เมื่อวานนี้ (23 พ.ย. 56) เป็นวันครบรอบ 1 ปีที่ผมทำงานกับบริษัทแห่งใหม่หลังจากที่ตกงานมานานถึง 3 เดือนเพราะลาออกจากบริษัทเก่าครับ ผมเลยอยากเอาประสบการณ์ที่ผมได้ผ่านมา มาแชร์ให้เพื่อนๆที่กำลังประสบปัญหาเดียวกันกับผมครับ อาจจะยาวไปหน่อยก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ
ผมเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรัฐเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ไม่ได้มีชื่อเสียงทางด้านวิศวกรรมนัก (แต่มีชื่อเสียงทางด้านศิลปกรรม)
จบมาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.77 ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 คนแรกและคนเดียวในสาขาวิชา
ช่วงก่อนที่จะจบนั้น ผมมีโอกาสสอบข้อเขียน-ผ่านสัมภาษณ์งานบริษัทผู้ผลิตรถกระบะยี่ห้อดัง แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ไปตรวจร่างกาย(พูดง่ายๆคือสละสิทธิ์นั่นเองครับ) แล้วไปทำงานกับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่เคยให้ทุนการศึกษา, และได้ทำงานในจังหวัดที่ใกล้บ้านแทน
แน่นอน มีแต่คนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเลือกแบบนี้ บ้างก็ว่าผมบ้า, โง่ที่ไม่ยอมเลือกบริษัทแรก
เมื่อเข้ามาสู่ชีวิตการทำงาน มีแต่ปัญหามากมายเข้าในชีวิต เนื่องที่ทำงานเป็น Plant ใหม่ที่เพิ่งจะมาตั้ง, ระบบงานต่างๆ ยังไม่ลงตัว, มีความขัดแย้งภายในแผนกมากมาย, ไม่มีคนสอนงาน ทุกอย่างต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง, ได้นอนวันละ 3-4 ชม ติดต่อกันเพราะงานหนัก ต้องเลิกงานดึก (บางครั้งทำงานจนถึงตีสาม) สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดความเครียดสะสมขึ้น จนทำให้เกิดความคิดว่าจะลาออกดีไหมนะ เราเองเหมาะกับงานนี้ไหมนะ ทำให้ทุกวันตอนเช้า ผมมีความคิดว่า ไม่อยากจะไปทำงานเลย
ซึ่งพอเป็นเช่นนี้นานๆเข้า ความเครียดที่มีอยู่เลยทำให้เกิดความคิด "อยากลาออกจากงาน"
เมื่อความอดทนของผมหมดลง ผมลาออกจากงานที่บริษัทดังกล่าว โดยได้บอกกับ ผจก ก่อนจะลาออก ผู้จัดการเรียกไปคุยว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น ผมก็ได้อธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็ได้บอกให้ผมสู้ต่อ ผมจึงกลับไปทำงานต่อ แต่ผมไม่สามารถเอาชนะความเครียดที่มีอยู่ในหัวผมได้ เย็นวันต่อมา ผมได้ลาออกจากงาน โดยไม่ได้บอกใคร มีเพียงซองกระดาษที่ข้างในมีบัตรพนักงาน และใบลาออกใส่ไว้วางอยู่บนโต๊ะผู้จัดการเท่านั้น วันต่อมาผมก็ไม่ไปทำงานอีกเลย โดยผมได้ลาออกวันที่ผมผ่านโปรพอดี นั่นก็คือผมทำงานที่แรกได้แค่ประมาณ 4 เดือนครับ
ผมกลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อที่จะพักหัวสมองจากเรื่องเครียดๆ ที่ผ่านมา แล้วจะตั้งใจหางานใหม่
แต่เมื่อผมกลับมาบ้าน กลับกลายเป็นว่า ผมเองยิ่งเครียดกว่าเดิม เพราะมีแต่คนคนมาถามว่าทำไมถึงลาออก, ทำไมถึงไม่ทำงาน, ถามพ่อแม่ผมว่าลูกเธอได้เกียรตินิยมนิ แล้วตอนนี้ทำงานที่ไหน พ่อแม่ผมได้แต่ยิ้ม ไม่สามารถตอบคำถามได้
ความเครียดนั้นทำให้ผมต้องเริ่มหางานใหม่ ตั้งแต่สองสามวันแรกที่ออกจากที่ทำงานเก่า ส่งใบสมัครผ่านเว็บไปหลายที่ ด้วยความคิดที่ว่า เราจบเกียรตินิยม น่าหางานใหม่ได้ไม่ยาก
แน่นอนไม่ถึงเดือน ผมมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่ง แต่ พ่อผมไม่ให้ผมไป จะให้ผมไปทำงานกับบริษัทที่น้าที่เป็น HR เส้นเข้าให้ (พ่อทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงผม ท่านเห็นผมเครียด) โดยบอกว่า อันนี้ได้ทำงานแน่นอนไม่ต้องไปลุ้นว่าจะผ่านไม่ผ่าน โดยวันเริ่มงานวันแรกตรงกับวันที่ผมได้ไปสัมภาษณ์พอดี
ผมเลือกที่จะไปสัมภาษณ์ แต่พ่อผมท่านไม่ยอมให้ไป เพราะจะทำให้เสียน้าเสียหน้า ให้ผมโทรยกเลิกสัมภาษณ์และขับรถมารับผมที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งาน ให้ไปเริ่มงานวันแรกกับอีกบริษัท
ผมทำงานอยู่ที่บริษัทนั้นไม่ถึงอาทิตย์ เพราะสภาพที่ผมเจอนั้นเลวร้ายกว่าบริษัทเดิมเยอะมาก อีกทั้งเป็นบริษัทฝรั่ง สวัสดิการต่างๆแย่มาก
ผมกลับมาหางานใหม่อีกครั้ง โดยไม่ลงประวัติว่าเคยทำงานที่บริษัทที่ 2 ที่เพิ่งออกมา แต่คราวนี้งานมันไม่เป็นหาได้ง่ายที่ผมคิด ใช้เวลานานมากกว่าบริษัทแต่ละที่ๆผมส่งไปสมัครไปจะเรียกตัวผมไปสัมภาษณ์ และเมื่อไปสัมภาษณ์ผมตกสัมภาษณ์ตลอด อาจเป็นเพราะว่าผมค่อนค้างเลือกงาน อยากทำงานกับบริษัทที่ดีๆ และมักจะติดกับคำถามที่ว่า
"ทำไมถึงลาออกจากบริษัทเดิม"
มันทำให้ผมหนักใจมาก เพราะไม่ว่าผมจะสรรหาคำตอบใดๆ มาแก้ตัว ก็ไม่อาจชนะใจผู้สัมภาษณ์ได้ จนทำให้ผมเครียด จนนอนไม่หลับ เป็นเวลาประมาณ 3 เดือนกว่าๆ ความเครียดที่มีทำให้ในหัวปั่นป่วนไปหมด จนเกือบจะเสียสติกลายเป็นคนบ้า
พ่อที่เห็นสภาพผมเป็นอย่างนี้ บอกกับแม่ผมว่า "เขาเคยภูมิใจในตัวผม" พอแม่มาเล่าให้ผมฟัง ทำให้ผมรู้สึกแย่มากกว่าเดิม แต่นั่นก็ทำให้ผมสู้ต่อ โดยมีเป้าหมายว่า "จะต้องทำให้พ่อผมกลับมาภูมิใจในตัวผมอีกครั้งหนึ่ง"
จากนั้นมา ผมไปสัมภาษณ์งาน โดยเลือกที่จะเล่าความจริงที่เกิดขึ้น ว่าทำไมถึงลาออกจากงานที่บริษัทเดิม ผมยอมรับข้อผิดพลาดของตนเองที่ไม่มีความอดทนต่อความกดดันต่างๆ ที่เข้ามา จนทำให้คิดสั้นลาออกจากงานโดยที่ไม่หางานใหม่ไว้รองรับ
แน่นอน หลายบริษัทที่ผมไปสัมภาษณ์ก็ไม่รับผมเช่นเดิม แต่ผมก็ยังสู้ต่อ จนสุดท้ายผมก็ได้งานทำที่บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมดีใจมากที่ผมผ่านมันมาได้ แม้ในใจจะคิดว่า "กูผ่านมาได้ไงว่ะ สัมภาษณ์รอบสุดท้าย MD ทำท่าเหมือนจะไม่พอใจคำตอบของเรา จนผมทำใจว่าไม่ได้แน่ๆแล้ว"
ปัญหาและความเครียดต่างๆที่ผ่านมาทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น และพร้อมเผชิญกับปัญหาต่างๆที่เข้ามาในการทำงานที่บริษัทแห่งใหม่นี้ ผมตั้งใจทำงานและสามารถพิสูจน์ให้ ผจก ที่ทำงานใหม่เห็นถึงความสามารถที่มี เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปสอนงานเพื่อนร่วมงานในบริษัทเครือเดียวกันที่สาขาต่างประเทศ ก่อนจะขึ้นเครื่อง ผมก็ได้โทรคุยกับพ่อแม่ ก่อนวางสายพ่อได้บอกผมว่า "พ่อภูมิใจในตัวลูกมากนะ ตั้งใจทำงานนะลูก" พอผมได้ยินประโยคนั้นผมอึ้ง ดีใจมาก จนร้องไห้หลังจากที่ท่านวางสายไป
และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมสู้งานมาจนถึงตอนนี้ครับ
สุดท้าย ผมอยากให้เรื่องที่ผมเจอมานี่เป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังประสบปัญหาแบบเดียวกับผมเมื่อก่อน ได้สู้ต่อไปอย่าไปยอมแพ้กับปัญหาที่กำลังเจออยู่ครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
แชร์ประสบการณ์ "เกียรตินิยม" ตกงานครับ
ผมเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรัฐเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ไม่ได้มีชื่อเสียงทางด้านวิศวกรรมนัก (แต่มีชื่อเสียงทางด้านศิลปกรรม)
จบมาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.77 ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 คนแรกและคนเดียวในสาขาวิชา
ช่วงก่อนที่จะจบนั้น ผมมีโอกาสสอบข้อเขียน-ผ่านสัมภาษณ์งานบริษัทผู้ผลิตรถกระบะยี่ห้อดัง แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ไปตรวจร่างกาย(พูดง่ายๆคือสละสิทธิ์นั่นเองครับ) แล้วไปทำงานกับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่เคยให้ทุนการศึกษา, และได้ทำงานในจังหวัดที่ใกล้บ้านแทน
แน่นอน มีแต่คนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเลือกแบบนี้ บ้างก็ว่าผมบ้า, โง่ที่ไม่ยอมเลือกบริษัทแรก
เมื่อเข้ามาสู่ชีวิตการทำงาน มีแต่ปัญหามากมายเข้าในชีวิต เนื่องที่ทำงานเป็น Plant ใหม่ที่เพิ่งจะมาตั้ง, ระบบงานต่างๆ ยังไม่ลงตัว, มีความขัดแย้งภายในแผนกมากมาย, ไม่มีคนสอนงาน ทุกอย่างต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง, ได้นอนวันละ 3-4 ชม ติดต่อกันเพราะงานหนัก ต้องเลิกงานดึก (บางครั้งทำงานจนถึงตีสาม) สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดความเครียดสะสมขึ้น จนทำให้เกิดความคิดว่าจะลาออกดีไหมนะ เราเองเหมาะกับงานนี้ไหมนะ ทำให้ทุกวันตอนเช้า ผมมีความคิดว่า ไม่อยากจะไปทำงานเลย
ซึ่งพอเป็นเช่นนี้นานๆเข้า ความเครียดที่มีอยู่เลยทำให้เกิดความคิด "อยากลาออกจากงาน"
เมื่อความอดทนของผมหมดลง ผมลาออกจากงานที่บริษัทดังกล่าว โดยได้บอกกับ ผจก ก่อนจะลาออก ผู้จัดการเรียกไปคุยว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น ผมก็ได้อธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็ได้บอกให้ผมสู้ต่อ ผมจึงกลับไปทำงานต่อ แต่ผมไม่สามารถเอาชนะความเครียดที่มีอยู่ในหัวผมได้ เย็นวันต่อมา ผมได้ลาออกจากงาน โดยไม่ได้บอกใคร มีเพียงซองกระดาษที่ข้างในมีบัตรพนักงาน และใบลาออกใส่ไว้วางอยู่บนโต๊ะผู้จัดการเท่านั้น วันต่อมาผมก็ไม่ไปทำงานอีกเลย โดยผมได้ลาออกวันที่ผมผ่านโปรพอดี นั่นก็คือผมทำงานที่แรกได้แค่ประมาณ 4 เดือนครับ
ผมกลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อที่จะพักหัวสมองจากเรื่องเครียดๆ ที่ผ่านมา แล้วจะตั้งใจหางานใหม่
แต่เมื่อผมกลับมาบ้าน กลับกลายเป็นว่า ผมเองยิ่งเครียดกว่าเดิม เพราะมีแต่คนคนมาถามว่าทำไมถึงลาออก, ทำไมถึงไม่ทำงาน, ถามพ่อแม่ผมว่าลูกเธอได้เกียรตินิยมนิ แล้วตอนนี้ทำงานที่ไหน พ่อแม่ผมได้แต่ยิ้ม ไม่สามารถตอบคำถามได้
ความเครียดนั้นทำให้ผมต้องเริ่มหางานใหม่ ตั้งแต่สองสามวันแรกที่ออกจากที่ทำงานเก่า ส่งใบสมัครผ่านเว็บไปหลายที่ ด้วยความคิดที่ว่า เราจบเกียรตินิยม น่าหางานใหม่ได้ไม่ยาก
แน่นอนไม่ถึงเดือน ผมมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่ง แต่ พ่อผมไม่ให้ผมไป จะให้ผมไปทำงานกับบริษัทที่น้าที่เป็น HR เส้นเข้าให้ (พ่อทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงผม ท่านเห็นผมเครียด) โดยบอกว่า อันนี้ได้ทำงานแน่นอนไม่ต้องไปลุ้นว่าจะผ่านไม่ผ่าน โดยวันเริ่มงานวันแรกตรงกับวันที่ผมได้ไปสัมภาษณ์พอดี
ผมเลือกที่จะไปสัมภาษณ์ แต่พ่อผมท่านไม่ยอมให้ไป เพราะจะทำให้เสียน้าเสียหน้า ให้ผมโทรยกเลิกสัมภาษณ์และขับรถมารับผมที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งาน ให้ไปเริ่มงานวันแรกกับอีกบริษัท
ผมทำงานอยู่ที่บริษัทนั้นไม่ถึงอาทิตย์ เพราะสภาพที่ผมเจอนั้นเลวร้ายกว่าบริษัทเดิมเยอะมาก อีกทั้งเป็นบริษัทฝรั่ง สวัสดิการต่างๆแย่มาก
ผมกลับมาหางานใหม่อีกครั้ง โดยไม่ลงประวัติว่าเคยทำงานที่บริษัทที่ 2 ที่เพิ่งออกมา แต่คราวนี้งานมันไม่เป็นหาได้ง่ายที่ผมคิด ใช้เวลานานมากกว่าบริษัทแต่ละที่ๆผมส่งไปสมัครไปจะเรียกตัวผมไปสัมภาษณ์ และเมื่อไปสัมภาษณ์ผมตกสัมภาษณ์ตลอด อาจเป็นเพราะว่าผมค่อนค้างเลือกงาน อยากทำงานกับบริษัทที่ดีๆ และมักจะติดกับคำถามที่ว่า
"ทำไมถึงลาออกจากบริษัทเดิม"
มันทำให้ผมหนักใจมาก เพราะไม่ว่าผมจะสรรหาคำตอบใดๆ มาแก้ตัว ก็ไม่อาจชนะใจผู้สัมภาษณ์ได้ จนทำให้ผมเครียด จนนอนไม่หลับ เป็นเวลาประมาณ 3 เดือนกว่าๆ ความเครียดที่มีทำให้ในหัวปั่นป่วนไปหมด จนเกือบจะเสียสติกลายเป็นคนบ้า
พ่อที่เห็นสภาพผมเป็นอย่างนี้ บอกกับแม่ผมว่า "เขาเคยภูมิใจในตัวผม" พอแม่มาเล่าให้ผมฟัง ทำให้ผมรู้สึกแย่มากกว่าเดิม แต่นั่นก็ทำให้ผมสู้ต่อ โดยมีเป้าหมายว่า "จะต้องทำให้พ่อผมกลับมาภูมิใจในตัวผมอีกครั้งหนึ่ง"
จากนั้นมา ผมไปสัมภาษณ์งาน โดยเลือกที่จะเล่าความจริงที่เกิดขึ้น ว่าทำไมถึงลาออกจากงานที่บริษัทเดิม ผมยอมรับข้อผิดพลาดของตนเองที่ไม่มีความอดทนต่อความกดดันต่างๆ ที่เข้ามา จนทำให้คิดสั้นลาออกจากงานโดยที่ไม่หางานใหม่ไว้รองรับ
แน่นอน หลายบริษัทที่ผมไปสัมภาษณ์ก็ไม่รับผมเช่นเดิม แต่ผมก็ยังสู้ต่อ จนสุดท้ายผมก็ได้งานทำที่บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมดีใจมากที่ผมผ่านมันมาได้ แม้ในใจจะคิดว่า "กูผ่านมาได้ไงว่ะ สัมภาษณ์รอบสุดท้าย MD ทำท่าเหมือนจะไม่พอใจคำตอบของเรา จนผมทำใจว่าไม่ได้แน่ๆแล้ว"
ปัญหาและความเครียดต่างๆที่ผ่านมาทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น และพร้อมเผชิญกับปัญหาต่างๆที่เข้ามาในการทำงานที่บริษัทแห่งใหม่นี้ ผมตั้งใจทำงานและสามารถพิสูจน์ให้ ผจก ที่ทำงานใหม่เห็นถึงความสามารถที่มี เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปสอนงานเพื่อนร่วมงานในบริษัทเครือเดียวกันที่สาขาต่างประเทศ ก่อนจะขึ้นเครื่อง ผมก็ได้โทรคุยกับพ่อแม่ ก่อนวางสายพ่อได้บอกผมว่า "พ่อภูมิใจในตัวลูกมากนะ ตั้งใจทำงานนะลูก" พอผมได้ยินประโยคนั้นผมอึ้ง ดีใจมาก จนร้องไห้หลังจากที่ท่านวางสายไป
และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมสู้งานมาจนถึงตอนนี้ครับ
สุดท้าย ผมอยากให้เรื่องที่ผมเจอมานี่เป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังประสบปัญหาแบบเดียวกับผมเมื่อก่อน ได้สู้ต่อไปอย่าไปยอมแพ้กับปัญหาที่กำลังเจออยู่ครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ