นรต. วิถีลูกผู้ชาย สไตล์สุภาพบุรุษ (ฉบับทดลอง) ตอนที่ 1

จากบึงบัว สู่รั้วศิลปากร

จั่วหัวว่า ‘บึงบัว’ ...
ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นลูกอ๊อดแต่ประการใด ...

ผมเองก็เป็นเหมือนเด็กผู้ชายทั่วๆไปที่มี ‘ความฝันบู๊ๆ’เป็นของตัวเอง
ฝันของคนอื่นเป็นยังไง เริ่มมีตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่ทราบ ... แต่ฝันของผมชัดเจนมาตั้งแต่ที่ผมจำความได้ ...

แม้เด็กผู้ชายส่วนใหญ่จะชอบเล่น ‘ตำรวจจับผู้ร้าย’ แต่ผมชอบเล่น ‘ทหารไทยรบพม่า’ มากกว่า … แน่นอน ... น้องชายผมเล่นเป็น ‘พม่า’ ทุกครั้ง
จะด้วยยีนส์ความเป็น ‘นักรบ’ ของพ่อถูกถ่ายทอดมาถึงผมตั้งแต่เยาว์วัยหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ตั้งแต่เด็กๆผมคิดแต่ว่าโตขึ้นจะเป็น ‘ทหาร’ เหมือนพ่อ ไม่เคยคิดจะสนใจอาชีพอื่นเลย

พ่อผมเป็นนักรบครับ เป็นทั้งทหารเสือพระยาสุรสีห์ (กองพลทหารราบที่ 9) เป็นทั้งทหารเสือราชินี (กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์) เป็นทั้งทหารพราน (กรมทหารพรานที่ 13) รบราฆ่าฟันต่อสู้ปกป้องประเทศชาติมาตั้งแต่สงครามเวียดนาม จนถึงสงครามปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ก่อนที่จะลาออกจากราชการเมื่อผมอายุได้ 6 ขวบ ในยศ ‘จ่าสิบเอก’

ทุกเรื่องราวที่พ่อเคยเล่าให้ฟังผมจำได้ดี ...

เวลาที่พ่อและเพื่อนๆพูดคุยกันถึงเรื่อง ‘สนามรบ’ ผมก็มักจะ ‘ยิ้ม’ เข้าไปนั่งอยู่ในวงสนทนาด้วยแทบทุกครั้ง …

‘ทหารเก่า’ มักเล่าเรื่องราวความบ้าบิ่นในสมรภูมิให้ชาวบ้านชาวช่องฟังอยู่เสมอๆ

“เอ็งเห็นรอยนี่มั้ย?” พ่อพูดพร้อมกับถกขากางเกงโชว์แผลเป็นรูปวงกลมขนาดประมาณเหรียญบาทให้เพื่อนๆดู ผมชะโงกผ่านเพื่อนๆพ่อเข้าไปดูด้วยความสนใจตามประสาเด็ก

“โห...” เพื่อนพ่อเริ่มฮือฮาถามไถ่ที่มาของบาดแผล “โดนอะไรมาเหรอพี่”


พ่อผมพยักหน้างึ่กๆ “จำได้มั้ย ปี 2524 ยุทธการผาเมืองเผด็จศึก ปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์อำเภอหล่มสัก”
เพื่อนๆพ่อพยักหน้า “นี่พี่ปะทะกับข้าศึกแล้วโดนยิงมาเหรอ”
พ่อผมยิ้มมุมปากเล็กน้อยแบบคนที่แก่ประสบการณ์
“ป่าว!”พ่อปฏิเสธทันควันด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ท่ามกลางความมึนงงที่เกิดขึ้นภายในวงสนทนา
“ตอนนั้นไม่ได้ไป ลงมาอยู่กองร้อย ... กินเหล้า ... เมา ... เพื่อนเอาบุหรี่จี้” !!
อืม ... นักรบจริงๆ ...

อันที่จริงจะบอกว่าลักษณะพ่อผมเป็นคนโม้เก่งก็ได้ครับ ...
แต่ทุกครั้งที่พ่อพูดเรื่องไปรบ ... เนื้อหามันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ไม่เลย...แม้แต่น้อย
แม้พ่อจะยิงมุกบ้าง หักมุมบ้าง แต่พ่อก็มักจะเล่าเรื่องจริงๆตบท้ายทุกครั้ง และมันก็ไม่เคยผิดเพี้ยนไป ไม่ว่าจะเล่าซ้ำซักกี่รอบ

ผมไม่ได้สมองดีเลิศอะไร แต่เป็นคนจดจำรายละเอียด ... วัน เวลา สถานที่ จำนวนคน เหตุการณ์ ... ผมจำได้หมด
เรื่องราวที่พ่อเล่า ไม่เคยข้อมูลผิดเพี้ยน ...
ช่วงหลังๆก่อนที่พ่อของผมจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ผมได้รู้จักเพื่อนเก่าๆของพ่อมากขึ้น ทุกคนพูดถึงพ่อผมไปในทิศทางเดียวกัน “จ่าโมทย์คือทหารกล้า ที่เคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในสมรภูมิตัวจริงเสียงจริง”
ผมจะมีความสุขมากเวลาที่ไปต่างจังหวัดกับพ่อ การที่พ่อขับรถไปพร้อมๆกับเล่าเรื่องตอนที่เป็นทหารไปนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังถูกเติมไฟฝันทีละน้อย ทีละน้อย ...
ผมอยากเป็นอย่างพ่อ อยากไปรบอย่างพ่อ อยากเก่ง อยากกล้า อยากเป็นวีรบุรุษ อยากเป็นทหารอย่างพ่อ
แต่เชื่อมั้ยครับ ... พ่อไม่เคยสนับสนุนให้ผมเป็นทหารเลย
ทุกครั้งที่บอกว่าอยากเป็นทหาร พ่อจะค้านตลอด ไม่เคยเห็นด้วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว และจะพูดเสมอๆว่า “มันหมดยุคแล้ว มันหมดยุคแล้ว” ...

แต่ผมก็ยังถือว่าผมเป็นเด็กที่โชคดีนะครับ ที่พ่อแม่ไม่เคยบังคับเรื่องเส้นทางชีวิตหรือว่าเห็นความฝันของผมเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
แม้ว่าพ่อจะไม่สนับสนุนให้ผมเป็นทหารนักก็ตาม แต่พ่อก็อุตส่าห์หาเงินหาทองมาให้ผมเข้าโรงเรียนติวคอร์สนึงหลายหมื่น

ผมเรียน ป.1-ม.3 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ สำโรง (ซึ่งตอนนี้มันเปลี่ยนชื่อเป็นอัสสัมชัญ สมุทรปราการ ... (เพื่อ???)) และมาต่อ ม.ปลายที่โรงเรียนปทุมคงคา ...
โรงเรียนอัสสัมชัญ สำโรง ในสมัยนั้นเป็นโรงเรียนชายล้วน สังคมอัสสัมชัญเป็นสังคมที่ดีมาก มีมาตรฐานสูงในหลายๆเรื่อง บางคนอาจเรียกว่าเป็น ‘โรงเรียนคุณหนู’ หรือ ‘โรงเรียนไฮโซ’ แต่ในทัศนะของผมคิดว่ามันไม่ใช่ มันเป็นโรงเรียนที่มี ‘สภาพแวดล้อมดี’มากกว่า
พื้นฐานทางครอบครัวของเด็กส่วนมากในโรงเรียน ทำให้โรงเรียนนี้เป็น ‘โรงเรียนผู้ดี’ ที่เมื่อลูกหลานของท่านได้มาเรียนแล้ว ผมกล้ารับประกันว่า ถ้าครอบครัวอบอุ่น และช่วง ม.1-ม.3 ตัวเด็กไม่ใฝ่ชั่ว สภาพแวดล้อมของอัสสัมชัญจะทำให้เด็กคนนั้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพมาก

อันที่จริงผมได้โควตาให้เรียนต่อ ม.4 ที่อัสสัมชัญ แต่ตอนนั้นธุรกิจของครอบครัวได้รับผลกระทบจาก ‘วิกฤตการณ์ 2540’ ทำให้ผมไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะเรียนโรงเรียนเอกชนต่อไปได้
ลูกคนโตของป้าผมคนนึง พาผมไป ‘ฝาก’กับโรงเรียนเก่าของเขา ...
พี่ชายของผมคนนี้ เป็น roll model (ซึ่งเด็กสมัยนี้กระแดะเรียกผิดๆว่า ‘idol’) ของผมตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นพี่เขาเพิ่งเรียนจบวิศวะมาใหม่ๆ ในสายตาของผม‘พี่แนท’ เป็นคนเก่ง คนดี มีคุณภาพ และผมเลือกให้เป็นแบบอย่าง ผมจึงเชื่อมั่นว่าโรงเรียนที่พี่แนทพาไปฝากนั้นจะทำให้ผมเป็นได้อย่างพี่แนท
ที่ผมใช้คำว่า ‘ฝาก’ ก็เพราะว่าพี่แนทพาไป ‘ฝาก’ จริงๆ ผมไม่ได้สอบข้อเขียน ไม่ได้สอบสัมภาษณ์ ไม่ได้อะไรทั้งสิ้น อยู่ดีๆก็มีชื่อเป็นนักเรียนสายวิทย์ห้องบ๊วยหน้าตาเฉย
วันที่ผมเห็นโรงเรียนใหม่ของผมครั้งแรก ผมมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ คราวนี้กูมีแฟนแน่ ...
เพราะดูชื่อโรงเรียนแล้วน่าจะหญิงเยอะ
วันปฐมนิเทศ ก่อนออกจากบ้านผมเศร้าพอสมควรกับการต้องเปลี่ยนจากกางเกงสีน้ำเงินดูดี มาเป็นกางเกงสีกากีเด็กวัด แต่ก็คิด

ว่าไม่เป็นไร…ที่โรงเรียนคงจะสนุกและบรรยากาศดี เพราะวันนี้เราจะได้เรียนกับเด็กผู้หญิงครั้งแรกในชีวิต
พอไปถึงโรงเรียนในตอนเช้า ...
ผมปะแป้งจากบ้านมาจนหน้านวล ฉีดน้ำหอมราคาถูกให้พอมีกลิ่น เดินเก๊กเต็มกำลังผ่านเข้าประตูโรงเรียน
มองไปทางไหนก็เห็นแต่ เด็ก ม.ต้นวิ่งไล่ตบกบาลเพื่อน หมานอนเกาหู คุณครูยืนรับไหว้  
ตอนนั้นเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมากลางเซเรเบลรัม‘ทำไมมีแต่เด็กผู้ชาย(วะ)?’แถมหน้าตาก็ดุดัน ดูไม่เป็นมิตรเหมือนเพื่อนที่อัสสัม
ผมแอบคิดในใจว่า ผู้หญิงแต่งตัวช้า เรื่องเยอะ กว่าจะออกจากบ้านก็คงสาย อาจจะมาช้ากว่าเด็กผู้ชายบ้างอะไรบ้าง ...
แต่พอเคารพธงชาติ มองไปทางไหนมันก็ยังหาไม่เจอซักคน ...
เอ๊ะหรือว่าจะเข้าแถวแยกเพศ?
ผมตัดสินใจหันไปถามเพื่อนที่เข้าแถวต่อจากผม “นายๆ ... พวกนักเรียนหญิงไปเข้าแถวที่ไหนอ่ะ”

ไอ้หมอนั่นทำหน้าตกใจกับคำถามของผม แล้วมันก็ตอบผมอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่ชีวิตมันเคยพูดมา “xxxเหอะ! โรงเรียนนี้มีผู้หญิงที่ไหนวะ!”
สิ้นประโยคของมัน เหมือนผมจะสิ้นใจตามไปด้วย ...
‘ปทุมคงคาไม่มีนักเรียนหญิง!!’
ท่านผู้อ่านที่เคารพอาจสงสัยว่าผมนี่มันบ้ากามอะไรนักหนา แค่ไม่มีผู้หญิงในโรงเรียน ทำเหมือนจะเป็นจะตาย
ท่านลองเข้ามานั่งในดวงใจน้อยๆของผมสมัยเด็กๆดูสิครับ ...
ตอนเด็กๆคิดแบบนี้จริงๆนะครับ ... ผมเรียนอัสสัมชัญมา 9 ปีเต็มๆ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เคยชินกับชีวิตผู้ดี มีทัศนคติมาโดยตลอดว่าโรงเรียนรัฐบาล มัน “ยี้!!!รัฐบาล” ...
อัสสัมชัญเลิศ อัสสัมชัญเจ๋งอัสสัมชัญเก่ง อัสสัมชัญหรู ... อะไรประมาณนั้น
ไอ้การที่จะต้อง ‘ทำใจ’ ไปเรียนโรงเรียนรัฐบาล มันก็ว่าหนักแล้ว


ยังจะต้องใส่กางเกงสีกากีอีก ทั้งๆที่โรงเรียนรัฐใส่กางเกงดำเยอะแยะ เปลี่ยนจากกางเกงน้ำเงินเป็นดำยังพอได้ แต่นี่ลดเกรดลงไปถึงขั้น ‘กางเกงกากี’ ... มันเครียด มันอาย มันหดหู่ ... สารพัดจะคิด
โรงเรียนเก่าอยู่ใกล้ๆ ตื่นหกโมงครึ่งมีรถโรงเรียนมารับ โรงเรียนใหม่ต้องตื่นตีห้าแล้วเดินฝ่าความมืดของซอยบ้านระยะทางประมาณหนึ่งกิโล ออกไปโบกรถมอเตอร์ไซค์วินให้ไปส่งปากซอยใหญ่เพื่อที่จะรอรถเมล์เที่ยวแรกซึ่งเป็นโอกาสทองโอกาสเดียวที่จะได้‘นั่ง’ ไม่ต้องห้อยโหนเป็นชะนีกลางกรุง ...
แล้วไหนจะเรื่องเพื่อนที่เคยมีแต่ลูกผู้ดี มาจากครอบครัวที่มีพื้นฐานดี กลายมาเป็นเพื่อนที่‘หลากหลาย’มีทั้งเด็กที่มาจากชุมชนแออัด มีทั้งอันธพาล ทั้งเด็กแวนซ์ เด็กเดฟ คำพูดคำจาก็หมาไม่- ...
‘Season Change’ ของผมครั้งนี้มัน ‘หนัก’จริงๆครับ ...
มีเรื่องเดียวที่น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ... ก็คือการได้เรียนกับเด็กผู้หญิงบ้าง
ยอมรับเลยครับว่าช่วงแรกๆเรียนปทุมคงคาด้วยความ ‘โคตรจะไม่มีความสุข’

แต่พออยู่ไปอยู่มา ... ไอ้ทัศนคติเด็กน้อยไร้สาระเหล่านั้นก็ค่อยๆถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจใน ‘วิถีลูกผู้ชายสไตล์ปทุมคงคา’
ผมเริ่มเข้ากับเพื่อนได้มากขึ้น จนกลายเป็นผู้นำกลุ่มแบบกรายๆ ...
แม้จะมีเพื่อนเรียก‘คุณหนู’บ้าง แต่ก็เป็นการหยอกล้อตามธรรมดาวิสัยที่เราเคยเรียนโรงเรียนคุณหนูมาก่อน ไม่ได้เรียกเพราะคิดว่าเราอ่อนแอ ง้องแง้ง ...
ผมค่อยๆเรียนรู้ว่า ไม่ว่าจะสังคมไหน มันย่อมมีดีในตัวของมันเอง
อัสสัมชัญดีแบบนึง ปทุมคงคาก็ดีอีกแบบนึง
‘โรงเรียนลูกผู้ชาย’ แห่งนี้สร้างให้ผมมีจิตใจที่แข็งแกร่ง อดทนอดกลั้น และเข้าใจความเป็นจริงของผู้คนในสังคมมากยิ่งขึ้น
ประเพณีแปลกๆ เช่น การจงใจโยนจานลงพื้น เพื่อให้เมื่อมีเสียงจานแตกในโรงอาหารขณะพักเที่ยงแล้วนักเรียนน้อยใหญ่มักจะโห่ร้องก้องโรงอาหารด้วยสรรพเสียงดุจเดรัจฉาน ซึ่งจริงๆแล้วเหตุการณ์แบบนั้นอาจจะดู‘ถ่อย’สำหรับคนภายนอก แต่คุณไม่อาจหาชมได้จากโรงเรียนไหน และไม่อาจมีทฤษฎีใดมาอธิบายพฤติกรรมแบบนี้


หรือการที่นั่งเรียนอยู่ดีๆก็เกิดไม่อยากเรียนกันขึ้นมา นักเรียนต่างก็พากันแล้วปีนรั้วโรงเรียนออกไปนอกโรงเรียนแบบไม่แคร์สื่อ ซึ่งถ้ามองไกลๆจะดูเหมือนนินจา‘ฝูง’หนึ่งกำลังปีนกำแพง ภาพแบบนี้คุณก็อาจไม่สามารถหาชมได้จากโรงเรียนไหน
หรือจะเป็นช่วงเปลี่ยนคาบ ช่วงว่าง หรือช่วงพักเที่ยง นักเรียนบางพวกก็จะมานั่งทำระเบิดเล่น ผมจำได้ว่าครั้งนึงตอน ม.4 นั่งเรียนฟิสิกส์อยู่ มีเสียงระเบิดดังขึ้นกลางสนามบอล อาจารย์ซึ่งกำลังสอนอยู่ก็หยุดพูดไปแป๊บนึง แล้วก็พูดต่อหน้าตาเฉยว่า “อัดไม่ดี เสียงไม่แน่น”

หลังจากที่ผมเริ่มปรับตัวจนเห็นทุกอย่างในโรงเรียนปทุมคงคาเป็นเรื่องน่ารื่นเริงใจหมดแล้ว ความเป็นปทุมคงคาก็ค่อยๆทำให้ผมรู้สึกเท่ เท่ที่เรียนโรงเรียนชายล้วน เท่ที่เรียนโรงเรียนเก่าแก่อายุเกิน 100 ปี และเท่ในความรู้สึกหลายๆอย่าง
แต่กระนั้นก็ตาม ผมก็ยังตั้งใจว่าจะเรียนปทุมคงคาแค่ปีเดียว เพราะจะต้องสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารให้ได้บอกลาเพื่อนๆเสร็จสรรพตั้งแต่ต้นเทอม

ช่วง ม.4 ก่อนสอบ ตารางชีวิตของผมแน่นมาก ทุกวันหลังเลิกเรียน ผมจะนั่งรถจากเอกมัยไปเล่นกีฬาที่หัวหมาก ... กลับมานั่งคิดถึงตอนนั้น เรานี่โคตรอึด
และกีฬาที่ผมเลือกเล่นก็คือ‘มวย’ ด้วยเพราะผมเห็นว่านักมวยแข็งแรง ผมอยากแข็งแรงจะได้พร้อมสำหรับการเป็นนักเรียนทหาร
เสาร์-อาทิตย์ไปเรียนติวที่หลังราม ... ซึ่งในโปรแกรมของโรงเรียนติวนั้น วันเสาร์ช่วงเช้าจะติวร่างกาย มีวิ่ง ว่ายน้ำ กายบริหาร 8 ท่าที่ใช้สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เสาร์บ่ายเรียนวิชาการ อาทิตย์วิชาการเต็มวัน
1 ปี เต็มๆที่ผมอยู่กับวงจรชีวิตแบบนี้ ซึ่งตอนนั้น‘พลังเหลือ’ก็เลยไม่รู้สึกเหนื่อยเลย
แต่พอสอบครั้งแรก ... ไม่ติดเลยทั้ง 4 เหล่า
ไม่เป็นไร ... เอาใหม่อีกปี
ชีวิต ม.5 ก็เหมือน ม.4 เป๊ะ ... แต่เพิ่มเติมคือพอละครก่อนข่าวจบประมาณทุ่มกว่าๆ ผมจะอาบน้ำ แล้วรีบโดดขึ้นเตียง นอนอ่านหนังสือ จนสี่ทุ่มกว่าๆก็จะหลับไป

ก่อนสอบ 1 เดือน ผมเข้าค่ายกินนอนกับโรงเรียนติว ก่อนสอบ 1 อาทิตย์มีการสอบ Pre-Test จากนักเรียนร่วม 200 กว่าคน ผมสอบได้ที่ 10 ... มั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ปีนี้ไม่มีพลาด
โทรหาพ่อ หาแม่เรียบร้อย ...
แต่ ... ก็ยังไม่ติดอีกเช่นเคย ...
เศร้ามาก เสียใจร้องไห้อยู่ 1 คืนเต็มๆ แต่พ่อไม่ว่าซักคำ ไม่พูดถึงมันเลย พูดสั้นๆแค่ว่า “ไม่เป็นไร วิชาที่ติวมาก็เอาไปสอบเข้ามหาลัย ไม่ต้องไปสนใจมันหรอกทหารตำรวจ”
จากที่เคยโม้ไว้ว่าจะอยู่ปทุมคงคาแค่ปีเดียว ... บัดนี้ก็เลยเป็นอันอยู่ยาวครบ 3 ปี
สรุปแล้วชีวิตผมเรียนชายล้วน 12 ปีเต็มๆ …

แต่ความฝันในการเป็นทหารของผมไม่จบแค่นั้นนะครับ ...
หลังจากที่สอบเตรียมทหารไม่ติด ผมไม่นึกถึงชีวิตมหาวิทยาลัยของผมเลย ผมกลับตั้งใจแน่แน่วว่าจะเข้าโรงเรียนนายสิบทหารบก


(ต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่