คิดมานานหลายรอบแล้วว่าจะแสดงความคิดเห็นดีมั้ย แต่ไม่อยากเห็นบ้านเมืองวุ่นวายเหมือนที่แล้วๆมา ก็เลยขอใช้สิทธ์ประชาธิปไตย หนึ่งเสียง ในการแสดงออกทางความคิดเห็นในแนวทางสร้างสรรค์ ในสภาวะบ้านเมืองที่เป็นแบบนี้
ผมรักนายหลวงครับ ผมรักประเทศเหมือนกับพวกเราทุกๆคน และก็มีอุดมการณ์และมีแนวคิดทางการเมือง ซึ่งก็ต้องเหมือนกับคนบางกลุ่ม และก็ต้องขัดแย้งกับคนบางกลุ่มที่มีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ผมไม่อยากให้ประเทศเกิดความวุ่นวาย ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งเหมือนกับการเดินอยู่บนถนนที่เป็นวงกลมสุดท้ายก็เดินกลับมายืนอยู่ที่จุดเดิม โดยวิธีเดิมๆคือ เดินขบวน,ประท้วง,ทำให้สถานะการรุนแรง,ปฏิวัติ รัฐประหาร ,ตั้งรัฐบาล,ยุบพรรค,เลือกตั้งใหม่ เวียนวน ปีแล้วปีเล่า เหมือนเหตุการณ์เดิม จึงอยากระบายและแสดงความคิดเห็นผ่านตัวอักษรเหล่านี้
ปัญหาที่แท้จริงแล้วเราต้องตอบให้ได้ว่าสิ่งที่เราทำไปนั้น ได้ประโยชน์ต่อบ้านเมืองจริงมั้ยหรือใครได้ประโยชน์จากอุดมการณ์ของพวกเรา ถ้าเราตอบคำถามเหล่านี้ได้ไม่ชัดเจนหรือเรายังไม่เข้าใจ ผมแนะนำว่าให้เราหยุดอยู่นิ่งๆ และก็อ่าน และทำความเข้าใจ กับพระบรมราชาโอวาท ของนายหลวงของเราซึ่งท่านได้อบรมสั่งสอนไว้ในการแก้ไขปัญหาวิกฤติในอดีต ซึ่งก็เป็นปัญหาที่คล้ายๆกับปัญหาที่เกิดในปัจจุบัน หลังจากผมได้ไล่อ่านบทความโดยละเอียดแล้วผมกลับพบว่า ผมได้รับคำตอบที่ชัดเจน ถึงแม้คำตอบที่ผมได้รับแล้วนำมาปฏิบัติ อาจทำให้เกิดการถูกตำหนิและดูถูกดูแคลน(อาจจะแอบว่าในใจก็ได้)จากเพื่อนๆ คนรู้จัก หรือจากคนบางกลุ่มว่า ไม่มีอุดมการณ์ ไม่รักประเทศ ชาติ ประเทศถึงทางตันแล้วไม่ออกมารวมพลังเพื่อการแก้ไขปัญหา นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรให้ประเทศ บ้างเลย ต้องมารวมตัวแสดงพลัง โค่นล้มระบบที่ไม่เป็นธรรมผูกขาด และที่ได้ยินบ่อยๆและคุ้นหูคือต้องออกมารวมพลังเพื่อปกป้องสถาบัน เพราะพวกเรารักนายหลวง
เมื่อเกิดการเชิญชวนกันบ่อยๆเข้าในบางครั้งก็มีความรู้สึกว่าเหมือนแกะดำเหมือนกันซึ่งไม่ทำตามกระแสสังคม แต่คงเป็นโชคดีที่ได้เจอและได้อ่านบทความพระราชดำรัส ของนายหลวงท่านก่อนโดยเฉพาะส่วนหนึ่งจาก พระราชดำรัสเนื่องในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ตอนสุดท้ายที่ทรงพระราชดำรัสว่า
“
“ หันหน้าเข้าหากัน, ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน. เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่าบ้าเลือด, เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร, แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร. เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้. แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชน เฉพาะในกรุงเทพมหานคร. ถ้าสมมติว่า เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง.
ฉะนั้นจึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้ากัน แต่หันเข้าหากัน, และสองท่าน เท่ากับเป็นผู้แทนฝ่ายต่างๆ คือไม่ใช่สองฝ่าย. ฝ่ายต่างๆ ที่เผชิญหน้ากัน ให้ช่วยกันแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น. แล้วก็เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้ว จะมาพูดกัน ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร? สำหรับให้ประเทศไทย ได้มีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับคืนมาได้ด้วยดี. อันนี้ก็เป็นเหตุผลที่เรียกท่านทั้งสองมา และก็เชื่อว่าทั้งสองท่าน ก็เข้าใจว่า :-
จะเป็นผู้ที่ได้สร้างประเทศจากซากปรักหักพัง แล้วก็จะได้ผลในส่วนตัวมากว่าได้ทำดี. “
จึงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำอาจจะดูไม่ถูกต้องในสายตาของคนหมู่มากที่มีอุดมการณ์และรักประเทศในยามนี้ แต่อย่างน้อยก็ปฏิบัติตามคำสอนของท่านคือไม่ทำอะไรที่ทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง หรือกลุ่มที่มีอุดม การณ์ทุกกลุ่ม และก็ขอทำหน้าที่ประสกนิกรตัวน้อยๆคนหนึ่งที่อันเชิญพระราชดำรัสของท่านมาเผยแพร่เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตในช่วงบ้านเมืองเริ่มเกิดวิกฤตและหาทางออกให้ประเทศครับ
จากคนที่รักนายหลวง รักประเทศไทย เหมือนพวกเราทุกๆคน
ปล. Link พระราชดำรัสเนื่องในเหตุการณ์พฤษภมิฬ
http://th.wikiquote.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%AC
มาทำความดีถวายในหลวงกันเถอะครับ โดยปฏิบัติตามแนวทางพระราชดำรัชที่ท่านทรงแก้ไขปัญหาฝ่าทางตันของประเทศ
ผมรักนายหลวงครับ ผมรักประเทศเหมือนกับพวกเราทุกๆคน และก็มีอุดมการณ์และมีแนวคิดทางการเมือง ซึ่งก็ต้องเหมือนกับคนบางกลุ่ม และก็ต้องขัดแย้งกับคนบางกลุ่มที่มีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ผมไม่อยากให้ประเทศเกิดความวุ่นวาย ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งเหมือนกับการเดินอยู่บนถนนที่เป็นวงกลมสุดท้ายก็เดินกลับมายืนอยู่ที่จุดเดิม โดยวิธีเดิมๆคือ เดินขบวน,ประท้วง,ทำให้สถานะการรุนแรง,ปฏิวัติ รัฐประหาร ,ตั้งรัฐบาล,ยุบพรรค,เลือกตั้งใหม่ เวียนวน ปีแล้วปีเล่า เหมือนเหตุการณ์เดิม จึงอยากระบายและแสดงความคิดเห็นผ่านตัวอักษรเหล่านี้
ปัญหาที่แท้จริงแล้วเราต้องตอบให้ได้ว่าสิ่งที่เราทำไปนั้น ได้ประโยชน์ต่อบ้านเมืองจริงมั้ยหรือใครได้ประโยชน์จากอุดมการณ์ของพวกเรา ถ้าเราตอบคำถามเหล่านี้ได้ไม่ชัดเจนหรือเรายังไม่เข้าใจ ผมแนะนำว่าให้เราหยุดอยู่นิ่งๆ และก็อ่าน และทำความเข้าใจ กับพระบรมราชาโอวาท ของนายหลวงของเราซึ่งท่านได้อบรมสั่งสอนไว้ในการแก้ไขปัญหาวิกฤติในอดีต ซึ่งก็เป็นปัญหาที่คล้ายๆกับปัญหาที่เกิดในปัจจุบัน หลังจากผมได้ไล่อ่านบทความโดยละเอียดแล้วผมกลับพบว่า ผมได้รับคำตอบที่ชัดเจน ถึงแม้คำตอบที่ผมได้รับแล้วนำมาปฏิบัติ อาจทำให้เกิดการถูกตำหนิและดูถูกดูแคลน(อาจจะแอบว่าในใจก็ได้)จากเพื่อนๆ คนรู้จัก หรือจากคนบางกลุ่มว่า ไม่มีอุดมการณ์ ไม่รักประเทศ ชาติ ประเทศถึงทางตันแล้วไม่ออกมารวมพลังเพื่อการแก้ไขปัญหา นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรให้ประเทศ บ้างเลย ต้องมารวมตัวแสดงพลัง โค่นล้มระบบที่ไม่เป็นธรรมผูกขาด และที่ได้ยินบ่อยๆและคุ้นหูคือต้องออกมารวมพลังเพื่อปกป้องสถาบัน เพราะพวกเรารักนายหลวง
เมื่อเกิดการเชิญชวนกันบ่อยๆเข้าในบางครั้งก็มีความรู้สึกว่าเหมือนแกะดำเหมือนกันซึ่งไม่ทำตามกระแสสังคม แต่คงเป็นโชคดีที่ได้เจอและได้อ่านบทความพระราชดำรัส ของนายหลวงท่านก่อนโดยเฉพาะส่วนหนึ่งจาก พระราชดำรัสเนื่องในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ตอนสุดท้ายที่ทรงพระราชดำรัสว่า
“
“ หันหน้าเข้าหากัน, ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน. เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่าบ้าเลือด, เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร, แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร. เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้. แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชน เฉพาะในกรุงเทพมหานคร. ถ้าสมมติว่า เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง.
ฉะนั้นจึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้ากัน แต่หันเข้าหากัน, และสองท่าน เท่ากับเป็นผู้แทนฝ่ายต่างๆ คือไม่ใช่สองฝ่าย. ฝ่ายต่างๆ ที่เผชิญหน้ากัน ให้ช่วยกันแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น. แล้วก็เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้ว จะมาพูดกัน ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร? สำหรับให้ประเทศไทย ได้มีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับคืนมาได้ด้วยดี. อันนี้ก็เป็นเหตุผลที่เรียกท่านทั้งสองมา และก็เชื่อว่าทั้งสองท่าน ก็เข้าใจว่า :-
จะเป็นผู้ที่ได้สร้างประเทศจากซากปรักหักพัง แล้วก็จะได้ผลในส่วนตัวมากว่าได้ทำดี. “
จึงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำอาจจะดูไม่ถูกต้องในสายตาของคนหมู่มากที่มีอุดมการณ์และรักประเทศในยามนี้ แต่อย่างน้อยก็ปฏิบัติตามคำสอนของท่านคือไม่ทำอะไรที่ทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง หรือกลุ่มที่มีอุดม การณ์ทุกกลุ่ม และก็ขอทำหน้าที่ประสกนิกรตัวน้อยๆคนหนึ่งที่อันเชิญพระราชดำรัสของท่านมาเผยแพร่เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตในช่วงบ้านเมืองเริ่มเกิดวิกฤตและหาทางออกให้ประเทศครับ
จากคนที่รักนายหลวง รักประเทศไทย เหมือนพวกเราทุกๆคน
ปล. Link พระราชดำรัสเนื่องในเหตุการณ์พฤษภมิฬ
http://th.wikiquote.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%AC