คาถาธรรมบท อย่าได้กล่าวว่าร้ายใครเหมือน ชัมพุกาชีวก

เนื้อความคร่าวๆ
           ตัวอย่างของชัมพุกาชีวกเป็นอุทาหรณ์ ชัมพุกะนั้นเกิดในตระกูลมีชื่อที่กรุงราชคฤห์ มีพฤติกรรมไม่นุ่งผ้าและทานอุจจาระของตน
ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ พ่อแม่ของเขาเห็นว่า ลูกเราควรไปเป็นอาชีวกดีกว่า เขาเข้าไปบวชเป็นอาชีวกแล้วไม่ยอมไปบิณฑบาต
ในยามที่คนอื่นเขาออกไปบิณฑบาตกันหมด ตนเองก็แอบไปที่ส้วมแล้วปั้นอุจจาระทานเป็นอาหาร
จนกระทั่งคนอื่นเขารู้ก็ถูกขับออกจากสำนัก ชัมพุกาชีวกไปยืนอยู่ใกล้ๆ ที่เชิงหน้าผาที่ชาวบ้านถ่ายอุจจาระ
กลางวันก็ทำท่ายืนขาเดียว ยกแขนยันหน้าผา อ้าปากอยู่ พอชาวบ้านถาม ก็บอกว่าตนทานลมเป็นอาหาร
ที่ตนยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งเพราะมีตบะมาก เกรงว่า แผ่นดินจะไหวเพราะรับน้ำหนักไม่ได้ ไม่นั่งไม่นอน

          ชาวบ้านพอฟังอย่างนั้นก็ศรัทธาและนับถือชัมพุกาชีวกเป็นจำนวนมาก นำของสักการะอันประณีตมาให้ เขาบอกปัดแล้วบอกปัดอีกว่า การทานของทั้งหลายเหล่านี้ทำให้ตบะเสื่อม หนักเข้าก็เพียงเอาลิ้นแตะน้ำอ้อยแล้วคายออกเสียเพื่อให้ชาวบ้านสบายใจ
แต่พอกลางคืนก็แอบไปทานอุจจาระที่ชาวบ้านมาถ่ายไว้ที่หน้าผานั่นเอง เขาเลี้ยงชีพอยู่อย่างนั้นนานถึง ๔๕ ปี

          จนกระทั่งพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่า ชัมพุกาชีวกนั้นมีบุญอันกระทำไว้ก่อนหน้านั้นสามารถบรรลุธรรมได้
พระองค์จึงได้เสด็จไปพบเขา ณ ที่แห่งนั้นในเวลาเย็น พอเสด็จไปถึงจึงตรัสเรียกชื่อเขา แล้วขออยู่ในที่นั้นด้วย
ชัมพุกาชีวกไม่อยากให้พระพุทธเจ้าอยู่แต่ก็ไม่สามารถขับไล่ไปได้ ในค่ำคืนนั้นยามต้น เทพจาตุโลกบาลลงมาเฝ้า
ยามท่ามกลางพระอินทร์ลงมาเฝ้า ในยามสุดท้ายท้าวมหาพรหมลงมาเฝ้า จนทำให้สถานที่แห่งนั้นสว่างไสวไปทั่ว

          ชัมพุกาชีวกเห็นเหตุการณ์นั้นตลอดทั้งคืน รุ่งเช้าจึงเข้าไปถามพระพุทธเจ้าว่าใครกันมาจนสว่างไสวดุจกลางวัน
พระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกว่า เทพทั้งหลายมาเฝ้าบำรุงพระองค์ดุจดังสามเณรรับใช้พระเถระฉะนั้น
ชัมพุกาชีวกจึงกล่าวบอกว่า เขาบำเพ็ญตบะอยู่ที่นี่เป็นเวลาถึง ๔๕ ปี ยังไม่เคยมีเทพตนใดมาหาบ้างเลย
พระพุทธเจ้าจึงตรัสเตือนว่า ชัมพุกาชีวกท่านไม่ต้องมาหลอกเราหรอก ท่านทนทุกข์ทรมานด้วยการนอนบนหินแข็ง
ถอนผมด้วยใบตาล เปลือยกาย และทานอุจจาระชาวบ้านเป็นอาหาร เธอได้รับบาปกรรมนี้ก็เพราะคิดชั่วนั้นมา บัดนี้ยังจะคิดชั่วอย่างนั้นอยู่อีกหรือ
          
         พระพุทธเจ้าจึงตรัสให้ทราบถึงอดีตของเขาให้ฟังว่า ในอดีตชาติท่านเป็นพระภิกษุรูปหนึ่ง เกิดความไม่พอใจ อิจฉา ริษยา
คิดชั่วเพียงเพราะเห็นการกระทำของโยมอุปัฏฐากของตนปฏิบัติต่อพระภิกษุอีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นพระขีณาสพด้วยการถวายวัตถุสิ่งของที่ประณีต เธอเข้าไปกล่าววาจาไม่ดีต่อพระภิกษุขีณาสพรูปนั้นอย่างรุนแรงด้วยคำว่า “การฉันอุจจาระ การถอนผมด้วยใบตาล
การนอนบนพื้นที่แข็ง และการเปลือยกายเที่ยวไปน่าจะดีกว่าสำหรับท่าน” ด้วยผลแห่งการเข้าไปเกี่ยวพันกับผู้อื่นด้วยความคิดชั่ว
มีจิตอิจฉา ริษยา อันไม่ถูกต้องเช่นนั้นจึงทำให้ท่านต้องไปตกนรกขุมอเวจีนานนับกาลไม่ถ้วน จนกระทั่งมาถึงชาตินี้
ท่านต้องใช้ชีวิตทนทุกข์ทรมานอยู่ด้วยการทานอุจจาระของตน ถอนผมด้วยใบตาล นอนบนพื้นหินที่แข็งกระด้างและเปลือยกาย
อันเป็นผลแห่งบาปกรรมที่เหลือที่ตนทำลงไป

        แต่เนื่องท่านเคยบำเพ็ญเพียรมานานนับได้สองหมื่นปีบุญกุศลนั้นของเธอยังมีอยู่ จากนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้เขาฟัง
ชัมพุกาชีวกจึงได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทา นี่เป็นอุทาหรณ์ในการใที่เหยียดหยามผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่บำเพ็ญเพียรบารมี

เนื้อความแบบอ่านง่าย http://dhammavoice.blogspot.com/2009/03/blog-post_9418.html
อ้างอิง http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=15&p=11
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่