอ คงไม่มีใครที่จะเอาเงินก้อนนี้ไปสร้าง เสาเอกก่อน ปีหน้าค่อยหลังคา ปีต่อไปค่อยก่อกำแพง ใช่มั้ยละครับ เพราะแทนที่จะทำอย่างนั้น เราเลือกที่จะกู้เงินซื้อบ้าน วางเงินดาวน์แล้วผ่อนกับธนาคารเอา หรือไม่ก็เก็บเงินจนกว่าจะซื้อได้รวดเดียวเลย พรบ.ตัวนี้ก่อนที่จะจ่ายออกไปแต่ละโครงการต่างก็ต้องประเมิณหรือพิจารณา ความเป็นไปได้ก่อนที่จะลงทุน หลังจากนั้นเงินส่วนที่ผ่านการพิจารณาเห็นชอบในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะกฏหมาย ความเป็นไปได้ เงื่อนไขการควบคุมคุณภาพต่างๆแล้ว จึงกันเงินส่วนนี้ออกไป ตามระยะเวลาของแต่ละโครงการต้องการเช่น 100ล้าน สำหรับรถไฟสายใหม่ ระยะ 2 ปี ก็จะกันเงิน 100ล้านไว้ 2 ปี ไม่ได้กู้ที่เดียว 2.2ล้านๆครับ
5. "คราวนี้เมื่อไม่มีการนำเข้าสภา แล้วใครจะตรวจสอบได้ ไม่มีใครตรวจสอบได้เลย มีแต่ประชาชนอย่างเราๆที่จะต้องคอยตรวจสอบเป็นหูเป็นตา แต่ประชาชนไม่ได้มีเวลามาคอยดูคอยตรวจสอบขนาดนั้น และไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องตามล้างตามเช็ด เมื่อตรวจสอบไม่ได้ มันจะเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง ก็ไม่มีสิทธิแก้ไข ก็๋-กันได้สบายแฮจริงไหม"
ตอบ แม้แต่โครงการหรือเงินที่ใช้ในปัจจุบันในแต่ละปี ต่างก็โกงกันมหาศาลอยู่แล้ว เช่น สร้างโรงพัก สนามบิน45ปี คราวนี้แทนที่จะเพ่งเล็งเฉพาะ พรบ. 2ล้านๆ เราควรจะให้ความสนใจกับวิธีการมากกว่า ว่าจะทำอย่างไร นอกจาก พรบ. 2ล้านล้านแล้วเนี่ย เงินปกติ งบประมาณรายปีที่ที่พวกเราจ่ายภาษีไป จะไม่ถูกโกงกิน ซึ่งเท่าที่ฟัง รบ. เองก็อนุญาติให้ประชาชนตรวจสอบ ในขณะเดียวกัน ถึงขนาดพร้อมจะใส่เป็นระเบียบสำนักนายก เพราะหากใส่เป็นระเบียบสำนักนายกแล้ว นอกจาก พรบ. แล้ว ทุกโครงการอื่นๆ จากรายปีก็จะถูกตรวจสอบมากขึ้นด้วย
6. "ใน 2 ล้านล้าน บาทนี้ยังมีเงินที่ต้องจ่ายค่าที่ปรึกษา 3% คิดเป็น 6 หมื่นล้านบาท แล้วรู้ไหมว่าใครจะได้เป็นที่ปรึกษาโครงการบ้าง แน่นอนดูจากการทำงานและการบริหาร รวมถึงตำแหน่งต่างๆ ก็พวกมันเองนั่นแหละไปนั่งเป็นที่ปรึกษา -กันได้อีกทอดเยี่ยมไหมละ"
ตอบ อันนี้เหตุยังไม่เกิด เช่นใครมาทำมาโกงกิน ขอไม่ออกความเห็นครับ เราไม่สามารถบอกได้ว่าจะเกิดการโกงกินมั้ย แต่ค่าที่ปรึกษาโครงการใหญ่ (อ้างอิงจากบริษัทใหญ่ๆ ที่ใช้ Consult Service) โดยปกติแล้วตัวเลข จะอยู่ที่ 3%-10% อยู่แล้วตามแต่ industry แต่อยากให้คิดนิดนึงว่า หากเราเอาแต่กลัวเราก็ไม่ควรเริ่ม เช่น กลัวรถชน เลยไม่ขับรถ กลัวเครื่องบินตกเลยไม่นั่งเครื่องบิน มันดีแล้วเหรอครับ
7. "ราวนี้เรามาดูโครงการต่างๆต่อ โครงการตาม พรบ.เงินกู้ส่วนใหญ่โครงการขนาดใหญ่ที่ต้องผ่านการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมซึ่งจำเป็น ใช้เวลาค่อนข้างมาก สิ่งที่มันทำคือไม่ทำไม่ศึกษาอะไรทั้งสิ่น มีแต่กระดาษเพียงไม่กี่แผ่นแล้วบอกนี่ไงโครงการที่จะทำแล้วก็ยกมือผ่านร่างกันไป (รวมถึงไอ้รถไฟฟ้าความเร็วสูงที่สนอกสนใจนี่ด้วย)"
ตอบ จากที่ทราบมา มีการทำ EIA, HIA และอื่นๆ ของแต่ละโครงการมานานแล้วครับ
8. "แล้วรู้หรือไม่ว่าการกู้เงินแบบนี้ อาจจะทำให้ไทยเสียสิทธิ์ในอำนาจอธิปไตยทั้งทางตรงและทางอ้อม เอาง่ายๆตอนเราเป็นหนี้ IMF ตอนนั้นเราต้องยอมทำอะไรหลายๆอย่าง พูดง่ายๆเราต้องเป็นเบี้ยล่างของเจ้าหนี้ แก้ไขกฏต่างๆมากมาย เพื่ออยู่ในข้อบังคับของ IMF (มันต่างอะไรกับการเสียอำนาจอธิปไตยบางส่วนวะ) นอกจากนี้ การกู้เงินเป็นสกุลเงินต่างประเทศจะทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงจากความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนได้อีกด้วย ดังนั้นไอ้ 5.16 ล้านล้าน นี้ อาจจะพุ่งขึ้นหรือลดลงได้ เราไม่รู้อนาคต ว่าเราควรเสี่ยงไหม? ขนาดปีต่อปียังยาก แล้วนี่ 50 ปี เอาแค่ค่าเงินต่างกันปีละ 0.5% ความ

มันจะเพิ่มขึ้นขนาดไหน"
ตอบ เท่าที่ทราบจะเป็น เงินกู้ในประเทศนะครับ เพราะฉะนั้นเงินก็จะหมุนอยู่แค่ในประเทศ (อันนี้ไม่แน่ใจว่ามีการกู้บางส่วนจากต่างประเทศมั้ย)
9. เรามาเรื่องรถไฟความเร็วสูงที่สนใจต่อ อย่างที่กูบอกไป ไม่มีการศึกษาใดๆ ไม่ศึกษาด้านสุขภาพของคนและสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากมันจะเอา (-ได้ไง) และรถไฟความเร็วสูงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ไปได้ไม่ถึงหนองคาย สิ้นสุดแค่ โคราช ส่วนภาคใต้ ไปแค่ เพชรบุรี ไอ้ที่ไปได้สุดๆมีที่เดียวคือกรุงเทพ-เชียงใหม่ (บ้านไอ้ทักษิณไง) และอย่างที่บอกโครงการนี้ไม่มีการทำการศึกษาใดๆทั้งสิ้น มีเพียงแผนการโง่ๆบนกระดาษไม่กี่แผ่นเท่านั้น แต่จะเอาเงินไปใช้ 7 แสนล้านบาท ตรวจสอบห่าอะไรก็ไม่ได้ ในรัฐบาลนอมินีของนักโทษที่ที่ได้ชื่อว่าโกงที่สุด -หนักที่สุด
ตอบ. ให้อธิบายเรื่องเส้นทางคงยาวครับ แนะนำให้ดูอ้างอิงที่คอมเมนต์ครับ
10. "คราวนี้มามองภาพเล็กๆบ้าง คือกำไร-ขาดทุน กับไอ้โครงการรถไฟนี่ การทำรถไฟนี้มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงมากเพราะมันวิ่งแค่ในประเทศไปเชื่อมกับใครไม่ได้เลย (ดังนั้น AEC ตัดไปได้) ไปสุดๆแค่เชียงใหม่ ที่เหลือไม่ถึง ค่าโดยสารต่อให้ 1,500 บาทต่อคนต่อเที่ยวตามประมาณการยังต้องขาดทุนอีกปีละ 3 พันล้านบาท คำถามคือ Low Cost Airline ราคาเท่าไหร่ กรุงเทพ-เชียงใหม่ 800-900 บาทยังมีเลย รถทัวล์ก็ 600-700 บาท แล้วมันจะไปสู้อะไร เจ้งไหม? นายกบอกเอาไว้ขนผักหวะครับ เร็วดีไม่เน่าเสีย นี่มันตอบแบบกำปั้นทุบดิน ทุกวันนี้ และกูก็มีผักสดมีผลไม้จากภาคต่างๆให้-กันสบายจริงไหม"
ตอบ ผมอยากให้ดูในเรื่อง Macroeconomics แล้ว Other Revenues มากกว่าแค่คำณวนเรื่องค่าตั๋วครับ เช่น ปกติแล้ว รายได้จากค่าเช่าที่หรือรายได้อื่นๆจากสถานีจะเป็นอัตราส่วนของรายได้ทั้งหมดที่ประมาณ 35%-50% ครับ (อ้างอิงจากประเทศ ญี่ปุ่น
http://www.jreast.co.jp/e/investor/ar/2013/pdf/ar_2013_all.pdf ) และยังมีรายได้จากการขนส่ง ซึ่งจะมาทดแทนส่วนของตั๋วบุคคล ในขณะที่เราสามารถกระจายความเจริญ Urbanization ด้วยครับ ให้ดูใกล้ตัว ว่าก่อน BTS แล้วหลัง BTS เป็นอย่างไร การพัฒนาแบบนั้นจะกระจายอยู่ต่างจังหวัดครับ กระตุ้นการท่องเที่ยว และอีกมากมาย เรื่องการเดินทาง หากมีรถไฟความเร็วสูงมา ปริมาณคนใช้จะมากขึ้นครับ บางคนไม่อยากใช้รถทัวร์เพราะเรื่องความปลอดภัย เรื่องความตรงต่อเวลา ระยะเวลา และความปลอดภัยก็มากกว่าทัวร์ สะดวกกว่าเครื่องบิน
พรบ. 2ล้านล้าน ด่ากันมากมาย ไม่ดีจริงหรือ
เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะเพื่อนผม Share กันมาก แล้วผมรู้สึกว่าข้อมูลไม่ถูกต้อง
จากเว็บนี้ http://www.thedarknesshero.com/2013/11/26/ตอบจดหมาย-พรบ2ล้านล้าน/
ยังไงก็ช่วยแก้ไขหากผมผิดพลาดในเรื่องของข้อมูล และ Discuss โดยใช้ Facts กันครับ
ปล. *ขอไม่เอาความเห็นแบบด่าเอามันส์ หรือ ความเชื่อนะครับ
ปล.2. Keyboard ผมไม่มีอักษรไทย เลยอาจพิมพ์ผิดถูกบ้าง ก็ขออภัยนะครับ
"เห็นหลายคนกลับมาให้ความสนใจเรื่อง พรบ. 2ล้านล้าน กันใหม่ นับว่าเป็นเรื่องดีครับ
แต่หากจะคัดค้าน อยากให้ค้านในเรื่องของวิธีการกู้มากกว่า เพราะแม้แต่ฝ่าย ปชป คุณกรณ์ก็เห็นด้วยเรื่อง การบูรณาการ สาธารณูปโภคทั้งหมดซึ่งรวมถึง รถไฟความเร็วสูงด้วย (ทำไมต้องบูรณาการ สาธารณูปโภค ตามใน link ข้างล่างครับ)
เห็นหลายคนแชร์เว็บนี้กัน แล้วมีบางประเด็นที่คิดว่าน่าจะเข้าใจผิด จะขอตอบเป็นข้อๆไปนะครับ (ข้อมูลอ้างอิงเดี๋ยวจะแนบไว้ในคอมเมนต์นะครับ)
1. "ต้องเข้าใจก่อนว่าเงิน 2 ล้านล้านบาทนี้น่ะ มันไม่ได้มีแค่การสร้างรถไฟความเร็วสูงหรอกนะ แต่ 43% คือรถไฟความเร็วสูง แต่มันมีอีกหลายโครงการแฝงในนั้น"
ตอบ ถูกต้องครับ มีท้ังหมด 53 โครงการ
2. "เรามาเริ่มที่ตัวเงิน 2 ล้านล้านก่อน เงินจำนวนนี้ในประวัติศาสตร์ชาติเรายังไม่มีการกู้มากขนาดนี้ แน่นอนว่าการคอรัปชั่นเป็นส่วนที่จะ-เงินส่วนนี้ไปมหาศาล เงินจำนวนที่กู้ 2 ล้านล้านบาทนี้จะใช้หมดภายใน 7 ปี (ซึ่งนั่นแปลเป็นนัยๆว่ารัฐบาลนี้หวังอยู่ยาวนะครับ) ซึ่งไม่มีรัฐบาลไหนทำนะ เขาจะกำหนดงบประมาณเป็นปีต่อปี นั่นเพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องและเศรษฐกิจในขณะนั้น รวมถึงเงินคงคลังว่าต้องกู้เท่าไหร่ หรือไม่ต้องกู้"
ตอบ ปัจจุบัน รบ. ไม่ว่าจะฝ่ายไหนต่างก็กู้ทั้งนั้นและก็ชอบด้วย ง่ายๆที่ชอบเรียกกันว่า ปีนี้ รบ. "ตั้งงบขาดดุล" พรบ.นี้ ข้อเสียคืออะไร ทำไมไม่กำหนดปีต่อปี? ตอบแบบสั้นๆ นะครับ หากเรากำหนดปีต่อปี ปีนี้เรามีเงินเหลือสามารถทำได้ แต่หากปีต่อไปเราไม่มีหละ วงเงินกู้เต็มล่ะ เราจะทำอย่างไร ตัวผู้รับเหมาเองหากไม่ได้เงินก็ไม่ทำต่อ ยกตัวอย่างเช่น สนามบินสุวรรณภูมิ (เป็นสนามบินที่ทำสถิติใช้ระยะเวลาการก่อสร้างยาวนานที่สุด ถึง 45 ปี ที่มา http://www.thaibizcenter.com/KnowledgeCenter.asp?kid=194) หาก รบ. สมัยทักสินไม่กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ตอนนี้เราคงยังใช้ดอนเมืองอยู่ หรือ เสาโฮปเวลล์ดอนเมืองที่ปัจจุบันก็มีแต่ตอ เพราะฉะนั้นจึงแล้วแต่คนจะมองว่า เราอยากจะกู้แล้วกันเงินส่วนนั้นไว้ทำให้เสร็จภายใน 7 ปี หรือ เราจะมองว่ามันเป็นการสร้างหนี้มากเกินไป อยู่กันไปเรื่อยๆ แบบนี้ดีแล้ว
3. "คราวนี้เรามามองในเงินที่ต้องคืน เงินกู้ 2ล้านล้านบาทนี้ มีระยะเวลาใช้นี้กว่า 50 ปี มีดอกเบี้ยอีก 3.16 ล้านบาท และนั่นทำให้เราต้องจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมด 5.16 ล้านล้านบาท และคนไทยในฐานะผู้เสียภาษี เราทุกคนเป็นคนที่ต้องจ่ายคืน นี่ยังไม่รวมเงินที่กู้ก่อนหน้านี้อีกในปี 2555 อีกจำนวน 3.5 แสนล้านบาท(ยังไม่รวมดอกเบี้ย)"
ตอบ ในความเห็นส่วนตัวถือว่าตัวดอกเบี้ยถูกมาก เพราะการคำณวณดอกเบี้ยเงินกู้จะเป็นการคิดแบบ อัตราดอกเบี้ยก้าวหน้า (Compound Rate) ซึ่งปกติอัตราดอกเบี้ยจะรวมกับอัตราเงินเฟ้อแล้ว แต่หลังจากคำณวณคร่าวๆเองแล้ว ดอกเบี้ยโครงการนี้อยู่ที่ 1.72% ต่อปี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อประเทศไทย 10กว่าปีหลังเฉลี่ยอยู่ที่ 2.675% (ที่มา IMF) ดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้ออีก!! พูดอธิบายภาษาชาวบ้านก็ ปีนี้ เงินของคุณ 100 บาทเอาไปฝากธนาคาร ปีหน้าได้ดอกเบี้ยทบต้น เป็น 101.72 บาท แต่เพราะเงินเฟ้อ เงินคุณจะมีค่าจริงๆ แค่ 101.72-2.675 = 99.045บาท คนปกติแล้วจะไม่เอาเงินไปฝากธนาคารแน่นอนเพราะ เงินแทนที่จะได้มากขึ้นกลับเหลือน้อยลง สู้เอาเงินไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ
4. "หนักกว่านั้นอีกนะ คือเงินจะไม่ผ่านกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเงินของแผ่นดิน การหารายได้ รวมถึงภาระผูกพันทางการเงินอื่นๆ เมื่อไม่ผ่านกระทรวงการคลัง ซึ่งผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวในเรื่องการเงินของประเทศ นั่นแปลว่านี่คือเงินของแผ่นดินหรือไม่? ตามหน้าที่ของกระทรวงการคลังนี้ แปลว่านี่ไม่ใช่เงินของแผ่นดิน แล้วมันจะเป็นเงินของใครละ ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ แต่ที่ตอบได้คือคนไทยเราใช้หนี้กันหัวบาน นอกจากไม่ผ่านกระทรวงการคลังแล้ว ยังไม่ผ่านสำนักงบประมาณอีก ซึ่งหน่วยกลางในการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ก่อนที่รัฐบาลจะนำเสนอรัฐสภา เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ประกาศใช้เป็น พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งการทำต้องทำปีต่อปีนะ เมื่อไม่ผ่านจึงไม่มีการนำเสนองบประมาณไปทำอะไรต่อ มีแต่เงินกองไว้ให้มันเอาไปใช้ได้ตามใจชอบ"
ตอบ จากข้อ 2 เพิ่มเติมว่า ปกติแล้วการลงทุนทำอะไรก็แล้วแต่ไม่ว่าจะ รายบุคคล ระดับบริษัทเล็กๆ ใหญ่ๆ หรือ รัฐ จะต้องมีการกันเงินไว้เพื่อดำเนินโครงการให้เสร็จ ยกตัวอย่างเช่น มีคนอยู่คนหนึ่งอยากซื้อบ้านของตัวเอง มีเงินก้อนแต่ไม่พอ คงไม่มีใครที่จะเอาเงินก้อนนี้ไปสร้าง เสาเอกก่อน ปีหน้าค่อยหลังคา ปีต่อไปค่อยก่อกำแพง ใช่มั้ยละครับ เพราะแทนที่จะทำอย่างนั้น เราเลือกที่จะกู้เงินซื้อบ้าน วางเงินดาวน์แล้วผ่อนกับธนาคารเอา หรือไม่ก็เก็บเงินจนกว่าจะซื้อได้รวดเดียวเลย พรบ.ตัวนี้ก่อนที่จะจ่ายออกไปแต่ละโครงการต่างก็ต้องประเมิณหรือพิจารณา ความเป็นไปได้ก่อนที่จะลงทุน หลังจากนั้นเงินส่วนที่ผ่านการพิจารณาเห็นชอบในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะกฏหมาย ความเป็นไปได้ เงื่อนไขการควบคุมคุณภาพต่างๆแล้ว จึงกันเงินส่วนนี้ออกไป ตามระยะเวลาของแต่ละโครงการต้องการเช่น 100ล้าน สำหรับรถไฟสายใหม่ ระยะ 2 ปี ก็จะกันเงิน 100ล้านไว้ 2 ปี ไม่ได้กู้ที่เดียว 2.2ล้านๆครับ
5. "คราวนี้เมื่อไม่มีการนำเข้าสภา แล้วใครจะตรวจสอบได้ ไม่มีใครตรวจสอบได้เลย มีแต่ประชาชนอย่างเราๆที่จะต้องคอยตรวจสอบเป็นหูเป็นตา แต่ประชาชนไม่ได้มีเวลามาคอยดูคอยตรวจสอบขนาดนั้น และไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องตามล้างตามเช็ด เมื่อตรวจสอบไม่ได้ มันจะเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง ก็ไม่มีสิทธิแก้ไข ก็๋-กันได้สบายแฮจริงไหม"
ตอบ แม้แต่โครงการหรือเงินที่ใช้ในปัจจุบันในแต่ละปี ต่างก็โกงกันมหาศาลอยู่แล้ว เช่น สร้างโรงพัก สนามบิน45ปี คราวนี้แทนที่จะเพ่งเล็งเฉพาะ พรบ. 2ล้านๆ เราควรจะให้ความสนใจกับวิธีการมากกว่า ว่าจะทำอย่างไร นอกจาก พรบ. 2ล้านล้านแล้วเนี่ย เงินปกติ งบประมาณรายปีที่ที่พวกเราจ่ายภาษีไป จะไม่ถูกโกงกิน ซึ่งเท่าที่ฟัง รบ. เองก็อนุญาติให้ประชาชนตรวจสอบ ในขณะเดียวกัน ถึงขนาดพร้อมจะใส่เป็นระเบียบสำนักนายก เพราะหากใส่เป็นระเบียบสำนักนายกแล้ว นอกจาก พรบ. แล้ว ทุกโครงการอื่นๆ จากรายปีก็จะถูกตรวจสอบมากขึ้นด้วย
6. "ใน 2 ล้านล้าน บาทนี้ยังมีเงินที่ต้องจ่ายค่าที่ปรึกษา 3% คิดเป็น 6 หมื่นล้านบาท แล้วรู้ไหมว่าใครจะได้เป็นที่ปรึกษาโครงการบ้าง แน่นอนดูจากการทำงานและการบริหาร รวมถึงตำแหน่งต่างๆ ก็พวกมันเองนั่นแหละไปนั่งเป็นที่ปรึกษา -กันได้อีกทอดเยี่ยมไหมละ"
ตอบ อันนี้เหตุยังไม่เกิด เช่นใครมาทำมาโกงกิน ขอไม่ออกความเห็นครับ เราไม่สามารถบอกได้ว่าจะเกิดการโกงกินมั้ย แต่ค่าที่ปรึกษาโครงการใหญ่ (อ้างอิงจากบริษัทใหญ่ๆ ที่ใช้ Consult Service) โดยปกติแล้วตัวเลข จะอยู่ที่ 3%-10% อยู่แล้วตามแต่ industry แต่อยากให้คิดนิดนึงว่า หากเราเอาแต่กลัวเราก็ไม่ควรเริ่ม เช่น กลัวรถชน เลยไม่ขับรถ กลัวเครื่องบินตกเลยไม่นั่งเครื่องบิน มันดีแล้วเหรอครับ
7. "ราวนี้เรามาดูโครงการต่างๆต่อ โครงการตาม พรบ.เงินกู้ส่วนใหญ่โครงการขนาดใหญ่ที่ต้องผ่านการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมซึ่งจำเป็น ใช้เวลาค่อนข้างมาก สิ่งที่มันทำคือไม่ทำไม่ศึกษาอะไรทั้งสิ่น มีแต่กระดาษเพียงไม่กี่แผ่นแล้วบอกนี่ไงโครงการที่จะทำแล้วก็ยกมือผ่านร่างกันไป (รวมถึงไอ้รถไฟฟ้าความเร็วสูงที่สนอกสนใจนี่ด้วย)"
ตอบ จากที่ทราบมา มีการทำ EIA, HIA และอื่นๆ ของแต่ละโครงการมานานแล้วครับ
8. "แล้วรู้หรือไม่ว่าการกู้เงินแบบนี้ อาจจะทำให้ไทยเสียสิทธิ์ในอำนาจอธิปไตยทั้งทางตรงและทางอ้อม เอาง่ายๆตอนเราเป็นหนี้ IMF ตอนนั้นเราต้องยอมทำอะไรหลายๆอย่าง พูดง่ายๆเราต้องเป็นเบี้ยล่างของเจ้าหนี้ แก้ไขกฏต่างๆมากมาย เพื่ออยู่ในข้อบังคับของ IMF (มันต่างอะไรกับการเสียอำนาจอธิปไตยบางส่วนวะ) นอกจากนี้ การกู้เงินเป็นสกุลเงินต่างประเทศจะทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงจากความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนได้อีกด้วย ดังนั้นไอ้ 5.16 ล้านล้าน นี้ อาจจะพุ่งขึ้นหรือลดลงได้ เราไม่รู้อนาคต ว่าเราควรเสี่ยงไหม? ขนาดปีต่อปียังยาก แล้วนี่ 50 ปี เอาแค่ค่าเงินต่างกันปีละ 0.5% ความ
ตอบ เท่าที่ทราบจะเป็น เงินกู้ในประเทศนะครับ เพราะฉะนั้นเงินก็จะหมุนอยู่แค่ในประเทศ (อันนี้ไม่แน่ใจว่ามีการกู้บางส่วนจากต่างประเทศมั้ย)
9. เรามาเรื่องรถไฟความเร็วสูงที่สนใจต่อ อย่างที่กูบอกไป ไม่มีการศึกษาใดๆ ไม่ศึกษาด้านสุขภาพของคนและสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากมันจะเอา (-ได้ไง) และรถไฟความเร็วสูงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ไปได้ไม่ถึงหนองคาย สิ้นสุดแค่ โคราช ส่วนภาคใต้ ไปแค่ เพชรบุรี ไอ้ที่ไปได้สุดๆมีที่เดียวคือกรุงเทพ-เชียงใหม่ (บ้านไอ้ทักษิณไง) และอย่างที่บอกโครงการนี้ไม่มีการทำการศึกษาใดๆทั้งสิ้น มีเพียงแผนการโง่ๆบนกระดาษไม่กี่แผ่นเท่านั้น แต่จะเอาเงินไปใช้ 7 แสนล้านบาท ตรวจสอบห่าอะไรก็ไม่ได้ ในรัฐบาลนอมินีของนักโทษที่ที่ได้ชื่อว่าโกงที่สุด -หนักที่สุด
ตอบ. ให้อธิบายเรื่องเส้นทางคงยาวครับ แนะนำให้ดูอ้างอิงที่คอมเมนต์ครับ
10. "คราวนี้มามองภาพเล็กๆบ้าง คือกำไร-ขาดทุน กับไอ้โครงการรถไฟนี่ การทำรถไฟนี้มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงมากเพราะมันวิ่งแค่ในประเทศไปเชื่อมกับใครไม่ได้เลย (ดังนั้น AEC ตัดไปได้) ไปสุดๆแค่เชียงใหม่ ที่เหลือไม่ถึง ค่าโดยสารต่อให้ 1,500 บาทต่อคนต่อเที่ยวตามประมาณการยังต้องขาดทุนอีกปีละ 3 พันล้านบาท คำถามคือ Low Cost Airline ราคาเท่าไหร่ กรุงเทพ-เชียงใหม่ 800-900 บาทยังมีเลย รถทัวล์ก็ 600-700 บาท แล้วมันจะไปสู้อะไร เจ้งไหม? นายกบอกเอาไว้ขนผักหวะครับ เร็วดีไม่เน่าเสีย นี่มันตอบแบบกำปั้นทุบดิน ทุกวันนี้ และกูก็มีผักสดมีผลไม้จากภาคต่างๆให้-กันสบายจริงไหม"
ตอบ ผมอยากให้ดูในเรื่อง Macroeconomics แล้ว Other Revenues มากกว่าแค่คำณวนเรื่องค่าตั๋วครับ เช่น ปกติแล้ว รายได้จากค่าเช่าที่หรือรายได้อื่นๆจากสถานีจะเป็นอัตราส่วนของรายได้ทั้งหมดที่ประมาณ 35%-50% ครับ (อ้างอิงจากประเทศ ญี่ปุ่น http://www.jreast.co.jp/e/investor/ar/2013/pdf/ar_2013_all.pdf ) และยังมีรายได้จากการขนส่ง ซึ่งจะมาทดแทนส่วนของตั๋วบุคคล ในขณะที่เราสามารถกระจายความเจริญ Urbanization ด้วยครับ ให้ดูใกล้ตัว ว่าก่อน BTS แล้วหลัง BTS เป็นอย่างไร การพัฒนาแบบนั้นจะกระจายอยู่ต่างจังหวัดครับ กระตุ้นการท่องเที่ยว และอีกมากมาย เรื่องการเดินทาง หากมีรถไฟความเร็วสูงมา ปริมาณคนใช้จะมากขึ้นครับ บางคนไม่อยากใช้รถทัวร์เพราะเรื่องความปลอดภัย เรื่องความตรงต่อเวลา ระยะเวลา และความปลอดภัยก็มากกว่าทัวร์ สะดวกกว่าเครื่องบิน