ผู้ ชุ ม นุ ม เ พื่ อ ป ฏิ รู ป ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย จ ะ เ ป็ น ผู้ ช น ะ ใ น ที่ สุ ด
ชัยชนะครั้งนี้ จะเป็นชัยชนะของคนทั้งประเทศ โดยไม่เลือกฝ่าย
เ พ ร า ะ อำ น า จ ข อ ง ป ร ะ ช า ช น ไ ด้ ถู ก ส ถ า ป น า ขึ้ น แ ล้ ว
แม้แต่จังหวัดที่เป็นสีแดง ก็ยังมีประชาชนที่สามารถปราศรัย และยึดศาลากลางจังหวัดได้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย ความมหัศจรรย์นี้ จะเบ่งบาน เร่งเร้าให้ประชาชนที่เหลือ เข้าร่วมสมทบมากขึ้น และมากขึ้น ในสุดสัปดาห์นี้ อันจะเป็นวันที่ประเทศไทย ได้รับชัยชนะ เป็นวันที่ปวงมหาประชาชนได้สถาปนาอำนาจของตน สอดแทรกขึ้น เพื่อเป็นฐานรองรับประชาธิปไตยให้มั่นคง ประชาธิปไตยไทยจะไม่เพียงมีแต่รูปแบบ ที่ง่อนแง่นอีกต่อไป แต่จะสมบูรณ์ทั้งรูปแบบ และจิตวิญญาณ การชุมนุมเพื่อการปฏิรูปในครั้งนี้ กำลังจะกลายเป็นการปฏิวัติโดยประชาชนที่สวยงาม เพราะกระทำอย่างสันติ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ โ ล ก นั บ จ า ก นี้ไ ป จ ะ จ า รึ ก จ ด จำ ใ ห้ ช า ว โ ล ก ไ ด้ เ ห็ น ว่ า
การสถาปนาอำนาจของประชาชนในประเทศไทย คือ ก า ร ป ฏิ วั ติ อ ย่ า ง สั น ติ ข อ ง ป ร ะ ช าช น โ ด ยป ร ะ ช า ช น เ พื่ อ ป ร ะช า ช น
ในธรรมชาติ ความโกลาหล กับความสงบ เกิดขึ้น จนเป็นด้านตรงข้ามที่เคียงคู่กัน ธรรมชาติที่ไม่มีความรู้สึกนึกคิด ความสงบหรือวุ่นวาย จึงเป็นความรู้สึกของมนุษย์
เมื่อกล่าวถึง ประเทศประชาธิปไตยต้นแบบ อย่างสหรัฐอเมริกา หรือฝรั่งเศส มีคำถามที่ต้องพิจารณาคือ
เราเลือกชื่นชมประเทศต้นแบบประชาธิปไตยเหล่านั้น โดยตัดตอนประวัติศาสตร์ เอาเฉพาะเวลาที่สถานการณ์สงบตั้งมั่นแล้วเท่านั้นหรือ ? แต่เราปฏิเสธได้หรือว่า เราสามารถเลือกแต่ผลที่สวยงาม หลังจากความโกลาหลได้ผ่านพ้นไปแล้ว
สหรัฐอเมริกาต้องรบแตกหักกับอังกฤษ จึงประกาศอิสรภาพได้ และทั้งที่ประกาศอิสรภาพแล้วนั่นเอง กลับยังขัดแย้งกันในชาติ จนเกิดสงครามกลางเมือง เพียงเพื่อตัดสินเรื่องการมีทาส หรือไม่มีทาส ส่วนฝรั่งเศส ที่เปลี่ยนไปสู่สาธารณรัฐ ถึงกับเลือดนองแผ่นดิน และใช้เวลาเป็นร้อยปีในการควบคุมความโกลาหล เพื่อจัดระบบการปกครองใหม่ ถ้าเราสักแต่เพียง เลือกชื่นชมเอาด้านที่เจริญของประเทศประชาธิปไตยเหล่านี้ ก็เท่ากับว่า เราปฏิเสธความจริงที่ว่า ความสงบ งอกงาม เกิดจากความโกลาหล
ก่อนที่ใครก็ตามจะอ้างว่า "ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง" ควรจะพิจารณาว่า เมื่อคราวคณะราษฎร์ ยึดอำนาจจากสถาบันกษัตริย์นั้น คณะราษฎร์ใช้อะไรอ้างความชอบธรรมของตน มายึดอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าไม่ใช่กระบอกปืน ?
หากจะอ้างว่า คณะราษฎร์ทำไปด้วยเจตนารมณ์เพื่อประโยชน์ของประชาชน เป็นการอภิวัฒน์เพื่อประชาชน แต่ในเวลานั้น ก็หาได้มีประชาชนมอบเจตนารมณ์ของตน สนับสนุนการกระทำของคณะราษฎร์ไม่ การก่อการล้วนเกิดจากชนชั้นนำทั้งสิ้น อันประกอบไปด้วยพลเรือนและทหาร
และนี่เป็นข้อพิสูจน์ว่า การอ้างความเป็นประชาธิปไตยนั้น ไม่สามารถเลือกเอาเฉพาะผลจากความสงบนิ่งของสถานการณ์ได้ แต่อะไร คือสิ่งที่บอกว่า การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่งนั้น มีความชอบธรรม ?
การเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เป็นการอาศัย การดำเนินการของประชาชน และเป็นการดำเนินการที่ยืนยันความชอบธรรมตามธรรมชาติ ความแตกต่างของการก่อการของคณะราษฎร์ต่างจากการปฏิวัติในต่างประเทศ ที่ไม่มีประชาชนร่วมด้วย
ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปก็คือ ทำไมเรายอมรับว่าประเทศเหล่านั้นเป็นต้นแบบประชาธิปไตย คำตอบก็คือการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น มีความชอบธรรมเป็นฐาน เพหากมันเป็นการสถาปนาอำนาจของประชาชน ที่มีความชอบธรรมเป็นฐาน ถึงแม้จะเกิดความรุนแรง ก็เป็นความรุนแรง ที่มุ่งเอาชนะอธรรม
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะชอบธรรมหรือไม่ จึงมีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ
(1) มีอำนาจที่ไม่ชอบธรรมอยู่ เช่นอเมริกา ถูกอังกฤษกดขี่ หรือฝรั่งเศส ประชาชนถูกรีดนาทาเร้น
(2) การเปลี่ยนแปลงนั้น มีประชาชนเป็นผู้ดำเนินการ
(3) การดำเนินการของประชาชนนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความชอบธรรม
และผลขององค์ประกอบทั้ง 3 คือ ก า ร ส ถ า ป น า อำ น า จ ข อ ง ป ร ะ ช าช น
และอำนาจสถาปนาของประชาชนนี้ เป็นองค์ประกอบฝ่ายนามธรรม กล่าวคือ เป็นจิตวิญญาณ ที่เป็นฐานรองรับประชาธิปไตย มิให้มีแต่เพียงรูปแบบ เป็นการสถาปนาธรรมให้รองรับกำกับอำนาจ
ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยหัลงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา ไม่เคยมีการสถาปนาอำนาจของประชาชน ดังนั้น การเลือกตั้งที่มีมาตลอดระยะเวลา 80 ปี จึงเป็นแต่เพียงรูปแบบของประชาธิปไตย แม้จะใช้การได้บ้าง แต่ก็หาใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่
จะเห็นได้ว่า ประเทศต้นแบบประชาธิปไตยในตะวันตกนั้น ได้แก้ปัญหาเรื่องการใช้อำนาจของประชาชนหมดไปแล้ว เมื่อมีการสถาปนาอำนาจของประชาชน มากำกับอำนาจ เมื่อการปกครองมีปัญหาใหม่ ๆ เกิดขึ้น ก็ไม่ได้วกกลับไปแก้ไขปัญหาดังกล่าว แบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ และทั้งที่ ในปัจจุบัน ปัญหาทุจริต ก็ยังมีขึ้นในประเทศประชาธิปไตยต้นแบบเหล่านั้น แต่มันเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ด้วยกลไก มาตรการต่าง ๆ เช่น มีกฎหมายลงโทษอย่างเฉียบขาด หรือพัฒนาไปจนถึงขั้นที่ นักการเมืองมีความสำนึกสูง และรับผิดชอบการกระทำของตัวเองเสมอ และเป็นประกาศิตว่า "การได้เสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง ไม่ได้รับประกันความเป็นประชาธิปไตย
เพราะเสียงข้างมากในการเลือกตั้ง ที่ไม่มีธรรมรองรับ ย่อมกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่รับรองรัฐบาลที่ทุจริต ฉ้อฉลในที่สุด"
อย่างไรก็ตาม การสถาปนาอำนาจของประชาชนนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วอย่างสวยงามในประเทศไทย ผลของการสถาปนาอำนาจของประชาชน ก็คือ ประชาชนจะมีอำนาจเหนือข้าราชการ และนักการเมือง ซึ่งยังไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีต ที่ข้าราชการ และนักการเมือง ล้วนทำเพื่อประโยชน์ของตนในฐานะชนชั้นนำของสังคม หรือข้าราชการได้กลายเป็นผู้รับใช้นักการเมือง โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูง
เพราะตราบใด ที่ไม่มีการสถาปนาอำนาจของประชาชน ข้าราชการและนักการเมืองย่อมขาดความเคารพ ยำเกรงประชาชน
ทุกการเปลี่ยนแปลง มักเกิดขึ้นในภาวะที่ไม่ปกติ และเพราะความไม่ปกติ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยในครั้งนี้ เป็นการสถาปนาอำนาจของประชาชนให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศโดยไม่มีการฝักฝ่าย เป็นการยืนยันการธำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์
การปฏิรูปในคราวนี้ เป็นมากกว่าการปฏิรูป แต่เป็นการปฏิวัติ เพื่อสถาปนา "ธรรม" ขึ้นรองรับอำนาจของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง
ผู้ ชุ ม นุ ม เ พื่ อ ป ฏิ รู ป ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย จ ะ เ ป็ น ผู้ ช น ะ ใ น ที่ สุ ด
ชัยชนะครั้งนี้ จะเป็นชัยชนะของคนทั้งประเทศ โดยไม่เลือกฝ่าย
เ พ ร า ะ อำ น า จ ข อ ง ป ร ะ ช า ช น ไ ด้ ถู ก ส ถ า ป น า ขึ้ น แ ล้ ว
แม้แต่จังหวัดที่เป็นสีแดง ก็ยังมีประชาชนที่สามารถปราศรัย และยึดศาลากลางจังหวัดได้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย ความมหัศจรรย์นี้ จะเบ่งบาน เร่งเร้าให้ประชาชนที่เหลือ เข้าร่วมสมทบมากขึ้น และมากขึ้น ในสุดสัปดาห์นี้ อันจะเป็นวันที่ประเทศไทย ได้รับชัยชนะ เป็นวันที่ปวงมหาประชาชนได้สถาปนาอำนาจของตน สอดแทรกขึ้น เพื่อเป็นฐานรองรับประชาธิปไตยให้มั่นคง ประชาธิปไตยไทยจะไม่เพียงมีแต่รูปแบบ ที่ง่อนแง่นอีกต่อไป แต่จะสมบูรณ์ทั้งรูปแบบ และจิตวิญญาณ การชุมนุมเพื่อการปฏิรูปในครั้งนี้ กำลังจะกลายเป็นการปฏิวัติโดยประชาชนที่สวยงาม เพราะกระทำอย่างสันติ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ โ ล ก นั บ จ า ก นี้ไ ป จ ะ จ า รึ ก จ ด จำ ใ ห้ ช า ว โ ล ก ไ ด้ เ ห็ น ว่ า
การสถาปนาอำนาจของประชาชนในประเทศไทย คือ ก า ร ป ฏิ วั ติ อ ย่ า ง สั น ติ ข อ ง ป ร ะ ช าช น โ ด ยป ร ะ ช า ช น เ พื่ อ ป ร ะช า ช น
ในธรรมชาติ ความโกลาหล กับความสงบ เกิดขึ้น จนเป็นด้านตรงข้ามที่เคียงคู่กัน ธรรมชาติที่ไม่มีความรู้สึกนึกคิด ความสงบหรือวุ่นวาย จึงเป็นความรู้สึกของมนุษย์
เมื่อกล่าวถึง ประเทศประชาธิปไตยต้นแบบ อย่างสหรัฐอเมริกา หรือฝรั่งเศส มีคำถามที่ต้องพิจารณาคือ
เราเลือกชื่นชมประเทศต้นแบบประชาธิปไตยเหล่านั้น โดยตัดตอนประวัติศาสตร์ เอาเฉพาะเวลาที่สถานการณ์สงบตั้งมั่นแล้วเท่านั้นหรือ ? แต่เราปฏิเสธได้หรือว่า เราสามารถเลือกแต่ผลที่สวยงาม หลังจากความโกลาหลได้ผ่านพ้นไปแล้ว
สหรัฐอเมริกาต้องรบแตกหักกับอังกฤษ จึงประกาศอิสรภาพได้ และทั้งที่ประกาศอิสรภาพแล้วนั่นเอง กลับยังขัดแย้งกันในชาติ จนเกิดสงครามกลางเมือง เพียงเพื่อตัดสินเรื่องการมีทาส หรือไม่มีทาส ส่วนฝรั่งเศส ที่เปลี่ยนไปสู่สาธารณรัฐ ถึงกับเลือดนองแผ่นดิน และใช้เวลาเป็นร้อยปีในการควบคุมความโกลาหล เพื่อจัดระบบการปกครองใหม่ ถ้าเราสักแต่เพียง เลือกชื่นชมเอาด้านที่เจริญของประเทศประชาธิปไตยเหล่านี้ ก็เท่ากับว่า เราปฏิเสธความจริงที่ว่า ความสงบ งอกงาม เกิดจากความโกลาหล
ก่อนที่ใครก็ตามจะอ้างว่า "ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง" ควรจะพิจารณาว่า เมื่อคราวคณะราษฎร์ ยึดอำนาจจากสถาบันกษัตริย์นั้น คณะราษฎร์ใช้อะไรอ้างความชอบธรรมของตน มายึดอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าไม่ใช่กระบอกปืน ?
หากจะอ้างว่า คณะราษฎร์ทำไปด้วยเจตนารมณ์เพื่อประโยชน์ของประชาชน เป็นการอภิวัฒน์เพื่อประชาชน แต่ในเวลานั้น ก็หาได้มีประชาชนมอบเจตนารมณ์ของตน สนับสนุนการกระทำของคณะราษฎร์ไม่ การก่อการล้วนเกิดจากชนชั้นนำทั้งสิ้น อันประกอบไปด้วยพลเรือนและทหาร
และนี่เป็นข้อพิสูจน์ว่า การอ้างความเป็นประชาธิปไตยนั้น ไม่สามารถเลือกเอาเฉพาะผลจากความสงบนิ่งของสถานการณ์ได้ แต่อะไร คือสิ่งที่บอกว่า การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่งนั้น มีความชอบธรรม ?
การเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เป็นการอาศัย การดำเนินการของประชาชน และเป็นการดำเนินการที่ยืนยันความชอบธรรมตามธรรมชาติ ความแตกต่างของการก่อการของคณะราษฎร์ต่างจากการปฏิวัติในต่างประเทศ ที่ไม่มีประชาชนร่วมด้วย
ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปก็คือ ทำไมเรายอมรับว่าประเทศเหล่านั้นเป็นต้นแบบประชาธิปไตย คำตอบก็คือการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น มีความชอบธรรมเป็นฐาน เพหากมันเป็นการสถาปนาอำนาจของประชาชน ที่มีความชอบธรรมเป็นฐาน ถึงแม้จะเกิดความรุนแรง ก็เป็นความรุนแรง ที่มุ่งเอาชนะอธรรม
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะชอบธรรมหรือไม่ จึงมีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ
(1) มีอำนาจที่ไม่ชอบธรรมอยู่ เช่นอเมริกา ถูกอังกฤษกดขี่ หรือฝรั่งเศส ประชาชนถูกรีดนาทาเร้น
(2) การเปลี่ยนแปลงนั้น มีประชาชนเป็นผู้ดำเนินการ
(3) การดำเนินการของประชาชนนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความชอบธรรม
และผลขององค์ประกอบทั้ง 3 คือ ก า ร ส ถ า ป น า อำ น า จ ข อ ง ป ร ะ ช าช น
และอำนาจสถาปนาของประชาชนนี้ เป็นองค์ประกอบฝ่ายนามธรรม กล่าวคือ เป็นจิตวิญญาณ ที่เป็นฐานรองรับประชาธิปไตย มิให้มีแต่เพียงรูปแบบ เป็นการสถาปนาธรรมให้รองรับกำกับอำนาจ
ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยหัลงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา ไม่เคยมีการสถาปนาอำนาจของประชาชน ดังนั้น การเลือกตั้งที่มีมาตลอดระยะเวลา 80 ปี จึงเป็นแต่เพียงรูปแบบของประชาธิปไตย แม้จะใช้การได้บ้าง แต่ก็หาใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่
จะเห็นได้ว่า ประเทศต้นแบบประชาธิปไตยในตะวันตกนั้น ได้แก้ปัญหาเรื่องการใช้อำนาจของประชาชนหมดไปแล้ว เมื่อมีการสถาปนาอำนาจของประชาชน มากำกับอำนาจ เมื่อการปกครองมีปัญหาใหม่ ๆ เกิดขึ้น ก็ไม่ได้วกกลับไปแก้ไขปัญหาดังกล่าว แบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ และทั้งที่ ในปัจจุบัน ปัญหาทุจริต ก็ยังมีขึ้นในประเทศประชาธิปไตยต้นแบบเหล่านั้น แต่มันเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ด้วยกลไก มาตรการต่าง ๆ เช่น มีกฎหมายลงโทษอย่างเฉียบขาด หรือพัฒนาไปจนถึงขั้นที่ นักการเมืองมีความสำนึกสูง และรับผิดชอบการกระทำของตัวเองเสมอ และเป็นประกาศิตว่า "การได้เสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง ไม่ได้รับประกันความเป็นประชาธิปไตย
เพราะเสียงข้างมากในการเลือกตั้ง ที่ไม่มีธรรมรองรับ ย่อมกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่รับรองรัฐบาลที่ทุจริต ฉ้อฉลในที่สุด"
อย่างไรก็ตาม การสถาปนาอำนาจของประชาชนนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วอย่างสวยงามในประเทศไทย ผลของการสถาปนาอำนาจของประชาชน ก็คือ ประชาชนจะมีอำนาจเหนือข้าราชการ และนักการเมือง ซึ่งยังไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีต ที่ข้าราชการ และนักการเมือง ล้วนทำเพื่อประโยชน์ของตนในฐานะชนชั้นนำของสังคม หรือข้าราชการได้กลายเป็นผู้รับใช้นักการเมือง โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูง
เพราะตราบใด ที่ไม่มีการสถาปนาอำนาจของประชาชน ข้าราชการและนักการเมืองย่อมขาดความเคารพ ยำเกรงประชาชน
ทุกการเปลี่ยนแปลง มักเกิดขึ้นในภาวะที่ไม่ปกติ และเพราะความไม่ปกติ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยในครั้งนี้ เป็นการสถาปนาอำนาจของประชาชนให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศโดยไม่มีการฝักฝ่าย เป็นการยืนยันการธำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์
การปฏิรูปในคราวนี้ เป็นมากกว่าการปฏิรูป แต่เป็นการปฏิวัติ เพื่อสถาปนา "ธรรม" ขึ้นรองรับอำนาจของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง