ศาลประชาชน มีได้หรือไม่ในประเทศไทย บทความโดย สมลักษณ์ จัดกระบวนพล มติชนออนไลน์
สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการ ป.ป.ช.
อาจารย์พิเศษ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 2 บัญญัติว่า "ประเทศไทยมีการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
มาตรา 3 บัญญัติว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุขทรง
ใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้"
หมายความว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
อำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของประชาชนชาวไทย ซึ่งมีอยู่ 3 อำนาจ คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร
และอำนาจตุลาการ และพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขแต่พระองค์เดียวที่จะใช้อำนาจนิติบัญญัติ
ทางรัฐสภา อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี และอำนาจตุลาการทางศาล
ในที่นี้จะขอกล่าวรายละเอียดเฉพาะเรื่องของศาลยุติธรรม ซึ่งดูจะเป็นศาลที่ตั้งมาเก่าแก่ที่สุด และเป็น
ที่รู้จักของประชาชนทั่วประเทศมาก่อนศาลอื่นๆ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 1 บัญญัติว่า
"ศาลยุติธรรมตามพระธรรมนูญศาลนี้มีสามชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เว้นแต่จะมี
กฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น"
ได้ตรวจดู โดยละเอียดรอบคอบแล้ว ไม่ปรากฏบทบัญญัติมาตราใดในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ทุกฉบับที่เคยมีมา แม้ฉบับปัจจุบันและพระธรรมนูญศาลยุติธรรมทุกฉบับที่มีบทบัญญัติให้มีการตั้ง
"ศาลประชาชน" (เว้นแต่ประเทศที่มีการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์) และการที่จะตั้งศาลขึ้นนั้นหาใช่
เป็นอำนาจของบุคคลใดหรือกลุ่มชนใดโดยเฉพาะ หากแต่จะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 198 วรรคหนึ่งซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
การตราพระราชบัญญัติเป็นอำนาจของรัฐสภาซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยเท่านั้น และตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 198 วรรคสอง ยังบัญญัติว่า "การตั้งศาลขึ้นใหม่เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งหรือคดีที่มีข้อหา
ฐานใดฐานหนึ่งโดยเฉพาะ แทนศาลที่มีอยู่ตามกฎหมายพิจารณาพิพากษาคดีนั้น จะกระทำมิได้" วรรคสาม
บัญญัติว่า "การบัญญัติกฎหมายให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาล
หรือวิธีพิจารณาเพื่อใช้แก่คดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะจะกระทำมิได้"
การตั้งศาลประชาชนจึงมิอาจเป็นไปได้อย่างแน่แท้ด้วยเหตุผลดังนี้
1.การตั้งศาลต้องออกเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาเท่านั้นมีอำนาจตราพระราชบัญญัติ ดังกล่าว
2.การจัดตั้ง "ศาลประชาชน" เพื่อกระทำการพิจารณาโทษ คดีใดคดีหนึ่ง ตามที่ต้องการโดยเฉพาะจะกระทำมิได้
เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 198 วรรคสอง วรรคสาม
3.การที่จะให้บุคคลที่มีสัญชาติไทยออกไปอยู่ต่างประเทศตามวัตถุประสงค์ที่เสนอให้ตั้งศาลประชาชนนั้น
ไม่อาจจะกระทำได้เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 34 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติว่า "การเนรเทศบุคคลผู้มี
สัญชาติไทยออกนอกราชอาณาจักร หรือห้ามบุคคลผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาในราชอาณาจักรจะกระทำมิได้"
สรุปว่าการเสนอให้ตั้งศาลประชาชนเพื่อพิจารณาลงโทษบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใด
คดีหนึ่งโดยเฉพาะ หรือ ขับไล่ผู้มีสัญชาติไทยออกไปนอกราชอาณาจักร จะกระทำมิได้อย่างแน่นอนยืนยัน
โดยรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เว้นแต่จะเป็นการพูดเพื่อเอาความมันหรือเพื่อเร่งเร้าอารมณ์
มวลชนเป็นหลัก โดยผู้พูดและผู้ชี้นำคงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนัก เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่เขาเอาตัว
รอดได้เสมอเมื่อมีเหตุคับขันเกิดขึ้น
เป็นห่วงอยู่ก็แต่มวลชนที่อยู่ข้างล่างเวทีที่พากันเป่านกหวีดตามหรือหัวเราะอ้าปากไม่หุบด้วยความมัน
ว่าอาจจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่
ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายใต้ความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ
หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต"
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในแผ่นดินหรือรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือ
ใช้กำลังประทุษร้าย (การประทุษร้ายนั้นไม่ว่าจะเป็นการประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจของ
บุคคล เช่น พูดว่า หรือ ขู่ว่า กระทำการใดๆ อันเป็นผลร้าย แก่บุคคลอื่น ก็เป็นการประทุษร้าย
ตามบทนิยาม ของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 1 แล้ว)
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้น
ในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
ต้องละวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
มีคำพิพากษาฎีกาวางแนวไว้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2034-2041/2527 ป. และ จ. จำเลยทั้งสอง
เป็นผู้มีส่วนริเริ่มชักชวนนักศึกษา นักเรียน และประชาชนให้มาชุมนุมกัน ณ สนามหน้าเมืองที่เกิดเหตุมา
แต่ต้นและร่วมกล่าวโจมตีขับไล่ผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนมีส่วนในการจัดตั้งหน่วยฟันเฟืองขึ้นจากผู้
มาร่วมชุมนุม จนคนเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นจำนวนหลายพันคน ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ขว้างปา
และวางเพลิงเผาจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ดังนี้การกระทำของจำเลยทั้งสอง ตลอดจนนักศึกษา นักเรียน
และประชาชนดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึง
ขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรอีกสถานหนึ่งด้วย
นอกจากว่าจะผิดกฎหมายตามมาตรานี้แล้วยังอาจเฉียดเข้าไปในความผิดตามมาตรา 113 ซึ่งต้องระวาง
โทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตอีกด้วย และแน่นอนถ้าผู้เป็นตัวการถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด
ตามกฎหมายดังกล่าวไม่ว่ามาตราใดมาตราหนึ่ง กลุ่มมวลชนที่นั่งอยู่ข้างล่างเวที และร่วมเป่านกหวีดอย่าง
เมามันก็จะตกอยู่ในฐานะผู้สนับสนุน ซึ่งตามกฎหมาย อาจต้องรับโทษร่วมกับแกนนำ โดยรับโทษสองใน
สามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
เมื่อมีการชุมนุมทางการเมืองทุกครั้ง คนที่น่าเห็นใจที่สุดก็คือประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุม เพราะแกนนำซึ่ง
ส่วนใหญ่ จะเป็นนักการเมืองก็จะมีหนทางเอาตัวรอดได้เสมอ ผู้ประสบเคราะห์กรรมทั้งเสียชีวิต และถูกคุมขัง
อยู่ในเรือนจำคือประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม ตัวอย่างก็มีอยู่แล้วเมื่อมีการสลายการชุมนุมในปี 2553 จาก
เหตุการณ์ครั้งนั้นผู้ที่ร่วมชุมนุมในวันนั้น บุคคลทั่วไปคงจะจำบทเรียนที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ผู้ร่วมชุมนุมถูก
จับกุมคุมขังตั้งแต่วันเกิดเหตุ จนถึงวันนี้ และยังไม่มีท่าทีว่าจะได้รับอิสรภาพ เนื่องจาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
ที่บุคคลเหล่านี้ควรได้รับอานิสงส์ก็ถูกบุคคลในองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศคัดค้าน
โดยกลุ่มผู้คัดค้านก็มิได้แสดงจุดยืนให้ชัดเจน ว่าไม่ประสงค์ให้ประชาชนผู้ถูกคุมขังพ้นโทษ หรือไม่ต้องการ
ให้นักการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่น หรือที่ถูกกล่าวหาว่า ใช้อำนาจออกคำสั่งอันเป็นเหตุให้ประชาชน
ผู้เข้าร่วมชุมนุมเสียชีวิต และบาดเจ็บ เป็นจำนวนมากไม่ต้องรับโทษ
บทความนี้เป็นความคิดเห็นประกอบหลักกฎหมายและแนวบรรทัดฐานคำพิพากษาศาลฎีกา มิได้มีความประสงค์
จะไปก้าวก่ายการกระทำของนักการเมือง นักวิชาการ ตลอดจนผู้ที่เป็นนักกฎหมายในประเทศนี้ ซึ่งอยู่ในสถานะ
ที่รู้ผิดชอบชั่วดีอยู่แล้ว แต่ต้องการจะตักเตือนมวลชนทั้งหลาย ที่ไม่ทราบอย่างถ่องแท้ถึงการกระทำของตนซึ่ง
น่าจะเข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ประเทศเราอยู่ร่วมกันมา
อย่างสงบสุขทุกวันนี้ ก็เพราะมีกฎหมายเป็นหลักควบคุมความประพฤติ
ถ้าบุคคลใดกระทำความผิด เขาก็ต้องรับโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ตามกระบวนการ
ขอให้ลงโทษตามกฎหมาย และผู้พิจารณาพิพากษาคดีคือ ผู้พิพากษาตุลาการ การใช้สิทธิส่วนบุคคล หรือกลุ่ม
เพื่อพิจารณาพิพากษาโทษตามใจปรารถนาของตนนั้น ไม่อาจกระทำได้
การคิดตั้งศาลที่แปลกปลอมนอกจากจะไม่มีอำนาจจะกระทำได้แล้ว ยังเป็นความคิดที่เป็นอันตรายต่อการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ยกเว้นจะเป็นความคิดหรือคำพูดที่เอามันหรือพูดเพื่อให้บุคคลเกิด
อารมณ์ร่วมเท่านั้น
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1385648804&grpid=01&catid=&subcatid=
ย้อนกลับไป ศาลประชาชน ทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่คุณสุเทพจัดตั้ง เมื่อหลายวันก่อน
เห็นเพื่อนๆ หลายคนปลาบปลื้ม กับคุณสุเทพ .... เป็นไงคะ นักกฎหมายบอกมันเป็นแบบนี้
แล้วเพื่อนๆ ที่สนับสนุน จะไม่มาแสดงคคห.หน่อยหรือ ...พูดไม่ออก เนอะ ....
"ศาลประชาชน" ทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สำหรับผู้สนับสนุนคุณสุเทพ ..... มาหน่อยเถอะ ขอร้อง อ้อนวอน
สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการ ป.ป.ช.
อาจารย์พิเศษ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 2 บัญญัติว่า "ประเทศไทยมีการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
มาตรา 3 บัญญัติว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุขทรง
ใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้"
หมายความว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
อำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของประชาชนชาวไทย ซึ่งมีอยู่ 3 อำนาจ คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร
และอำนาจตุลาการ และพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขแต่พระองค์เดียวที่จะใช้อำนาจนิติบัญญัติ
ทางรัฐสภา อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี และอำนาจตุลาการทางศาล
ในที่นี้จะขอกล่าวรายละเอียดเฉพาะเรื่องของศาลยุติธรรม ซึ่งดูจะเป็นศาลที่ตั้งมาเก่าแก่ที่สุด และเป็น
ที่รู้จักของประชาชนทั่วประเทศมาก่อนศาลอื่นๆ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 1 บัญญัติว่า
"ศาลยุติธรรมตามพระธรรมนูญศาลนี้มีสามชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เว้นแต่จะมี
กฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น"
ได้ตรวจดู โดยละเอียดรอบคอบแล้ว ไม่ปรากฏบทบัญญัติมาตราใดในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ทุกฉบับที่เคยมีมา แม้ฉบับปัจจุบันและพระธรรมนูญศาลยุติธรรมทุกฉบับที่มีบทบัญญัติให้มีการตั้ง
"ศาลประชาชน" (เว้นแต่ประเทศที่มีการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์) และการที่จะตั้งศาลขึ้นนั้นหาใช่
เป็นอำนาจของบุคคลใดหรือกลุ่มชนใดโดยเฉพาะ หากแต่จะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 198 วรรคหนึ่งซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
การตราพระราชบัญญัติเป็นอำนาจของรัฐสภาซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยเท่านั้น และตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 198 วรรคสอง ยังบัญญัติว่า "การตั้งศาลขึ้นใหม่เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งหรือคดีที่มีข้อหา
ฐานใดฐานหนึ่งโดยเฉพาะ แทนศาลที่มีอยู่ตามกฎหมายพิจารณาพิพากษาคดีนั้น จะกระทำมิได้" วรรคสาม
บัญญัติว่า "การบัญญัติกฎหมายให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาล
หรือวิธีพิจารณาเพื่อใช้แก่คดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะจะกระทำมิได้"
การตั้งศาลประชาชนจึงมิอาจเป็นไปได้อย่างแน่แท้ด้วยเหตุผลดังนี้
1.การตั้งศาลต้องออกเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาเท่านั้นมีอำนาจตราพระราชบัญญัติ ดังกล่าว
2.การจัดตั้ง "ศาลประชาชน" เพื่อกระทำการพิจารณาโทษ คดีใดคดีหนึ่ง ตามที่ต้องการโดยเฉพาะจะกระทำมิได้
เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 198 วรรคสอง วรรคสาม
3.การที่จะให้บุคคลที่มีสัญชาติไทยออกไปอยู่ต่างประเทศตามวัตถุประสงค์ที่เสนอให้ตั้งศาลประชาชนนั้น
ไม่อาจจะกระทำได้เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 34 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติว่า "การเนรเทศบุคคลผู้มี
สัญชาติไทยออกนอกราชอาณาจักร หรือห้ามบุคคลผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาในราชอาณาจักรจะกระทำมิได้"
สรุปว่าการเสนอให้ตั้งศาลประชาชนเพื่อพิจารณาลงโทษบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใด
คดีหนึ่งโดยเฉพาะ หรือ ขับไล่ผู้มีสัญชาติไทยออกไปนอกราชอาณาจักร จะกระทำมิได้อย่างแน่นอนยืนยัน
โดยรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เว้นแต่จะเป็นการพูดเพื่อเอาความมันหรือเพื่อเร่งเร้าอารมณ์
มวลชนเป็นหลัก โดยผู้พูดและผู้ชี้นำคงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนัก เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่เขาเอาตัว
รอดได้เสมอเมื่อมีเหตุคับขันเกิดขึ้น
เป็นห่วงอยู่ก็แต่มวลชนที่อยู่ข้างล่างเวทีที่พากันเป่านกหวีดตามหรือหัวเราะอ้าปากไม่หุบด้วยความมัน
ว่าอาจจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่
ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายใต้ความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ
หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต"
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในแผ่นดินหรือรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือ
ใช้กำลังประทุษร้าย (การประทุษร้ายนั้นไม่ว่าจะเป็นการประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจของ
บุคคล เช่น พูดว่า หรือ ขู่ว่า กระทำการใดๆ อันเป็นผลร้าย แก่บุคคลอื่น ก็เป็นการประทุษร้าย
ตามบทนิยาม ของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 1 แล้ว)
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้น
ในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
ต้องละวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
มีคำพิพากษาฎีกาวางแนวไว้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2034-2041/2527 ป. และ จ. จำเลยทั้งสอง
เป็นผู้มีส่วนริเริ่มชักชวนนักศึกษา นักเรียน และประชาชนให้มาชุมนุมกัน ณ สนามหน้าเมืองที่เกิดเหตุมา
แต่ต้นและร่วมกล่าวโจมตีขับไล่ผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนมีส่วนในการจัดตั้งหน่วยฟันเฟืองขึ้นจากผู้
มาร่วมชุมนุม จนคนเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นจำนวนหลายพันคน ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ขว้างปา
และวางเพลิงเผาจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ดังนี้การกระทำของจำเลยทั้งสอง ตลอดจนนักศึกษา นักเรียน
และประชาชนดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึง
ขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรอีกสถานหนึ่งด้วย
นอกจากว่าจะผิดกฎหมายตามมาตรานี้แล้วยังอาจเฉียดเข้าไปในความผิดตามมาตรา 113 ซึ่งต้องระวาง
โทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตอีกด้วย และแน่นอนถ้าผู้เป็นตัวการถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด
ตามกฎหมายดังกล่าวไม่ว่ามาตราใดมาตราหนึ่ง กลุ่มมวลชนที่นั่งอยู่ข้างล่างเวที และร่วมเป่านกหวีดอย่าง
เมามันก็จะตกอยู่ในฐานะผู้สนับสนุน ซึ่งตามกฎหมาย อาจต้องรับโทษร่วมกับแกนนำ โดยรับโทษสองใน
สามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
เมื่อมีการชุมนุมทางการเมืองทุกครั้ง คนที่น่าเห็นใจที่สุดก็คือประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุม เพราะแกนนำซึ่ง
ส่วนใหญ่ จะเป็นนักการเมืองก็จะมีหนทางเอาตัวรอดได้เสมอ ผู้ประสบเคราะห์กรรมทั้งเสียชีวิต และถูกคุมขัง
อยู่ในเรือนจำคือประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม ตัวอย่างก็มีอยู่แล้วเมื่อมีการสลายการชุมนุมในปี 2553 จาก
เหตุการณ์ครั้งนั้นผู้ที่ร่วมชุมนุมในวันนั้น บุคคลทั่วไปคงจะจำบทเรียนที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ผู้ร่วมชุมนุมถูก
จับกุมคุมขังตั้งแต่วันเกิดเหตุ จนถึงวันนี้ และยังไม่มีท่าทีว่าจะได้รับอิสรภาพ เนื่องจาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
ที่บุคคลเหล่านี้ควรได้รับอานิสงส์ก็ถูกบุคคลในองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศคัดค้าน
โดยกลุ่มผู้คัดค้านก็มิได้แสดงจุดยืนให้ชัดเจน ว่าไม่ประสงค์ให้ประชาชนผู้ถูกคุมขังพ้นโทษ หรือไม่ต้องการ
ให้นักการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่น หรือที่ถูกกล่าวหาว่า ใช้อำนาจออกคำสั่งอันเป็นเหตุให้ประชาชน
ผู้เข้าร่วมชุมนุมเสียชีวิต และบาดเจ็บ เป็นจำนวนมากไม่ต้องรับโทษ
บทความนี้เป็นความคิดเห็นประกอบหลักกฎหมายและแนวบรรทัดฐานคำพิพากษาศาลฎีกา มิได้มีความประสงค์
จะไปก้าวก่ายการกระทำของนักการเมือง นักวิชาการ ตลอดจนผู้ที่เป็นนักกฎหมายในประเทศนี้ ซึ่งอยู่ในสถานะ
ที่รู้ผิดชอบชั่วดีอยู่แล้ว แต่ต้องการจะตักเตือนมวลชนทั้งหลาย ที่ไม่ทราบอย่างถ่องแท้ถึงการกระทำของตนซึ่ง
น่าจะเข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ประเทศเราอยู่ร่วมกันมา
อย่างสงบสุขทุกวันนี้ ก็เพราะมีกฎหมายเป็นหลักควบคุมความประพฤติ
ถ้าบุคคลใดกระทำความผิด เขาก็ต้องรับโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ตามกระบวนการ
ขอให้ลงโทษตามกฎหมาย และผู้พิจารณาพิพากษาคดีคือ ผู้พิพากษาตุลาการ การใช้สิทธิส่วนบุคคล หรือกลุ่ม
เพื่อพิจารณาพิพากษาโทษตามใจปรารถนาของตนนั้น ไม่อาจกระทำได้
การคิดตั้งศาลที่แปลกปลอมนอกจากจะไม่มีอำนาจจะกระทำได้แล้ว ยังเป็นความคิดที่เป็นอันตรายต่อการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ยกเว้นจะเป็นความคิดหรือคำพูดที่เอามันหรือพูดเพื่อให้บุคคลเกิด
อารมณ์ร่วมเท่านั้น
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1385648804&grpid=01&catid=&subcatid=
ย้อนกลับไป ศาลประชาชน ทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่คุณสุเทพจัดตั้ง เมื่อหลายวันก่อน
เห็นเพื่อนๆ หลายคนปลาบปลื้ม กับคุณสุเทพ .... เป็นไงคะ นักกฎหมายบอกมันเป็นแบบนี้
แล้วเพื่อนๆ ที่สนับสนุน จะไม่มาแสดงคคห.หน่อยหรือ ...พูดไม่ออก เนอะ ....