นักวิเคราะห์จากบลูมเบิร์กชี้ การประท้วงอย่างไม่สิ้นสุดในไทยถือเป็นการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ แทนที่จะเร่งพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางอาเซียน
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2556 สำนักข่าวบลูมเบิร์กของสหรัฐฯ เปิดเผยบทความวิจารณ์การเมืองไทยของคอลัมนิสต์ด้านเศรษฐกิจ วิลเลียม เพเซก ที่ระบุว่า การออกมาประท้วงอย่างไม่มีวันสิ้นสุดของคนไทย เหมือนเป็นการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ ชี้ไทยกำลังทำลายตัวเอง แทนที่จะเร่งพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางของอาเซียน
โดยจากบทความของวิลเลียม เพเซก ระบุว่า ประชาชนไทยไม่ต่ำกว่า 100,000 คน ได้ออกมาชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหุ่นเชิดของทักษิณ ลงจากตำแหน่ง หลังจากเธอพยายามอย่างยิ่งยวดในการผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้พี่ชายตัวเองได้กลับบ้าน ซึ่งนั่นทำให้ประชาชนเดือดดาลมาก โดยเฉพาะฝ่ายต่อต้านรัฐบาล พวกเขาออกมาชุมนุมประท้วงกันอย่างต่อเนื่อง มีความพยายามที่จะเข้ายึดกระทรวงต่าง ๆ ของรัฐ ขณะที่ยิ่งลักษณ์เองก็อยู่ภายใต้แรงกดดันในการยุบสภา
แต่การประท้วงของเสื้อเหลืองและเสื้อแดงที่ต่างผลัดเปลี่ยนกันออกมาประท้วง (ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนเป็นรัฐบาล) อย่างไม่มีวี่แววจะสิ้นสุดลงนี้ เปรียบเสมือนการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรต้องยุติความขัดแย้ง การประท้วงทำลายเศรษฐกิจของประเทศตัวเองลงได้แล้ว โดยนักวิเคราะห์เผยว่ามีทางเลือกอยู่หลายทาง เช่น การเลือกผู้นำใหม่ที่ดีกว่านี้ หรือให้รัฐบาลนี้บริหารประเทศไปแต่ต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบทุกอย่างได้
วิลเลียม เพเซก กล่าวว่า เขาเองไม่ได้ปกป้องนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เพราะก็ไม่เห็นด้วยกับการผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อเอื้อให้พี่ชายกลับบ้านเช่นกัน แต่คนไทยควรจะตระหนักว่า เธอเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งและเป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริง ถ้าหากมีใครสักคนทำอะไรที่ไม่เหมาะสม สิ่งเหล่านั้นจะต้องตรวจสอบได้ ถ้าหากพบว่าไม่โปร่งใสจึงค่อยจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
วิลเลียม ได้ยกตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาของเขาว่า สหรัฐอเมริกามักจะทำผิดพลาดอยู่เนือง ๆ ด้วยการคิดว่าประชาธิปไตยจะเยียวยาทุกอย่างได้ สิ่งที่ประชาชนต้องการก็คือ หลักความเสมอภาค หลักนิติธรรม และหลักการโปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งความพึงพอใจของประชาชนก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้นำประเทศปฏิบัติตัวอย่างไรหลังจากได้รับเลือกตั้งแล้ว
แต่ประเทศไทยติดอยู่กับวัฏจักรของการทำร้ายตัวเองอย่างเลวร้าย ลองมองดูสิว่า ประเทศไทยเป็นดินแดนที่มหัศจรรย์และงดงามแค่ไหน เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ไทยกลับแบ่งแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย ผลัดกันออกมาประท้วง ขัดแย้งทางการเมือง ให้เศรษฐกิจชะงัก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีน อินโดนีเซีย อินเดีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ค่อย ๆ พัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ วิลเลียมชี้แจงว่า ผลกระทบจากเหตุประท้วงในไทยนี้ ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา และพนันได้เลยว่าเศรษฐกิจไทยจะถดถอยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อธุรกิจการท่องเที่ยว
ตอนนี้ ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องพัฒนาถนน ท่าเรือ สะพาน และทางรถไฟ เพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางในการคมนาคมระหว่างจีน อินเดีย และสหรัฐฯ รวมถึงอีก 9 ประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากคนไทยเลิกเชื่อว่าการประท้วงจะพาประเทศไปสู่ทางออกได้
มุมมองต่างชาติ บลูมเบิร์ก
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2556 สำนักข่าวบลูมเบิร์กของสหรัฐฯ เปิดเผยบทความวิจารณ์การเมืองไทยของคอลัมนิสต์ด้านเศรษฐกิจ วิลเลียม เพเซก ที่ระบุว่า การออกมาประท้วงอย่างไม่มีวันสิ้นสุดของคนไทย เหมือนเป็นการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ ชี้ไทยกำลังทำลายตัวเอง แทนที่จะเร่งพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางของอาเซียน
โดยจากบทความของวิลเลียม เพเซก ระบุว่า ประชาชนไทยไม่ต่ำกว่า 100,000 คน ได้ออกมาชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหุ่นเชิดของทักษิณ ลงจากตำแหน่ง หลังจากเธอพยายามอย่างยิ่งยวดในการผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้พี่ชายตัวเองได้กลับบ้าน ซึ่งนั่นทำให้ประชาชนเดือดดาลมาก โดยเฉพาะฝ่ายต่อต้านรัฐบาล พวกเขาออกมาชุมนุมประท้วงกันอย่างต่อเนื่อง มีความพยายามที่จะเข้ายึดกระทรวงต่าง ๆ ของรัฐ ขณะที่ยิ่งลักษณ์เองก็อยู่ภายใต้แรงกดดันในการยุบสภา
แต่การประท้วงของเสื้อเหลืองและเสื้อแดงที่ต่างผลัดเปลี่ยนกันออกมาประท้วง (ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนเป็นรัฐบาล) อย่างไม่มีวี่แววจะสิ้นสุดลงนี้ เปรียบเสมือนการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรต้องยุติความขัดแย้ง การประท้วงทำลายเศรษฐกิจของประเทศตัวเองลงได้แล้ว โดยนักวิเคราะห์เผยว่ามีทางเลือกอยู่หลายทาง เช่น การเลือกผู้นำใหม่ที่ดีกว่านี้ หรือให้รัฐบาลนี้บริหารประเทศไปแต่ต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบทุกอย่างได้
วิลเลียม เพเซก กล่าวว่า เขาเองไม่ได้ปกป้องนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เพราะก็ไม่เห็นด้วยกับการผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อเอื้อให้พี่ชายกลับบ้านเช่นกัน แต่คนไทยควรจะตระหนักว่า เธอเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งและเป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริง ถ้าหากมีใครสักคนทำอะไรที่ไม่เหมาะสม สิ่งเหล่านั้นจะต้องตรวจสอบได้ ถ้าหากพบว่าไม่โปร่งใสจึงค่อยจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
วิลเลียม ได้ยกตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาของเขาว่า สหรัฐอเมริกามักจะทำผิดพลาดอยู่เนือง ๆ ด้วยการคิดว่าประชาธิปไตยจะเยียวยาทุกอย่างได้ สิ่งที่ประชาชนต้องการก็คือ หลักความเสมอภาค หลักนิติธรรม และหลักการโปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งความพึงพอใจของประชาชนก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้นำประเทศปฏิบัติตัวอย่างไรหลังจากได้รับเลือกตั้งแล้ว
แต่ประเทศไทยติดอยู่กับวัฏจักรของการทำร้ายตัวเองอย่างเลวร้าย ลองมองดูสิว่า ประเทศไทยเป็นดินแดนที่มหัศจรรย์และงดงามแค่ไหน เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ไทยกลับแบ่งแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย ผลัดกันออกมาประท้วง ขัดแย้งทางการเมือง ให้เศรษฐกิจชะงัก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีน อินโดนีเซีย อินเดีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ค่อย ๆ พัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ วิลเลียมชี้แจงว่า ผลกระทบจากเหตุประท้วงในไทยนี้ ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา และพนันได้เลยว่าเศรษฐกิจไทยจะถดถอยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อธุรกิจการท่องเที่ยว
ตอนนี้ ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องพัฒนาถนน ท่าเรือ สะพาน และทางรถไฟ เพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางในการคมนาคมระหว่างจีน อินเดีย และสหรัฐฯ รวมถึงอีก 9 ประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากคนไทยเลิกเชื่อว่าการประท้วงจะพาประเทศไปสู่ทางออกได้