15 เรื่องควรรู้ก่อนดู The Hobbit


1. ธีมหลักของเรื่อง
.

ธีมหลักของเรื่องกล่าวถึงวีรบุรุษและการพิชิตสงคราม ซึ่งประเด็นแบบนี้นำมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของโทลคีนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ประกอบกับความชอบในแฟร์รี่เทล และความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีของชาวแองโกล-แซ็กซอน ทำให้เขามีเรื่องราวมากมายที่จะถ่ายทอดสู่สายตาของผู้อ่าน
.

นวนิยาย The Hobbit ได้รับการยกย่องจากสื่อมวลชนมากมายจากการตีพิมพ์ครั้งแรก อย่างเช่น ซี เอส ลูอิส นักเขียนชื่อดังจากผลงานชุด The Chronicles of Narnia ซึ่งเป็นเพื่อนกับโทลคีน ได้กล่าวเชิงคาดเดาใน The Times ว่า
“ความจริงสำหรับหนังสือเล่มนี้ก็คือ มีสิ่งดีๆหลายสิ่งถูกนำเสนอมาด้วยกัน ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์ขันที่มีอยู่มากมาย ความเข้าใจในตัวเด็กๆ และการนำตำนานทั้งหลายมาหลอมรวมกันเป็นบทกลอนเพราะๆ โทลคีนได้ค้นคว้าเรื่องของโทรลล์ มังกร และอีกหลายอย่าง ทำให้งานเขียนของเขามีความเป็นต้นตำรับอย่างแท้จริง”

2. บิลโบ แบ็กกินส์
.

บิลโบ แบ็กกินส์ เป็นฮอบบิทตัวจ้อยแห่งไชร์ ผู้ที่ไม่ค่อยชอบการผจญภัย แต่เราจะได้เห็นเขาออกผจญภัยไปที่ต่างๆมากมายใน The Hobbit หลังจากที่เขาตกปากรับคำกับพ่อมดเทาแกนดาล์ฟและคนแคระทั้งสิบสาม ที่ต้องการให้เขาร่วมเดินทางเพื่อทวงความเป็นเจ้าของในแผ่นดินเกิดของเหล่าคนแคระ อาณาจักรเอเรบอร์ในหุบเขาเดียวดาย (Lonely Mountain)


3. มังกรสม็อก
.

สม็อก เป็นมังกรไฟที่มีพลังมหาศาลและมีความเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง เพียงแค่จ้องเข้าไปในนัยน์ตาของสม็อก คนผู้นั้นก็จะตกอยู่ภายใต้เวทมนต์ของมัน นอกจากนั้นสม็อกยังสามารถพูดได้หลายภาษา หลายเผ่าพันธุ์ ซึ่งทำให้มันเข้าใจได้ทุกอย่างจากทุกแห่ง ใน The Hobbit สม็อกได้ยึดหุบเขาเดียวดายจากเหล่าคนแคระเจ้าของเดิม เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนและหลับนิทรา


4. พ่อมดเทาแกนดาล์ฟ
.

แกนดาล์ฟ เป็นพ่อมดชายชราที่เฉลียวฉลาด เขาได้รับภารกิจอันยิ่งใหญ่ให้ปกป้องมิดเดิลเอิร์ธแหล่งพักอาศัยจากเหล่าตัวร้าย ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เขาทำมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 2,000 ปี
ใน The Hobbit แกนดาล์ฟไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรมากนัก แต่เขาก็ได้เปิดเผยพลังอำนาจที่แท้จริงให้บิลโบได้รู้ เมื่อเขาเชื้อเชิญให้บิลโบทำภารกิจสำคัญในหุบเขาเดียวดาย

5. แหวนแห่งอำนาจ
.

แหวนแห่งอำนาจ เป็นแหวนที่มีพลังอำนาจสูง ที่ถูกจอมมารซอรอน ใช้เป็นอาวุธเพื่อที่จะครอบครองมิดเดิลเอิร์ธ โดยเนื้อหาใน The Hobbit มีกล่าวถึงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากความสำคัญของแหวนได้ปรากฎอยู่ใน The Lord Of The Rings

6. เหล่าคนแคระ
.

เหล่าคนแคระมีสมาชิกจำนวน 13 คน นำโดย ธอริน โอเคนชีลด์ โดยมีบิลโบ แบ็กกินส์ และพ่อมดเทาแกนดาล์ฟมาสมทบทีม ในภารกิจยึดถิ่นเกิดเอเรบอร์ในหุบเขาเดียวดาย สถานที่ที่เหล่าคนแคระเคยอาศัยอยู่ แต่โดนมังกรสม็อกยึดไป
สมาชิกของคนแคระประกอบไปด้วย ธอริน, บาลิน, ดวาลิน, ฟีลิ, คีลิ, ดอริ, นอริ, ออริ, โออิน, โกลอิน, ไบเฟอร์, โบเฟอร์ และบอมเบอร์



7. สติง
.

สติง เป็นมีดเล่มยาวเหมาะมือ ในหนัง The Hobbit แกนดาล์ฟเป็นคนเจอท่ามกลางคลังสมบัติของโทรลล์ และเขานำมันมาให้กับบิลโบ เมื่อสติงอยู่ในมือของฮอบบิท มันก็ใหญ่พอที่จะใช้เป็นอาวุธได้ และความสามารถพิเศษที่เพิ่มเข้ามาก็คือ สติงจะเรืองแสง เมื่อใดก็ตามที่มีพวกออร์ค หรือพวกก็อบลินอยู่ในบริเวณใกล้ๆ


8. แกลมดริง
.

แกลมดริง เป็นดาบยาวที่ต้องใช้สองมือประคอง ถูกสร้างขึ้นโดยเอลฟ์นามว่า เทอร์กอน อาวุธชิ้นนี้หายสาบสูญไปกว่า 6,000 ปี แต่ในที่สุดก็ถูกค้นพบโดยพ่อมดเทาแกนดาล์ฟ ในคลังสมบัติของโทรลล์ แกลมดริงเป็นอาวุธที่แกนดาล์ฟใช้ต่อสู้ใน The Lord Of The Ringsซะส่วนใหญ่ และก็เหมือนกับสติงและออร์คริสท์ (อาวุธของธอริน โอเคนชีลด์ ที่พบในสถานที่เดียวกับสติงและแกลมดริง) ดาบจะเรืองแสงสีน้ำเงินยามที่มีออร์คหรือก็อบลินอยู่ใกล้ๆ



9. เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์
.

สำหรับบทมังกรสม็อก แจ็คสันได้นักแสดงอีกคนจากซีรีย์ Sherlock นั่นก็คือ เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ มารับบทสัตว์เลื้อยคลานมีเกล็ดขนาดใหญ่ คัมเบอร์แบทช์จะต้องสวมชุด mo-cap (Motion capture กระบวนการในการบันทึกการเคลื่อนไหวของร่างกาย) ในการแสดงเป็นอสูรกาย มังกรสม็อก
“ผมแสดงออกทั้งตัวในการเล่นเป็นมังกร ไม่ใช่แค่เพียงเสียงเท่านั้น”  คัมเบอร์แบทช์ที่เล่นเป็นมังกรกล่าว  “มันเป็นบทบาทการแสดงด้วยร่างกายที่ผมคุ้นเคย”  นอกจากนี้เขายังให้เสียงพากย์ตัวละครจอมมาร
บทหลักของมังกรสม็อกจะปรากฎในหนังภาคที่ 2 ตอน The Desolation of Smaug



10. โปรเจค The Lord Of The Rings
.

ประมาณต้นปี 1995 ผู้สร้างหนังชาวนิวซีแลนด์ ปีเตอร์ แจ็คสัน และผู้เขียนบทคู่ใจ ฟราน วอลช์ ได้ตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการจะนำหนัง The Hobbit มาฉายเป็นภาพยนตร์ตอนยาว ซึ่งจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน The Lord Of The Rings ตามฉบับนวนิยาย
อย่างไรก็ตาม ลิขสิทธิ์ของ The Hobbit ทุกเวอร์ชั่นยังคงเป็นของ United Artists ซึ่งทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะไปสร้าง The Lord Of The Rings แทน เพราะยังไม่มีสิทธิ์ใน The Hobbit ในเวลานั้น

.

ด้วยการตัดสินใจอย่างรอบคอบและการที่ยังไม่เคยถูกสร้างเป็นหนังมาก่อน แจ็คสันและวอลช์ได้จัดการนำนวนิยาย Lord Of The Ringsของโทลคีนมาสร้างเป็นภาพยตร์ตอนยาว โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมเทคนิคพิเศษอันตระการตาเข้ากับเครื่องแต่งกายที่งดงาม เพื่อสร้างอาณาจักรแห่งเวทมนต์ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน

.

ในเดือนธันวาคมปี 2007 มีการประกาศออกมาว่า ปีเตอร์ แจ็คสันจะอำนวยการสร้างโปรเจค The Hobbit ซึ่งไม่เพียงแค่เรื่องเดียว แต่ถึง 3 เรื่อง แม้ว่าครั้งนี้แจ็คสันจะไม่ได้กำกับเอง แต่นิวไลน์ก็ได้ค้นหาผู้กำกับที่มีความสามารถมาแทนที่ โดยวางแผนเอาไว้ว่าจะออกฉายให้ทันในปี 2010, 2011 และหลังจากนั้น (ซึ่งภายหลังก็ออกฉายไม่ทัน และสุดท้ายแจ็คสันก็มากำกับเอง เพราะผู้กำกับคนอื่นถอนตัวไปหมด)



11. หนัง 3 เรื่อง
.

ทำไมต้องแบ่งเป็น 3 เรื่อง?  แจ็คสันได้อธิบายเอาไว้คร่าวๆว่า  “สิ่งที่เป็นข้อเสียเปรียบของ The Hobbit ก็คือ เรื่องราวจะไม่เข้มข้นเท่าในหนัง The Lord Of The Rings และก็มีหลายฉาก หลายตอนที่ตัวละครหลายตัว ยกตัวอย่างแกนดาล์ฟ ที่จะหายหน้าหายตาไปซักพัก ก่อนที่จะกลับมา ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ไปทำอะไร นั่นเป็นสาเหตุที่ต้องมีการแบ่งเรื่องราว เพื่อจะได้เล่าให้เข้าใจมากขึ้น แต่สิ่งที่จะเพิ่มเข้ามาใน The Hobbit ก็คืออารมณ์ขันและความสนุก เพราะฉบับหนังสือเขียนไว้สำหรับเด็ก”
.

ในเดือนตุลาคมปี 2010 สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ ได้ถูกประกาศขึ้น ปีเตอร์ แจ็คสันจะทำหน้าที่กำกับหนังทั้ง 3 เรื่องของ The Hobbit
“การสำรวจโลกมิดเดิลเอิร์ธของโทลคีนยังคงล้ำจินตนาการ และได้ประสบการณ์ที่ดีกว่าหนังธรรมดาทั่วไป”  แจ็คสันกล่าว  “มันเป็นเรื่องราวการผจญภัยที่เหนือจินตนาการกว่าสถานที่แห่งใด ทั้งสวยงามและเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ทีมงานของเรายังคงเฝ้ารอการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งจินตนาการนี้อีกครั้งพร้อมกับแกนดาล์ฟและบิลโบ”



12. ทุนสร้างมโหฬาร
.

หลังจากปัญหาทางการเงินของเอ็มจีเอ็มสิ้นสุดลง วอร์เนอร์ก็ตกลงจะช่วยเหลือในส่วนของทุนสร้าง ซึ่งทุนสร้างของหนังทั้งหมดก็มโหฬารถึง 500 ล้านเหรียญ
ทุนสร้างที่สูงขนาดนั้นก็ทำให้วอร์เนอร์ลังเลได้เหมือนกัน เพราะเมื่อพิจารณาจากทุนสร้างของหนัง The Lord Of The Rings ทั้งสามภาคตกอยู่ที่ราว 280 ล้านเหรียญ เมื่อแบ่งรายเรื่องก็จะเรื่องละประมาณ 94 ล้านเหรียญ แต่ของ The Hobbit ดูจะใช้ทุนสร้างเยอะมาก แต่วอร์เนอร์ก็หวังว่าจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่า ทั้งความยิ่งใหญ่ของหนัง และรายได้ที่จะตามมา


13. ชื่อหนัง
.

ในเดือนพฤษภาคมปี 2011 ชื่อหนังอย่างเป็นทางการของ The Hobbit 2 ภาคก็เปิดเผยออกมา ได้แก่ The Hobbit: An Unexpected Journey และ The Hobbit: There And Back Again
ชื่อแรก (An Unexpected Journey) นำมาจากชื่อบทแรกของฉบับหนังสือ ส่วนชื่อหลัง (There And Back Again) เป็นชื่อหนังสือ The Hobbit อีกชื่อที่โทลคีนคิดไว้ (ภายหลังหนังมีการแทรกเรื่องราวด้วยการเพิ่ม The Desolation of Smaug มาเป็นหนังภาค 2 แล้วค่อยจบด้วย There And Back Again)








14. หนังเวอร์ชั่นพิเศษ Extended Editions
.

ชอบ The Lord Of The Rings เวอร์ชั่นพิเศษใช่มั้ย?  เตรียมพร้อมได้เลยกับ The Hobbit เพราะแจ็คสันรับรองว่าจะนำ The Hobbit เวอร์ชั่นพิเศษ Extended Editions ออกมาให้แฟนๆได้ดูอย่างแน่นอน และที่ดีไปกว่านั้น คุณจะรู้สึกคุ้นเคยกับ The Lord Of The Rings อีกครั้ง เพราะคอลเลคชั่น DVD จะออกมาสวยงามไม่แพ้กัน


15. กำหนดการฉาย
.

หนัง The Lord Of The Rings แต่ละภาคจะไล่กันออกฉายใกล้วันคริสมาสต์ของแต่ละปีต่อเนื่องกัน (ตั้งแต่ 2001 จนถึง 2003) ซึ่งเหล่าแฟนๆก็จะตั้งตารอภาคต่ออย่างใจจดใจจ่อ
แจ็คสันได้นำสูตรเดิมในการเปิดตัวในอเมริกามาใช้อีกครั้งกับ 2 เรื่องแรก ด้วยการปล่อย An Unexpected Journey ในวันที่ 14 ธันวาคม 2012 และ The Desolation of Smaug ในวันที่ 13 ธันวาคม 2013 ส่วน There And Back Again จะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่กลางซัมเมอร์ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2014
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่