ราตรีอับแสง (ตอนที่ 26)

กระทู้สนทนา
ชายหนุ่มพาร่างอันปราดเปรียวของตนขึ้นรถกระบะโฟวิลคู่ชีพได้ ก็รีบบึ่งออกจากตัวบ้านทันที เมื่อพ้นจากตัวบ้านได้ การจราจรก็ยังถือว่าปกติอยู่ ถึงแม้จะไม่โล่งราวกับอยู่บนถนนสายเปลี่ยวก็เถอะ แต่ดูเหมือนว่ามันขัดหูขัดตา ไม่ได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง ขี้เมาประจำชุมชนก็เมาโต๋เต๋ เดินตุปัดตุเป๋จะเซแหล่มิเซแหล่เข้าหารถเขา น่านนทีจำต้องเหยียบเบรกสนิทพลางขมวดคิ้ว กว่ามันจะเดินเหมือนปูนาหลงทุ่งเข้าร้านเหล้าจิ้งหรีดข้างถนนได้ มันยังร้องเพลงของคาราบาวดังคับซอย ชายหนุ่มโคลงศีรษะแรงๆ กับภาพเบื้องหน้า ก่อนจะใส่เกียร์รถ เหยียบคันเร่ง เท้านั้น...ถ้าเป็นไปได้อยากเหยียบเอาจนจมด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดตรงเป็นที่ชุมชน ที่ไม่รู้ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ หรือแม้กระทั่งหมาที่ไหนจะทะเล่อทะล่าออกมา รออีกนิด...ให้ถึงซุปเปอร์ไฮเวย์ก่อนเถอะ ชายหนุ่มพยายามท่องในใจ

    ครั้นถึงถนนซุปเปอร์ไฮเวย์สายแม่ริมได้สมใจอยาก กลับทำให้เขาได้ ‘เหยียบ’ แค่ชิมๆ เพราะเมื่อใกล้ถึงสี่แยกไฟแดงโรงแรมเชียงใหม่ภูคำ รถมันติดกันยาวพืด! ชะเง้อมองด้านหน้า สัญญาณไฟจราจรห่างไกลออกไปเป็นกิโลเมตร ไม่รู้ว่ามีอุบัติเหตุข้างหน้า หรือว่ามีงานเทศกาลอะไร หรือ...อะไรเขาไม่สนใจ เขารีบตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางทันที ก่อนจะทิ้งรถคู่ชีพ ซึ่งมันเคยพาเขากับศศินาหนีมาเชียงใหม่ด้วยกัน จนได้รักกันในที่สุด ไว้ที่ข้างทาง ก่อนจะวิ่งไปตามทางเท้า ไม่สนใจคนรอบข้างที่บ้างก็ชำเลืองปราดเดียว พวกที่ชอบสาระแนเป็นทุนเดิม ก็มองเอาจนลับตา พร้อมๆ กับจินตนาการไปอ้อมโลก ว่าชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาคมสันเป็นมันยับผู้นี้ เร่งฝีเท้าหนีใคร หรือรีบไปหาใครกันนักหนา

    ‘เหงื่อ’ เม็ดเล็กเม็ดน้อยผุดพราวเต็มใบหน้า และชุ่มตรงกลางหลัง ถ้าหากอากาศไม่เย็นยะเยือกเสียหน่อย เสื้อยืดสีเขียวแก่ของเขาคงเปียกชุ่มไปหมด ทว่า...กว่าจะพาร่างมาจนถึงสี่แยกไฟแดงได้ เขายืนรอรถสี่ล้อแดง พร้อมกับยืนพักไปด้วยในตัว อดไม่ได้ที่จะมองระยะทางที่มาราทอนมา และอดไม่ได้ที่จะขอบคุณตัวเองว่าตัดสินใจถูกแล้ว ‘ไม่งั้นได้ติดแหง็กอยู่ที่เดิมเป็นแน่!’ ไม่รู้ว่ารถมันติดอะไรเกือบกิโลเมตรแหนะ! เขาบ่นในใจ พลางกวาดตาดูรอบตัว ก็ไม่เห็นอุบัติเหตุ หรืองานเทศกาลที่ไหน อาจจะเพราะเชียงใหม่กลายเป็นเมืองวุ่นวายไปเสียแล้วกระมัง ไม่ได้สงบ เยือกเย็น เหมือนสมัยก่อนโน้น

    ชายหนุ่มโบกรถสี่ล้อแดงให้หยุด ถนนด้านหน้าถึงแม้จะมีรถสวนทางกันไปมา แต่ก็ไม่ติดขัดเหมือนอย่างที่เขาหนีมา เขาบอกให้โดยสารไปยังสนามบินทันที ด้วยคิดว่าหญิงสาวต้องตีตั๋วกลับชลบุรีเป็นแน่ เวลาตอนนี้ราว 3 ทุ่ม รถรายังขวักไขว่ น่านนทีหันรีหันขวาง บนตอนหลังของรถโดยสารสี่ล้อแดง ท่าทางอยู่ไม่สุขของเขา เดี๋ยวมองออกนอกรถ เดี๋ยวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร. ออก สุดท้ายได้กดปุ่มวางสาย เพราะปลายทางนั้นย้ำคำเดิมว่า ‘ท่านได้เข้าสู่ระบบฝากข้อความ’ มันทำให้ใครก็ตามที่อยู่ด้วย อดไม่ได้ที่จะแอบชำเลืองตามองเขาเหมือนกัน ผู้โดยสารร่วมทางกับเขาคือหญิงสาว ซึ่งอายุคงราวเดียวกัน อาจจะแก่กว่าแต่ก็ไม่มาก แต่แววตาของหล่อนนั้นโหลลึก ใบหน้าบ่งบอกว่าคงแบกทุกข์กองเท่าภูเขา หากเพียงแต่หล่อนนิ่ง จนคิดว่าคงกระยิ้มกระสนดิ้นรนมาจนเหนื่อยแล้ว

    “ลงที่ไหนครับ?” ชายหนุ่มถาม กลัวว่ารถสี่ล้อแดงนี่จะรับคนมั่วอย่างที่คนต่างถิ่นว่ากัน ถ้ารับมั่ว เขาจะลงจากรถ โบกคันใหม่จริงๆ หละ!

    “สนามบินคะ” ชายหนุ่มโล่งอกไป ยังไม่ทันได้ชวนคุยต่อ เพื่อหวังจะบรรเทาความร้อนให้ทุเลา หญิงสาวนางนั้นก็ถามขึ้นมา

    “คุณหละ...ลงไหนคะ?”

    “สนามบินเหมือนกันครับ”

    “อ๋อ...ไปรับเพื่อนหรอคะ ไม่เห็นมีกระเป๋าเดินทางเลย” เขาเพิ่งจะสังเกตว่าผู้หญิงคนนี้พกกระเป๋าเดินทาง อันมีล้อลากพ่วงด้วยในตัวใบเขื่อง แอบอยู่ด้านในสุด

    “ไม่ครับ...ผมจะไปตามผู้หญิงคนหนึ่ง เธอหนีผมมา ยังไม่รู้เลยว่าจะไปสนามบินมั๊ย” ไอ้คนที่เพิ่งพบพานกัน คงไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น ไหนๆ ก็จะลงที่เดียวกันแล้ว หญิงสาวนางนั้นจึงชวนคุยต่อ ราวกับว่าหล่อนเจอคนที่เผชิญปัญหาไม่ต่างกันเท่าไรนัก

    “คุณก็โทรหาเธอสิคะ...” คำแนะนำของผู้ร่วมทาง แทบจะทำให้เขาตะโกนตอบอย่างระงับอารมณ์ไม่ได้ เพราะเขากดโทร. ออก แทบจะร้อยสายอยู่แล้ว ก็ปรากฏว่าฝ่ายนั้นปิดเครื่อง และไอ้การที่ปิดเครื่องนี่แหละ ที่ทำให้เกิดห่วงขึ้นมาจับใจ

    “เค้าปิดเครื่องครับ พอดี...มีเรื่องเข้าใจผิดกัน ผมต้องคุยกับเธอให้รู้เรื่อง” เขากล้าเปิดปาก เพราะไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ เรื่องราวประดามีเหมือนอย่างสมัยก่อน ที่อีแค่จะกินข้าวที่ไหน ยังต้องกำชับลูกน้องแล้ว ลูกน้องอีก ว่าห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้ พร้อมกับคนติดสอยห้อยตามเป็นพรวน

    “ดีจังเลยนะคะ น่ารักมาก...ผู้หญิงคนนั้นคงโชคดีมาก” ว่าแล้วคนพูดก็มีแววตาหม่นลง จนเข้าข่ายเหมือนคนตั้งท่าจะร้องไห้ น่านนทีอดไม่ได้ที่จะลืมเรื่องตัวเองชั่วขณะ มองผู้หญิงตรงหน้าด้วยฉงนในที

    “คงไม่หรอกครับ ผมผิดเอง ถ้าผมรู้ตัวไวกว่านี้ เธออาจจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีกว่านี้ก็ได้” เขายินดีในคำชมกลายๆ แต่ก็ไม่ลืมความผิดของตัวเอง จนโพล่งประโยคที่ยังไงอีกฝ่ายก็จับต้นชนปลายไม่ถูกออกไป

    “ก็ยังดีที่คุณตามหาเค้าคะ ฉันเพิ่งโดนไล่ออกบ้านมานี่ กำลังจะกลับต่างจังหวัด” น่านนทีขมวดคิ้วมุ่น ถามกลับอย่างสนใจ

    “ไล่ออกจากบ้าน...” แค่นั้น...ก่อนที่อีกฝ่ายจะเติมความให้เต็ม

    “ใช่...สามีฉันไล่ฉันออกจากบ้าน กำลังจะกลับบุรีรัมย์คะ ดีนะที่ไม่มีลูกด้วยกัน เลยต่างคนต่างไปง่ายดี” ไม่ต้องบอกหรอกว่าสามีภรรยาคู่นี้ทะเลาะอะไรกันนักหนา ถึงขั้นไล่ภรรยาออกบ้าน แต่น่านนทีก็แอบกัดริมฝีปากตัวเองจี๊ดหนึ่ง เจ็บปวดแทนหญิงสาวผู้นั้นอย่างบอกไม่ถูก บิดาของเขาไม่เคยทำให้มารดาของเขาน้ำตาตกสักหยด เขาเองก็คาดไว้ว่าจะเจริญรอยตามบิดาเช่นกัน แต่ผู้ชายคนที่เป็นสามีของผู้หญิงตรงหน้า ‘ไล่เมียออกจากบ้าน!’

    “ผม...ผมเสียใจด้วยนะครับ” ก็ไม่รู้จะพูดว่าไงให้ดูดีมากไปกว่านี้

    “ช่างมันเถอะคะ...ดีแล้ว...หมดทุกข์ซะที” คนพูดยิ้มแบบเฝื่อนๆ ก่อนจะเบือนหน้าออกมองด้านนอก ซึ่งรถสี่ล้อแดงตอนที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร จะมีช่องกระจกบานยาวขนานกับกระบะหลังรถ เอาไว้เปิดปิดเป็นหน้าต่าง ให้ผู้โดยสารได้รับลม หรือออกมองทัศนียภาพภายนอก สายตาที่จับจ้องยังใบหน้าหญิงสาวนิรนามนั้นตรงๆ ทำให้เขาทราบว่าน้ำตาของหล่อนเริ่มไหลริน และพอลมปะทะโดนหน้า หล่อนกระพริบตาถี่ ไม่สะอึกสะอื้นจวนเจียนตาย หากน้ำตาที่เขาเห็นนั้น มันไหลลงมาทั้งๆ ที่ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามนิ่งตรง เหมือนว่ามันเอ่อออกมาจากใจจริงๆ ไม่ต้องบิดเบี้ยวใบหน้าส่วนใดทั้งสิ้น เพราะมันไม่ได้ออกมาจากความเจ็บปวด แต่มันออกมาจาก...การที่ไม่รู้ว่าอนาคตต่อไปจะเป็นยังไงสินะ หรือ...อาจจะเพราะอาลัยความสัมพันธ์ที่เคยมีกับสามีเก่า แต่...จะยังไงก็ช่าง คนที่ถึงขั้นไล่ภรรยาออกจากบ้าน เขายินดีกับน้ำตาของหล่อนมากกว่า อย่างน้อย...ก็อาจจะเสียน้ำตาซ้ำๆ แบบนี้ไปแค่อีกหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี ทว่า...ไม่ใช่ตลอดชีวิต

    เขาหวนนึกถึงอลินขึ้นมาตงิดๆ หญิงสาวผู้นั้นมีเขาคอยโอบอุ้มตลอด อาจจะเพราะโอบอุ้มจนเคยตัว หล่อนจึงคิดว่าเขา ‘จะทำยังไงด้วยก็ได้’ หากแล้วบทสรุปก็อย่างที่เห็น เขาโกรธ...แต่เขาปักใจเคียดแค้น ชิงชัง ไม่ได้หรอก ถึงแม้จะไม่ให้อภัย แต่หล่อนก็ยังคงน่าสงสารเสมอสำหรับเขา ถ้าหากความจริงเปิดเผยกับศศินาแล้ว ศศินาคงเข้าใจว่าอลินเป็นคนยังไง และหมดความไว้วางใจในตัวอลินเป็นแน่ ความจริงมันเป็นสีเข้มเสมอ

ก่อนแยกย้ายกับหญิงสาวนิรนามไปคนละทาง หล่อนยังอวยพรด้วยว่า

“ขอให้ตามหาเธอให้เจอนะคะ”

    แล้วลากกระเป๋าเดินทางใบโต พร้อมกับกระเป๋าสะพายพะรุงพะรังจากไป ส่วนน่านนทีนั่นก็เร่งฝีเท้าเข้าไปในแอร์พอร์ต ถามพนักงานแต่ละสายการบินเรื่องตารางเวลาบิน ตอนนั้นราว 3 ทุ่มครึ่งแล้ว ไฟลท์บินเที่ยวล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 4 ทุ่ม จนถึงเที่ยงคืน ถ้าหากศศินาจะเดินทางโดยเครื่องบิน หล่อนก็คงต้องรออยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งในแอร์พอร์ต เขาจึงเดินวนหาให้ทั่ว วนแล้ววนเล่า วนจนคิดว่าถ้าเขาสภาพจิตใจปกติดี เขาคงไม่ทำอะไรแบบนี้แน่ๆ ไล่ถามยามตามจุดต่างๆ ก็แล้ว แต่ก็ไม่พบศศินา คราวนี้คนแถวนั้นแอบชำเลืองสายตามาทางเขาอย่างแปลกๆ โดยเฉพาะยาม ที่เล็งตามเขาทุกอิริยาบถ หากเขาไม่ได้สนใจกับอาการคนเหล่านั้น เขาสนใจเพียงแต่ว่า...ศศินาไม่ได้มาที่นี่แน่นอน ไฟลท์บินที่ออกล่าสุดคือ 6 โมงเย็น ซึ่งหล่อนมาไม่ทันแน่ เพราะเรื่องเกิดขึ้นราว 2 ทุ่ม

    น่านนทีจึงเปลี่ยนจุดหมายใหม่เป็นสถานีขนส่งอาเขตแทน ตลอดระยะเวลาที่อยู่ตอนหลังรถแท็กซี่ เขาเพียรกดโทร. ออกหาศศินา ชนิดที่ 10 นาทีครั้งได้ ไม่นับกับข้อความที่ส่งไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเป็นห่วงหญิงสาวจับใจ เมื่อถึงสถานีขนส่งอาเขต เขาก็ไล่ถามพนักงานขายตั๋วทุกช่อง ว่ารถออกล่าสุดตอนกี่โมง คำตอบก็คือราวๆ ทุ่มครึ่งหมด และล่าสุดจะออกอีกประมาณ 4 ทุ่ม แน่หละ...ถ้าศศินาอยู่ที่นี่จริง หล่อนน่าจะจองตั๋วจากบริษัทนี้แน่ๆ เขาจึงซุ่มรอหล่อนอยู่ให้ห่างจากชานชาลา เกรงว่าถ้าหล่อนเห็นเขาจะหนีไปอีกหนะซี จนแล้วจนรอด...รถทัวร์เข้ามาจอดเทียบชานชาลาแล้ว ชายหนุ่มมองผู้โดยสารแต่ละคนขึ้นรถซ้ำแล้วซ้ำเล่า และแทบจะไม่กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ ไม่ปรากฏหญิงสาวผิวขาว ผมเส้นไหมหยักศกพองาม ถึงแม้ตอนออกบ้าน หล่อนจะปล่อยผมให้ยาวสยายจนเลยกลางแผ่นหลัง แต่พอมาถึงข้างนอก หล่อนอาจจะรวบตึงอย่างที่เคยชินก็ได้ ชายหนุ่มจึงมองผู้หญิงทุกคนที่ขึ้นรถทัวร์ไป ไร้วี่แววของศศินา!

    ก่อนจะมองตาละห้อย ตามรถทัวร์คันนั้น ซึ่งเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาช้าๆ และลับตาไปในที่สุด

ลั่นระทม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่