ในที่สุดเส้นทางการเป็นออแพร์ที่ "เยอรมัน" ของผมก็จบลงครับ ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างผมจะอยู่ได้จนครบกำหนด 1 ปี ฮ่าๆๆ มันไม่ได้ happy ending หรอกนะครับ ผมก็ยังโดนโกงค่าแรงเช่นเคยแต่ถ้าจะเรียกว่าโกงคงไม่ถูกต้องพูดว่า "แค่จ่ายไม่ครบ" ถึงจะดูดีครับ เค้าชอบที่จะจ่ายค่าแรงผมไม่ตรงต่อเวลาเสมอหลังจากที่ผมย้ายมาอยู่ได้ 3 เดือน ผมจำได้ว่าผมมาอยู่กับเค้าเดือนมีนาคมต้นเดือน เค้าเริ่มต้นด้วยการให้ผมทำงานเกินเวลาและจ่ายค่าตอบแทนเพียง 50 ยูโรต่อวีคทั้งๆที่ก่อนหน้าที่ผมจะมาเรามีการตกลงกันไว้อีกราคานึง ต้องบอกเพื่อนๆที่อยากไปเป็นออแพร์ที่ต่างประเทศนะครับ ค่าแรงที่ระบุลงไปในสัญญานั้นคือค่าแรงที่เราพึงจะได้ตามลักษณะงานที่เราทำและจำนวนชั่วโมงที่ระบุเอาไว้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำงานเพิ่มและจนชั่วโมงทำงานมันเยอะมากๆ เช่น ในสัญญาระบุว่า 30 ชั่วโมงต่อวีค แต่พอทำจริงๆ 50-60 ชั่วโมง แบบนี้เราต้องมีการพูดคุยนะครับอย่านิ่งเฉย ซึ่งแน่นอนครับผมทำงานเกินและแน่นอนครับผมเลือกที่จะต่อรองขอเพิ่มค่าแรง
สัญญาการเป็นออแพร์ที่ "เยอรมัน" เราจะได้ค่าขนมเดือนละ 260 ยูโร, เราจะได้คอร์สเรียนฟรี 1 คอร์ส(สำหรับคอร์สแรกส่วนที่เหลือไปเจรจาเอาเอง), เราจะมีวันหยุด 1 วันครึ่ง สิ่งเหล่านี้คือข้อตกลงพื้นฐานที่ระบุเอาไว้ในสัญญาที่เหลือเราต้องเจรจาต่อรองนะครับ ถามว่าเงินเท่านี้พอไหมในการดำรงชีพที่นั้น เอาจริงๆมันไม่พอหรอกถ้าเราเที่ยวเยอะ กินอาหารนอกบ้านซะเยอะ แต่ถ้าประหยัดๆจริงก็พอเหลือบ้าง
บ้านใหม่ที่ผมมาอยู่ผมต่อรองจนได้เงินวีคละ 150 ยูโร, คอร์สเรียนเค้าต้องจ่ายให้หมด , ตั๋วรถเค้าต้องซื้อให้ผม ฟังดูดีหละสิครับ แต่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ผมต้องแลกด้วยการไม่ได้หลับไม่นอนเพราะแม่เค้ามีอาชีพพิเศษกลางคืนจะไม่อยู่บ้าน ผมต้องทำงานตั้งแต่ 8 โมงเกือบทุกวัน ถึง 2 3 4 5 ทุ่ม หรือบางครั้ง เที่ยงคืน !! เพราะต่อให้แม่เค้าจะอยู่บ้านนะครับ เค้าก็จะไม่ตื่นมาดูลูกตัวเองเด็ดขาดเพราะเค้าจะมีประโยคที่พูดจนติดหูผมเสมอว่า "ฉันเหนื่อย ฉันไม่มีเวลา ฉันมีอะไรอีกหลายที่ต้องทำ ฉันต้องการพักผ่อน" เธอเป็นแบบนี้ตลอดที่ผมรู้จักเธอมา เธอเก่งเรื่องการพูดจาหว่านล้อม พูดจาขอร้องและพูดให้เราต้องสงสาร แรกๆต้องบอกว่าผมเผลอปล่อยใจไปกับคำพูดเหล่านั้นจนกระทั้งเดือนที่ 4 ผมเริ่มตริตรองตัวเองว่าเราทำอะไร เราจะเชื่อผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง ปากเธอบอกว่ารักลูกแต่ทำไมการปฎิบัติถึงขัดแข้งโดยสิ้นเชิง
เธอปล่อยให้น้องอยู่กับผมมากกว่าอยู่กับเธอซะอีก ผมออกไปข้างนอกเมื่อไหร่ส่วนใหญ่น้องจะอยู่กับผมเสมอ เราไปกินข้าวด้วยกันประจำจนวันไหนพนักงานไม่เห็นน้องจะรู้ทันทีว่าวันนั้นผมหยุดงาน คนที่อาศัยอยู่ในเมืองจะคุ้นหน้าพี่เลี้ยงหน้าเจ็กๆจีนๆแบบผมกับไอเด็กฝรั่งหัวทองตัวแสบ แม่ของน้องเคยไม่กลับบ้านเกือบ 2 วันเพียงเพราะวิ่งไล่ตามหาเงินมาปรนเปรอตัวเธอเองและลูกของเธอ เธอให้เหตุผลผมต่างๆมากมายในการวิ่งหาเงิน เธอพยายามให้ผมเห็นใจเธอมากๆแต่เดี๋ยวก่อนนะครับ การจะเอ็นดูใครมันต้องไม่ทำให้เอ็นเราขาดผมคิดแบบนั้น หลังๆผมเริ่มที่จะเสนอแนวทางให้เธอทำงานได้เต็มที่ โดยการบอกเธอว่า จ-ศ เธอทำงานไปเลยนะเอาให้เต็มที่ โกยให้สมใจ แต่ ส-อา อยู่กับน้องได้ไหม? น้องอยากให้คุณพาออกไปเที่ยว ไปกินข้าว ไปสนามเด็กเล่น ไปดูหนัง เธอตอบผมกลับมาว่า "ไม่ได้" เพราะว่าลูกค้าเธอไม่มีเวลาที่แน่นอน
ผมไม่เคยแม้แต่จะดูถูกว่าเธอทำอาชีพอะไร แต่ผมกลับมองว่าเธอเก่งที่เลี้ยงน้องมาคนเดียวโดยปราศจากสามีและเธอต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายมากมายภายในบ้านอีกทั้งยังต้องส่งเงินไปให้พ่อแม่ของเธอที่ต้องเลี้ยงลูกคนโตให้เธออีก แต่พอผมรู้ว่ารายรับเธอเท่าไหร่และเธอทำอะไรกับเงินที่เธอได้มา มันหมดเลยนะครับกับคำว่าเห็นอกเห็นใจ สงสารและชื่นชม เธอได้เงินมาง่ายและก็หมดไปง่ายเช่นเดียวกัน เธอใช้เงินเหมือนกระดาษ ซื้อของไม่คิดอะไรเลย อยากได้อะไรก็หยิบใส่รถเข็นทั้งๆที่มีอยู่ที่ห้องเก็บของอยู่แล้ว น้องจะเอาอะไรก็ไม่เคยห้าม ถามยังให้ท้ายน้องเสมอว่า "น้องเป็นเจ้านายใหญ่ของบ้าน" อยากทำอะไรก็ได้อนุญาตไปซะหมด
น้องมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง กรีดร้อง ปาข้าวของ พูดคำหยาบ ทุบตี ชอบใช้ความรุนแรง ทั้งๆที่แค่ 4 ขวบ น้องทำนิสัยเหล่านี้กับผมจนเป็นภาพที่ชินตาโดยผู้เป็นแม่แทบจะไม่สั่งสอนอะไรเลยเพียงพูดว่า "อย่าทำแบบนี้สิลูก" พอเธอพูดจบน้องก็ตะหวาดใส่เธอว่า "ก็จะทำแบบนี้" แล้วเธอก็พูดกับลูกว่า "โอ๋ โอ๋ สุดที่รักของแม่ หนูเป็นเด็กดีลูก หนูเป็นเด็กดี แม่ขอโทษ" ผมถามว่าถ้าเพื่อนๆเป็นผมจะทำไงครับ เค้าปล่อยให้ลูกเค้าตบหน้าผม ทุบหลัง ปัดจานข้าวที่กินอยู่

ข้าวลงพื้น ไม่พอใจก็ตะหวาดผมเสียงดังต่อหน้าคนอื่นตลอด ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยผมเองเอือมและสุดจะทน แต่ผมบอกตัวเองว่าไม่ได้ผมกลับไทยตอนนี้ไม่ได้และผมก็จะไม่เปลี่ยนบ้านอีกเพราะถ้าเปลี่ยนบ้านแล้วหาไม่ทันภายใน 2 อาทิตย์ต้องกลับไทยสถานเดียว
ผมอยู่กับเธอจนครบตามสัญญานะ ค่าแรงก็ค้างจ่ายจนมันจะทบไปอีกเดือนถึงจะมาจ่ายของเดือนที่ผ่าน ค่าเรียนก็ไม่จ่ายจนทางโรงเรียนมีจดหมายมาเตือนและขนาดมีจดหมายมาเตือนก็ยังไม่จ่ายจนทางโรงเรียนให้คนดูแลมาบอกผมว่าผมไม่มีสิทธิ์สอบละนะถ้ายังไม่จ่ายค่าเรียนที่ค้างเอาไว้ 3 เดือน สรุปผมได้สอบเพราะเธอตามไปจ่ายที่โรงเรียนวันสุดท้ายก่อนผมจะสอบในรุ่งขึ้น หลังจากวันเธอบอกกับผมว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณืแบบนี้ขึ้นอีกเพราะเธอรู้สึกอายกับสิ่งที่เกิดขึ้น พูดไปไม่ถึงไหนก็เหมือนเดิมครับ ค่าแรงค้างจ่ายอีกแล้ว ค่าเรียนค้างจ่ายอีกแล้ว เธอเป็นแบบนี้ไปซะแล้วครับ เปลี่ยนไม่ได้จริงๆเห็นพูดจาอะไรแต่ละอย่างมันกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับผมไปซะละ พูดไปเถอะเข้าหูซ้ายออกหูตลอด
เรื่องมันก็เป็นแบบนั้นจนผมใกล้จะกลับไทยเลยหละครับ ก็มีการพูดคุยกันต่างๆนาๆหลายเรื่องจนมาถึงเรื่องลูกของเธอเอง เธอบอกผมว่าไม่อยากให้ผมกลับไทย อยากให้อยู่ต่อเพราะน้องคงคิดถึงผมมาก เธอไม่เคยเจอออแพร์เหมือนผมที่ทนได้น้องนานขนาดนี้เพราะอะไรหรอครับ เพราะก่อนหน้านี้เธอบอกผมว่า ออแพร์คนเก่าเอาแต่เที่ยวอยู่ได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ก็หิ้วกระเป๋าออกไป จนผมได้มาสัมผัสทุกอย่างจริงๆเลยสรุปได้ว่า ป่าวหรอก ที่เค้าหิ้วกระเป๋าออกบ้านเพราะสันดารลูกเธอนี่เองและบวกกับสันดารของเธอด้วยเลยทวีคูณกันเข้าไปใหญ่ เธอตีหน้าเศร้าเล่าความจริงบ้าง เท็จบ้าง กับผมเสมอๆจนแม้กระทั้งวันก่อนสุดท้าย ก็ยังไม่หยุด เช่น เธอพูดว่าจะให้เงินผม 8000 ยูโรเพื่อทำเปอร์มิตใหม่เป็นนักเรียนเรียนภาษาต่อที่เยอรมันเพราะจะอยู่ได้อีก 1 ปีและจะให้ผมเดือนละ 1500-2000 ยูโรต่อเดือนขอแค่ให้ดูน้องให้เธออย่างเดียว ผมโง่มามากพอแล้วครับ เพราะขนาดที่ตกลงว่าจะให้เดือนละ 800 ยูโรก็ยังไม่เคยจะได้แล้วนับประสาอะไรกับเงิน 1500-2000 ที่ลอยมาแค่ตัวเลข เธอพูดเรื่องเงินต่อวีซ่าตั้งแต่ผมมาอยู่ใหม่ๆแล้วแหละ แต่พอเอาเข้าจริงๆเธอเหมือนแค่ต้องการดึงให้ผมอยู่ต่อแค่นั้นเอง เพราะเธอก็พูดออกจากปากเองนะครับว่า "ไม่มีคนยุโรปคนไหนที่จะทนลูกเธอได้เท่าผมอีก เธอมั่นใจ" ผมก็ได้แต่ขอบคุณตามประสาหละครับตามจริงถ้าเด็กคนนี้เป็นน้องผมเอง ผมตบคว่ำไปนานแล้วไม่ปล่อยให้เค้ามาก้าวร้าวกับผมแบบนี้หรอก และจนวุนสุดท้ายก่อนจะกลับไทยเธอก็ยังคงค้างค่าแรงผมอยู่โดนอ้างว่าเงินไม่พอ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าผมจะกลับไทยทำไมถึงไม่เตรียมให้เรียบร้อย ทำไมยังคงเอาเงินไปซื้อของใช้ที่ในบ้านมีอยู่แล้วเข้ามาในบ้านอีกทำไม ทำไมบ้าซื้อของเล่นให้ลูกตัวเองได้เกือบทุกวัน ทำไมชอบที่จะซื้อรองเท้า เสื้อผ้า เกมส์ มาให้ลูกตัวเองอยู่บ่อยๆทั้งๆที่ๆของที่มีอยู่ในบ้านมันยังไม่ได้ใช้อีกตั้งมากมาย ผมเคยพูดกับเธอเลยนะครับว่า "คุณคือของเล่นที่แพงที่สุดที่ลูกคุณอยากได้ มีเวลาอยู่กับลูกบ้าง" แต่พูดไปก็เท่านั้นครับเปลืองน้ำลายเปล่า
สุดท้ายผมก็ทำบุญไปครับกับเงินเดือนที่เธอค้างจ่าย ผมออกจากบ้านทันทีในวันที่หมดสัญญาโดยไม่สนใจว่าเธอจะพูดอะไรอีก เธอถามผมมาใน whatsapp ว่าผมอยู่ไหนจะไม่รอเอาเงินที่เหลือเหรอ ไม่รอเอากระดาษที่จะรับรองการทำงานเหรอ ตอนนั้นผมถึงไทยแล้วครับ ผมบอกเธอว่า"ถึงไทยแล้ว ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่าง" แล้วหลังจากนั้นผมก็บล็อคเธอไปเลยไม่มีการติดต่ออีก ถ้าเธอจะติดต่อผมเธอจะพยายามเองครับเพราะเธอมีเบอร์บ้านผม มีอีเมลล์ผม มีที่อยู่ผม ที่เมืองไทยแต่จนกระทั้งตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คงมีออแพร์ไม่กี่คนหรอกครับที่เจอประสบการณ์แย่ๆแบบนี้ แต่ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมันสอนให้เรา อดทน อดกลั้น ฝ่าฟันและเข็มแข็งมากนะครับ ประสบการณ์แบบนี้ไม่มีสอนในตำราเรียนถ้าอยากได้ต้องออกไปที่ห้องปฎิบัติการในโลกกว้าง การตัดสินใจไปเป็นออแพร์ครั้งนี้เหมือนผมได้เปิดฝากะลาที่ครอบผมเอาไว้ มันทำให้ผมได้รู้ว่าโลกเรายังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะแยะมากมาย
สำหรับเพื่อนๆพี่ๆที่กำลังตัดสินใจไปเป็นออแพร์นะครับ ให้คิดไว้เสมอว่างานหลักคือเลี้ยงน้อง งานรองคือได้เที่ยวและภาษา คิดได้แบบนี้เราจะอยู่ได้ครับ เตรียมใจให้พร้อมก็พอ หาข้อมูลให้ดีๆ พยายามสอบถามจากคนที่ไปมาแล้วเพราะจะได้ข้อมูลจากการลงงานจริงๆแล้วเอามาเปรียบเทียบกับที่ได้จากเอเจนซี่อีกทีเพื่อใช้ประกอบในการตัดสินใจ
เป็นกำลังใจให้ออแพร์ไทยที่อยู่ในต่างประเทศทั่วโลกให้สู้ๆนะครับ <3
เรื่องเล่าจาก Aupair(ชาย) ที่ประเทศเยอรมัน ตอนจบ !!
สัญญาการเป็นออแพร์ที่ "เยอรมัน" เราจะได้ค่าขนมเดือนละ 260 ยูโร, เราจะได้คอร์สเรียนฟรี 1 คอร์ส(สำหรับคอร์สแรกส่วนที่เหลือไปเจรจาเอาเอง), เราจะมีวันหยุด 1 วันครึ่ง สิ่งเหล่านี้คือข้อตกลงพื้นฐานที่ระบุเอาไว้ในสัญญาที่เหลือเราต้องเจรจาต่อรองนะครับ ถามว่าเงินเท่านี้พอไหมในการดำรงชีพที่นั้น เอาจริงๆมันไม่พอหรอกถ้าเราเที่ยวเยอะ กินอาหารนอกบ้านซะเยอะ แต่ถ้าประหยัดๆจริงก็พอเหลือบ้าง
บ้านใหม่ที่ผมมาอยู่ผมต่อรองจนได้เงินวีคละ 150 ยูโร, คอร์สเรียนเค้าต้องจ่ายให้หมด , ตั๋วรถเค้าต้องซื้อให้ผม ฟังดูดีหละสิครับ แต่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ผมต้องแลกด้วยการไม่ได้หลับไม่นอนเพราะแม่เค้ามีอาชีพพิเศษกลางคืนจะไม่อยู่บ้าน ผมต้องทำงานตั้งแต่ 8 โมงเกือบทุกวัน ถึง 2 3 4 5 ทุ่ม หรือบางครั้ง เที่ยงคืน !! เพราะต่อให้แม่เค้าจะอยู่บ้านนะครับ เค้าก็จะไม่ตื่นมาดูลูกตัวเองเด็ดขาดเพราะเค้าจะมีประโยคที่พูดจนติดหูผมเสมอว่า "ฉันเหนื่อย ฉันไม่มีเวลา ฉันมีอะไรอีกหลายที่ต้องทำ ฉันต้องการพักผ่อน" เธอเป็นแบบนี้ตลอดที่ผมรู้จักเธอมา เธอเก่งเรื่องการพูดจาหว่านล้อม พูดจาขอร้องและพูดให้เราต้องสงสาร แรกๆต้องบอกว่าผมเผลอปล่อยใจไปกับคำพูดเหล่านั้นจนกระทั้งเดือนที่ 4 ผมเริ่มตริตรองตัวเองว่าเราทำอะไร เราจะเชื่อผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง ปากเธอบอกว่ารักลูกแต่ทำไมการปฎิบัติถึงขัดแข้งโดยสิ้นเชิง
เธอปล่อยให้น้องอยู่กับผมมากกว่าอยู่กับเธอซะอีก ผมออกไปข้างนอกเมื่อไหร่ส่วนใหญ่น้องจะอยู่กับผมเสมอ เราไปกินข้าวด้วยกันประจำจนวันไหนพนักงานไม่เห็นน้องจะรู้ทันทีว่าวันนั้นผมหยุดงาน คนที่อาศัยอยู่ในเมืองจะคุ้นหน้าพี่เลี้ยงหน้าเจ็กๆจีนๆแบบผมกับไอเด็กฝรั่งหัวทองตัวแสบ แม่ของน้องเคยไม่กลับบ้านเกือบ 2 วันเพียงเพราะวิ่งไล่ตามหาเงินมาปรนเปรอตัวเธอเองและลูกของเธอ เธอให้เหตุผลผมต่างๆมากมายในการวิ่งหาเงิน เธอพยายามให้ผมเห็นใจเธอมากๆแต่เดี๋ยวก่อนนะครับ การจะเอ็นดูใครมันต้องไม่ทำให้เอ็นเราขาดผมคิดแบบนั้น หลังๆผมเริ่มที่จะเสนอแนวทางให้เธอทำงานได้เต็มที่ โดยการบอกเธอว่า จ-ศ เธอทำงานไปเลยนะเอาให้เต็มที่ โกยให้สมใจ แต่ ส-อา อยู่กับน้องได้ไหม? น้องอยากให้คุณพาออกไปเที่ยว ไปกินข้าว ไปสนามเด็กเล่น ไปดูหนัง เธอตอบผมกลับมาว่า "ไม่ได้" เพราะว่าลูกค้าเธอไม่มีเวลาที่แน่นอน
ผมไม่เคยแม้แต่จะดูถูกว่าเธอทำอาชีพอะไร แต่ผมกลับมองว่าเธอเก่งที่เลี้ยงน้องมาคนเดียวโดยปราศจากสามีและเธอต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายมากมายภายในบ้านอีกทั้งยังต้องส่งเงินไปให้พ่อแม่ของเธอที่ต้องเลี้ยงลูกคนโตให้เธออีก แต่พอผมรู้ว่ารายรับเธอเท่าไหร่และเธอทำอะไรกับเงินที่เธอได้มา มันหมดเลยนะครับกับคำว่าเห็นอกเห็นใจ สงสารและชื่นชม เธอได้เงินมาง่ายและก็หมดไปง่ายเช่นเดียวกัน เธอใช้เงินเหมือนกระดาษ ซื้อของไม่คิดอะไรเลย อยากได้อะไรก็หยิบใส่รถเข็นทั้งๆที่มีอยู่ที่ห้องเก็บของอยู่แล้ว น้องจะเอาอะไรก็ไม่เคยห้าม ถามยังให้ท้ายน้องเสมอว่า "น้องเป็นเจ้านายใหญ่ของบ้าน" อยากทำอะไรก็ได้อนุญาตไปซะหมด
น้องมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง กรีดร้อง ปาข้าวของ พูดคำหยาบ ทุบตี ชอบใช้ความรุนแรง ทั้งๆที่แค่ 4 ขวบ น้องทำนิสัยเหล่านี้กับผมจนเป็นภาพที่ชินตาโดยผู้เป็นแม่แทบจะไม่สั่งสอนอะไรเลยเพียงพูดว่า "อย่าทำแบบนี้สิลูก" พอเธอพูดจบน้องก็ตะหวาดใส่เธอว่า "ก็จะทำแบบนี้" แล้วเธอก็พูดกับลูกว่า "โอ๋ โอ๋ สุดที่รักของแม่ หนูเป็นเด็กดีลูก หนูเป็นเด็กดี แม่ขอโทษ" ผมถามว่าถ้าเพื่อนๆเป็นผมจะทำไงครับ เค้าปล่อยให้ลูกเค้าตบหน้าผม ทุบหลัง ปัดจานข้าวที่กินอยู่
ผมอยู่กับเธอจนครบตามสัญญานะ ค่าแรงก็ค้างจ่ายจนมันจะทบไปอีกเดือนถึงจะมาจ่ายของเดือนที่ผ่าน ค่าเรียนก็ไม่จ่ายจนทางโรงเรียนมีจดหมายมาเตือนและขนาดมีจดหมายมาเตือนก็ยังไม่จ่ายจนทางโรงเรียนให้คนดูแลมาบอกผมว่าผมไม่มีสิทธิ์สอบละนะถ้ายังไม่จ่ายค่าเรียนที่ค้างเอาไว้ 3 เดือน สรุปผมได้สอบเพราะเธอตามไปจ่ายที่โรงเรียนวันสุดท้ายก่อนผมจะสอบในรุ่งขึ้น หลังจากวันเธอบอกกับผมว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณืแบบนี้ขึ้นอีกเพราะเธอรู้สึกอายกับสิ่งที่เกิดขึ้น พูดไปไม่ถึงไหนก็เหมือนเดิมครับ ค่าแรงค้างจ่ายอีกแล้ว ค่าเรียนค้างจ่ายอีกแล้ว เธอเป็นแบบนี้ไปซะแล้วครับ เปลี่ยนไม่ได้จริงๆเห็นพูดจาอะไรแต่ละอย่างมันกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับผมไปซะละ พูดไปเถอะเข้าหูซ้ายออกหูตลอด
เรื่องมันก็เป็นแบบนั้นจนผมใกล้จะกลับไทยเลยหละครับ ก็มีการพูดคุยกันต่างๆนาๆหลายเรื่องจนมาถึงเรื่องลูกของเธอเอง เธอบอกผมว่าไม่อยากให้ผมกลับไทย อยากให้อยู่ต่อเพราะน้องคงคิดถึงผมมาก เธอไม่เคยเจอออแพร์เหมือนผมที่ทนได้น้องนานขนาดนี้เพราะอะไรหรอครับ เพราะก่อนหน้านี้เธอบอกผมว่า ออแพร์คนเก่าเอาแต่เที่ยวอยู่ได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ก็หิ้วกระเป๋าออกไป จนผมได้มาสัมผัสทุกอย่างจริงๆเลยสรุปได้ว่า ป่าวหรอก ที่เค้าหิ้วกระเป๋าออกบ้านเพราะสันดารลูกเธอนี่เองและบวกกับสันดารของเธอด้วยเลยทวีคูณกันเข้าไปใหญ่ เธอตีหน้าเศร้าเล่าความจริงบ้าง เท็จบ้าง กับผมเสมอๆจนแม้กระทั้งวันก่อนสุดท้าย ก็ยังไม่หยุด เช่น เธอพูดว่าจะให้เงินผม 8000 ยูโรเพื่อทำเปอร์มิตใหม่เป็นนักเรียนเรียนภาษาต่อที่เยอรมันเพราะจะอยู่ได้อีก 1 ปีและจะให้ผมเดือนละ 1500-2000 ยูโรต่อเดือนขอแค่ให้ดูน้องให้เธออย่างเดียว ผมโง่มามากพอแล้วครับ เพราะขนาดที่ตกลงว่าจะให้เดือนละ 800 ยูโรก็ยังไม่เคยจะได้แล้วนับประสาอะไรกับเงิน 1500-2000 ที่ลอยมาแค่ตัวเลข เธอพูดเรื่องเงินต่อวีซ่าตั้งแต่ผมมาอยู่ใหม่ๆแล้วแหละ แต่พอเอาเข้าจริงๆเธอเหมือนแค่ต้องการดึงให้ผมอยู่ต่อแค่นั้นเอง เพราะเธอก็พูดออกจากปากเองนะครับว่า "ไม่มีคนยุโรปคนไหนที่จะทนลูกเธอได้เท่าผมอีก เธอมั่นใจ" ผมก็ได้แต่ขอบคุณตามประสาหละครับตามจริงถ้าเด็กคนนี้เป็นน้องผมเอง ผมตบคว่ำไปนานแล้วไม่ปล่อยให้เค้ามาก้าวร้าวกับผมแบบนี้หรอก และจนวุนสุดท้ายก่อนจะกลับไทยเธอก็ยังคงค้างค่าแรงผมอยู่โดนอ้างว่าเงินไม่พอ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าผมจะกลับไทยทำไมถึงไม่เตรียมให้เรียบร้อย ทำไมยังคงเอาเงินไปซื้อของใช้ที่ในบ้านมีอยู่แล้วเข้ามาในบ้านอีกทำไม ทำไมบ้าซื้อของเล่นให้ลูกตัวเองได้เกือบทุกวัน ทำไมชอบที่จะซื้อรองเท้า เสื้อผ้า เกมส์ มาให้ลูกตัวเองอยู่บ่อยๆทั้งๆที่ๆของที่มีอยู่ในบ้านมันยังไม่ได้ใช้อีกตั้งมากมาย ผมเคยพูดกับเธอเลยนะครับว่า "คุณคือของเล่นที่แพงที่สุดที่ลูกคุณอยากได้ มีเวลาอยู่กับลูกบ้าง" แต่พูดไปก็เท่านั้นครับเปลืองน้ำลายเปล่า
สุดท้ายผมก็ทำบุญไปครับกับเงินเดือนที่เธอค้างจ่าย ผมออกจากบ้านทันทีในวันที่หมดสัญญาโดยไม่สนใจว่าเธอจะพูดอะไรอีก เธอถามผมมาใน whatsapp ว่าผมอยู่ไหนจะไม่รอเอาเงินที่เหลือเหรอ ไม่รอเอากระดาษที่จะรับรองการทำงานเหรอ ตอนนั้นผมถึงไทยแล้วครับ ผมบอกเธอว่า"ถึงไทยแล้ว ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่าง" แล้วหลังจากนั้นผมก็บล็อคเธอไปเลยไม่มีการติดต่ออีก ถ้าเธอจะติดต่อผมเธอจะพยายามเองครับเพราะเธอมีเบอร์บ้านผม มีอีเมลล์ผม มีที่อยู่ผม ที่เมืองไทยแต่จนกระทั้งตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คงมีออแพร์ไม่กี่คนหรอกครับที่เจอประสบการณ์แย่ๆแบบนี้ แต่ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมันสอนให้เรา อดทน อดกลั้น ฝ่าฟันและเข็มแข็งมากนะครับ ประสบการณ์แบบนี้ไม่มีสอนในตำราเรียนถ้าอยากได้ต้องออกไปที่ห้องปฎิบัติการในโลกกว้าง การตัดสินใจไปเป็นออแพร์ครั้งนี้เหมือนผมได้เปิดฝากะลาที่ครอบผมเอาไว้ มันทำให้ผมได้รู้ว่าโลกเรายังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะแยะมากมาย
สำหรับเพื่อนๆพี่ๆที่กำลังตัดสินใจไปเป็นออแพร์นะครับ ให้คิดไว้เสมอว่างานหลักคือเลี้ยงน้อง งานรองคือได้เที่ยวและภาษา คิดได้แบบนี้เราจะอยู่ได้ครับ เตรียมใจให้พร้อมก็พอ หาข้อมูลให้ดีๆ พยายามสอบถามจากคนที่ไปมาแล้วเพราะจะได้ข้อมูลจากการลงงานจริงๆแล้วเอามาเปรียบเทียบกับที่ได้จากเอเจนซี่อีกทีเพื่อใช้ประกอบในการตัดสินใจ
เป็นกำลังใจให้ออแพร์ไทยที่อยู่ในต่างประเทศทั่วโลกให้สู้ๆนะครับ <3