ความรู้สึกต่อม๊อบถล่มเมือง...ของคนไทยคนหนึ่ง..???..น่าอ่านมาก...

กระทู้สนทนา
ไม่มีอะไรจะเชียน..นอกจากปลงสังเวชกับคนไทยที่รักชาติทั้งหลาย...
รักชาติ..รักมาก...รักจนทำให้พังทะลาย...????
ความรักชาติ..ของคนบางคนเป็นอย่างนี้เอง...???

ผมไปอ่านความในใจของคนในกระทรวงต่างประเทศในเฟสมา...อ่านแล้วอยากให้คนไทยทุกคนได้อ่าน...
อ่านแล้วคิดไปด้วยนะ..คิดนานๆคิดลึกๆ...จะได้ทำให้ความรักชาติแบบนั้นมันลดลงบ้าง...
ยาวหน่อย..แต่เขียนดีครับ...


..................................................

"วันนี้ ที่ กต. ค่อนข้างเงียบเหงากว่าปกติ เพราะผู้บังคับบัญชาสั่งว่าใครไม่มีงานด่วนก็ให้ทำงานอยู่ที่บ้าน
แต่เราและอีกหลาย ๆ คนมีงานที่ต้องเข้ามาทำที่กระทรวงฯ วันนี้เรามีประชุมสำคัญเร่งด่วนเลื่อนไม่ได้
ทุกคนก็สปิริตดีมากันเกือบครบพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ใช่แต่เฉพาะคนจาก กต. แต่มีผู้แทนจากหน่วยงานอื่น ๆ ด้วย
เราทำงานกันอย่างหนักทั้งวันตั้งแต่สิบโมงยันห้าโมงครึ่ง
ตอนพักทานข้าวก็ยังไม่วายคุยเรื่องงานต่อด้วยกลายเป็น working lunch
ถึงแม้จะได้ยินเสียงม๊อบและเสียงนกหวีดที่กรีดโสตดังเข้ามารบกวนเป็นพัก ๆ ก็ตาม
แต่เราก็ยังคงทำงานต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ตอนบ่ายเสียงม๊อบหายไปพักใหญ่ พวกเราก็คิดว่าคงจะไปที่อื่นต่อกันแล้ว
แต่ก็มีพรายกระซิบบอกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะไปเอาเต๊นท์มากางนอนที่นี่ ก็ไม่คิดว่าจะทำจริง ๆ
ตกเย็นพอประชุมเลิก เราก็กลับมาเก็บของที่กองกันต่อ พยายามเก็บเอกสารสำคัญในที่ปลอดภัยเท่าที่เราจะสามารถทำได้
ระหว่างนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมเสียงดังขึ้น ๆ ร้องโห่ฮิ้วฮิ้วโห่กันอย่างคึกคะนอง
คนที่ถือไมค์กระจายเสียงถามกลุ่มผู้ชุมนุมว่า กระทรวงต่างประเทศน่าอยู่เนอะ อยากนอนที่นี่มั๊ย กลุ่มม๊อบขานรับ เฮๆ
คนถือไมค์ถามอีกว่า อยากเข้ามากินข้าวในนี้มั๊ย กลุ่มม๊อบก็ขานรับอีก เฮๆๆ แล้วก็ช่วยกันประสานเสียงนับหนึ่งสองสาม
แล้วก็พังรั้ว กต. (น่าจะเป็นฝั่งศรีอยุธยา แต่ไม่เห็นม๊อบที่พังลงมา
แต่ตอนที่ยังอยู่ในนั้น ฝั่งพระรามหกรั้วยังโอเคอยู่) เข้ามาอยู่ในบริเวณประชาสัมพันธ์บางส่วน
ม๊อบส่วนใหญ่ยังคงอยู่บริเวณด้านนอก ส่งเสียงอื้ออึงดังลั่นกระทรวงไปหมด

ขอพูดให้ทราบจากใจว่าคนในกระทรวงไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือไม่เป็น ต่างก็รู้สึกกลัวและสับสนกันไปหมด
(คือจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้อันตรายอะไรเท่าไหร่ (มั้ง) คะ พี่ๆ ม๊อบก็พูดง่ายให้รถออกและให้ข้าราชการเข้าไปเอารถได้
ตามที่เพื่อนที่เพิ่งกลับเข้าไปที่กระทรวงบอกเล่า แต่ในขณะนั้น มันเสียงดัง (มาก)
เสียงนกหวีดผสมกะเสียงอะไรไม่รู้ตุ้งตั้งๆ มีไฟหวอรถตำรวจ คือเก๊าก็กัวนะ >< แต่ขอพี่ม๊อบอย่าทำอะไรมากกว่านี้เลยน้อ โตๆ กันแล้ว
พูดรู้เรื่องน้อ) ผอ. ตะโกนบอกให้รีบวิ่งออกมา เค้าพังประตูเข้ามาแล้ว พวกเราที่เหลือก็ออกวิ่งกัน
ใจก็ยังห่วงเอกสารและของของราชการต่าง ๆ ก็รอล็อกกรม และรอให้แน่ใจว่าทุกคนออกมาพร้อมกัน
และทุกคนอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มไม่ทิ้งกันจริง ๆ วิ่งลงกันไปที่ลานจอดรถ เห็นพี่ ๆ ตำรวจกว่าครึ่งร้อยถือ shield เตรียมพร้อมป้องกันสถานที่
ต่างคนต่างขึ้นรถ มาจอดรอจะออกด้านพระราม 6 แต่พี่ตำรวจบอกว่าใจเย็น ๆ ก่อน ยังออกไม่ได้
ถ้าเปิดรั้วกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาหมดแน่ ทุกคนก็วกรถกลับมาในที่จอดรถ พี่ รปภ. ก็เข้มแข็งอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง
บอกว่าขอให้ทิ้งรถไว้ที่นี่ ออกไปแต่ตัวจะดีกว่า เดี๋ยวจะดูแลรถให้อย่างเต็มที่ เดี๋ยวให้หนีออกทางประตูหนีไฟออกไปมหิดล
ทุกคนก็ลงจากรถ ไปที่ประตูหนีไฟทั้งสามบาน แต่มันล็อกหมด ไม่รู้กุญแจอยู่ไหน ตอนแรกก็ว่าจะปีนบันได
แต่มีผู้หญิงใส่กระโปรงหลายคน รวมทั้งเราด้วย พี่ ๆ แม่ค้าตะโกนบอกจากชั้นสองให้ขึ้นมาข้างบนสโมก่อน ค่อย ๆ คิด
ทุกคนก็ไปรวมตัวที่สโม ไปเข้าห้องน้ำ ฯลฯ กันสักพักนึง แล้วพี่พรีมก็โทรมาบอกว่า
มีคนไปเจรจาขอให้ข้าราชการกลับบ้านและเอารถออกจากกระทรวงได้แล้ว
เท่านั้นแหละทุกคนก็วิ่งกรูกันลงมา แล้วก็ตามขบวนรถตำรวจออกมาจาก กต. ได้อย่างปลอดภัย
ตอนขับรถออกมาก็โดนล้อมด้วยม๊อบ พี่ ๆ ม๊อบก็ชี้ ๆ และก็ด่า ๆ มีกล้องวีดิโอจับภาพด้วย
เป็นคนดังในข้ามคืนก็งี้ ดีที่ไม่ต้องปีนรั้วหนี ดีที่ไม่ต้องทิ้งรถไว้
ก็ขอขอบคุณพี่ม๊อบที่ยังพอมีน้ำใจและจิตสำนึกปล่อยให้ข้าราชการกลับบ้านละกันนะ ถ่ายรูปและวีดิโอไม่ทัน
แต่คาดว่าคงมีคนถ่ายไว้ รอไปดูเอาเองละกันนะ มือมันสั่นไปหมด ไม่เคยเจอของจริง

โอเค เหตุการณ์ที่ทราบมีเท่านี้ จนตอนนี้กลับมาถึงบ้าน เสียงนกหวีดยังก้องอยู่ในหู
สำหรับเราแล้วเสียงนกหวีดไม่ใช่เสียงแห่งการแสดงพลังมวลชน แต่มันเป็นเสียงที่ย้ำเตือนจิตใจของเราทุกวัน
ว่าประเทศไทยกำลังเดินถอยหลัง การแสดงออกทางความเห็นเป็นสิทธิเสรีภาพที่ประชาชนคนไทยทุกคนมี
แต่มันต้องอยู่ในลักษณะที่จำกัด คุณเข้าใจคำว่าประชาธิปไตยจริงหรือไม่
คุณลองถามตัวเองให้ดีก่อน คำว่าประชาธิปไตย ไม่ใช่ exclusive freedom ที่ใครจะทำอะไรก็ได้
ในแต่ละเรื่องในแต่ละประเด็น ย่อมมี rights and obligations เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันเสมอ
คุณอย่าพูดถึงแต่สิทธิที่คุณพึงมีหรือสิทธิที่คุณพึงได้รับ คุณหันมาดู "หน้าที่" ของคุณบ้าง ว่าคุณต้องทำอะไรเพื่อประเทศของคุณ
ในประเทศอื่น ๆ หลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่เป็น the land of the free เป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ
กฎหมายของเค้ายังมีจำกัดการแสดงออกทางการเมืองของประชาชนของเค้า จำกัดสถานที่ จำกัดเนื้อหาที่คุณจะแสดงออกได้
content-based ห้ามมี fighting words ห้ามมี libel/slander ห้าม discriminate ฯลฯ
แล้วสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศของเราคืออะไร สิ่งที่ได้ฟัง ได้ข่าวว่าด่าพ่อล่อแม่ เอาเรื่องส่วนตัวมาประจาน
มันใช่เรื่องมั๊ย คุณจะ attack ใครคุณ attack ที่ผลงานของเค้า หรือการกระทำในทางหน้าที่ของเค้าก็พอ
คุณอย่าพาลพะโลโกเกไปขุดเรื่องไม่เป็นเรื่องมาปน แล้วข้อมูลต่าง ๆ ที่มันแพร่กระจายอยู่ในสื่อต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นทีวี นสพ. ทวิตเตอร์หรือเฟซบุ๊ค กว่าครึ่งที่เห็นเป็นข้อมูลเท็จ เป็นข้อมูลที่ไม่ได้ผ่านการกรองทางความคิด
อ่านแล้วไม่หาข้อมูลมาเสริมว่ามันน่าเชื่อถือหรือไม่ เค้าบอกว่างั้นก็เชื่อเลย
มาตรา 190 เอย ปราสาทพระวิหารเอย อะไรต่อมิอะไรเอย คือก็อยากจะอธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง
จะตัดสินอะไรจะได้อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน แต่มีปากเดียว (รวมกับปากของคนอื่น ๆ ที่พยายามอธิบายสิ่งที่ถูกต้อง
แต่ดูเหมือนว่ามันก็จะกลายเป็นเพียงแค่การเปิดปิดปากพะงาบ ๆ ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
พอพูดก็หาว่าข้อมูลฉันผิด ฉันมี conflict of interest เพราะฉันทำงานให้รัฐบาล โอวมายก้อด เอาติ่งใดคิดสิ่งนี้ขึ้นมาคร้า
ถ้าคนกระทรวงไม่รู้ แล้วแมวที่ไหนจะรู้อะเนี่ย) ให้ตามไปพูดไปอธิบายให้ทั้งโลกฟังมันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ มันถูกเหรอคุณ
อย่างนี้มันก็เหมือนไฟป่า ยิ่งพยายามจะดับยิ่งลาม 7 วัน 7 คืนก็ดับไม่ได้
และดิฉันเป็นข้าราชการคนหนึ่ง ที่รับราชการอยู่ทุกวันนี้ ที่ทำงานเลิกสี่ทุ่มห้าทุ่มเกือบทุกวันนี่ ก็ทำเพื่อประเทศไม่ใช่เหรอไง
รับเงินเดือนหมื่นกว่า ๆ คิดว่ามันพอยาไส้เหรอคะ (แต่ย้ำว่าทำด้วยความเต็มใจ) มีข้าราชการอีกกี่คนที่ต้องเดือดร้อนแบบฉัน
กระทรวงการคลังเอย อะไรเอย ถามตัวเองอีกทีดิ๊ว่าทำไมถึงไม่อยากให้ข้าราชการทำงาน
เพราะพวกเราทุกคนเป็นขี้ข้านักการเมืองงั้นเหรอ เราเป็นข้าราชการ เราเป็นข้าของแผ่นดิน ของในหลวง
โปรดแยกแยะให้ออกระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายราชการ มันคนละฝ่ายกันนะคะ เรามีหน้าที่และมีความรับผิดชอบของเรา
งานของเราเรามี ไม่ใช่ว่านั่งใช้ภาษีของพวกคุณไปวัน ๆ ดิฉันนั่งทำงานหน้ามันหน้ามืดอยู่ทุกวี่วัน
ดิฉันขอพูดได้เลยว่าดิฉันได้รับเงินเดือนไม่พอกับความทุ่มเทที่ให้ไป คุณเข้ามายึด กต. วันนี้ ทำให้ตอนนี้กระทรวงไม่มีข้าราชการเหลืออยู่เลย
ซึ่งปกติเวลาป่านนี้ ณ ที่พิมพ์อยู่ตอนนี้ ดิฉันและคนอื่น ๆ ในกระทรวงก็คงจะยังนั่งทำงานกันอยู่ตามปกติที่เคยเป็นมาทุกวัน
ไม่ใช่ 4 โมงแต่งหน้า 4 โมงครึ่งกลับบ้านเหมือนที่ใครเข้าใจ ไม่รู้คุณจะเข้ามายึดอยู่นานเท่าไหร่
แต่ทุกวินาทีที่คุณใช้ไปกับการกระทำนี้ของคุณ คุณกำลังทำให้ชาติถดถอยลงไปทุกลมหายใจ ประเทศไทย
มีรัฐบาลเป็น actor ก็จริง แต่ประเทศไทยนางก็มีชีวิต มีจิตใจ ถ้าจะว่าไปดิฉันว่านางก็มีลมหายใจเหมือนกับพวกคุณ ณ บัดนี้
ถ้าให้เดา ขอเดาว่านางคงกำลังหายใจรวยรินมาก ๆ แล้ว คุณไม่ชอบรัฐบาล คุณทำได้แค่ก่อม๊อบ และยึดสถานที่ราชการ แค่นี้เหรอ
ทำไมคุณไม่นัดกันชุมนุมที่ห้องสมุด แล้วทุกคนมานั่งช่วยกันหาวิธีแก้ไขระบบของประเทศให้มันดีกว่านี้แทนอะคะ
คุณไม่อยากให้มีคอร์รัปชั่นคุณก็บอกมาเลยคุณจะป้องกันมันยังไง
สิ่งที่ผ่านมาแล้วยังไงมันก็ยังอยู่อย่างนั้น คนผิดย่อมเป็นคนผิดอยู่วันยังค่ำ กรุงโรมไม่ได้สร้างใน 7 วัน
และดิฉันก็คิดว่ามันก็คงจะไม่ได้พังลงมาภายใน 7 วันเช่นกัน
แล้วอย่าให้รู้นะใครไปม๊อบแต่ตัวเองก็โกงเค้า ขายยา ฟอกเงิน หนีภาษี ใช้ทางลัด ฮั้วประมูล
อย่าว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง มีแบงค์พันเป็นปึ๊ง ๆ หรือของมีค่าของคนอื่นวางอยู่บนโต๊ะแล้วคุณไม่มุบมิบหยิบเอาไปเป็นของตัวเองเมื่อไหร่
ดิฉันถึงจะเชื่อ แต่สิ่งที่คุณควรจะเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคืออนาคตต่อไปจากนี้ คุณจะรับมือกับมันอย่างไร
ถ้าคุณล้มรัฐบาลได้จริงคุณจะทำอย่างไรต่อไป คุณได้คิดกันไว้รึยัง
ในความเห็นส่วนตัว ดิฉันไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดทั้งสิ้น ไม่เหลือง ไม่แดง ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่เพื่อไทย ไม่ประชาธิปัตย์ ไม่อะไรทั้งนั้น
เพราะ ณ จุดนี้ หลายอย่างได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าไม่มีใครเป็นสับปะรดซักคน
ดิฉันไม่ได้ไปเข้าร่วมม๊อบ เพราะส่วนตัวดิฉันไม่เชื่อในระบบนี้ ดิฉันเป็นนักกฎหมายและเป็นนักการทูต
ดิฉันต้องใช้ทั้งวิชานิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ในการทำงานทุกวันนี้ ดิฉันเชื่อในการร่างกฎหมายที่ดี
และดิฉันเชื่อใน good governance complete transparency and administration by the people through the selected few
ดิฉันเชื่อว่ากฎหมายที่ดีจะคุ้มครองสังคมให้สงบสุขได้ ถ้าคุณบอกตอนนี้กฎหมายไม่ดี คุณก็มาช่วยแก้สิคะ เสนอสิว่าควรจะแก้ยังไง
ดิฉันว่าสำหรับประเทศไทยตอนนี้ อย่างแรก ๆ ที่ควรต้องทำคือการเพิ่มโทษทางอาญาสำหรับความผิดอาญาทุกฐาน
และไม่ควรมีการอภัยโทษ การนิรโทษกรรมหรือการลดโทษหรือการรอลงอาญาใด ๆ ทั้งสิ้นไม่ใช่ระบบรุนแรง
แต่เป็นระบบ preventive measure มากกว่า แล้ว apply across the board มันอาจจะฟังดูทำไม่ได้จริง
เพราะระบบอุปถัมภ์ฝังรากลึกเกินกว่าจะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง แต่มันก็น่าจะใช้ได้นะกับสังคม ณ ตอนนี้
บางคนกล่าวว่าประเทศไทยตอนนี้เป็น failed State ถึงแม้ดิฉันอยากจะหัวเราะก๊ากใน statement นี้เพียงใด
แต่ในใจก็แอบกลัวว่ามันจะมีความเป็นไปได้ขึ้นมาจริง ๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น ตอนนี้รัฐของเราไม่ได้ fail หรอกค่ะ
แต่เป็นคนในประเทศของเราต่างหากที่ fail คนในประเทศของเรามีความล้มเหลว คือการล้มเหลวทางความคิด คิดเองไม่เป็น
คนที่คิดเป็นและคิดได้ก็มีส่วนน้อยเกินไป และไม่มีพลังมากพอที่จะเอ่ยออกเสียงใด ๆ ให้คนหมู่มากได้ยิน
คนหมู่มากในปัจจุบัน พอใครไม่เห็นด้วยกับตน ก็หาว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมันโคตรจะไม่ใช่เลย อย่ารักชาติในทางที่ผิด
บอกแล้ว เอะอะ ๆ ก็ประชาธิปไตย จะบอกว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยุ่นี้ไม่เข้าใกล้คำนิยามของประชาธิปไตยแม้แต่น้อย
น่าอายเขาไหม ประเทศอื่นเค้าคงกำลังหัวเราะคิกคัก ๆ ที่เค้าจะได้แซงหน้าเราโดยที่เค้าไม่ต้องแข่งอะไรกับเราเลย นอนมา
คนไทยยิ้มตีกันเอง สนุกจุงเบย
เห็นด้วยว่ารัฐบาลในฐานะที่เป็นผู้กุมบังเหียนควรจะมีประสิทธิภาพ และมีความโปร่งใส
แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ ไม่มีใครเข้าคุณสมบัติดังกล่าวเลย ก็คงได้แต่รอคนรุ่นใหม่ที่ทั้งคิดดี และทำดีได้จริง
มาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศของเรา ให้มันน่าอยู่ขึ้น ให้กลับมาเป็นเอกภาพ และเป็นหนึ่งอีกครั้ง

เออ ก็ประมาณนี้อะนะ วอนขอพี่ม๊อบหยุดซะเถอะ หยุดร้องเพลงและเต้นในกระทรวงได้แล้ว
มันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คุณอย่าลบหลู่ ออกมา กลับบ้าน และแยกย้ายกันไปทำงานทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียเหอะ
หรือถ้าจะทำอะไรก็รีบ ๆ ทำไปเลย เอาให้มันเสร็จ ๆ ไป ชาวบ้านเค้าวุ่นวายกันไปหมดแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่