สีลํ สีลา วิย ศีลคือความปกติ อุปมาได้เท่ากับหินซึ่งเป็นของหนักและเป็นแก่นของดิน แม้จะมีวาตธาตุมาเป่าสักเท่าใด ก็ไม่มีการสะเทือนหวั่นไหวเลย แต่ว่าเราจะสำคัญถือแต่เพียงคำว่า ศีล เท่านั้น ก็จะทำให้เรางมงายอีก ต้องให้รู้จักว่าศีลนั้นอยู่ที่ไหน? มีตัวตนเป็นอย่างไร? ไครเป็นผู้รักษา? ถ้ารู้จักว่าไครเป็นผู้รักษาแล้วก็จะรู้จักว่าผู้นั้นเป็นตัวศีล ถ้าไม่เข้าใจเรื่องศีลก็จะงมงายไปถือศีลเพียงนอกๆเดี๋ยวก็ไปหาเอาที่นั้น ที่นี่จึงจะมีศีล ไปขอเอาที่นั้นที่นี่จึงมีเมื่อยังเที่ยวขออยู่ไม่ใช่หลงศีลหรอกหรือ? ไม่ใช่ศีลพัตตปรามาสถือนอกๆลูบๆคลำๆอยู่หรือ?
อิทํ สจ.จาภินิเวสทิฎฐิ จะเห็นความงมงายของตนว่าเป็นของจริงเที่ยงแท้ ผู้ไม่หลงย่อมไม่ไปเที่ยวขอเที่ยวหา เพราะเข้าใจแล้วว่าศีลก็อยู่ที่ตนนี้
จะรักษาโทษทั้งหลายก็ตนเป็นผู้รักษา ดังที่ว่า เจตนาหาหํ ภิกขุ เว สีลํ วทามิ เจตนาเป็นตัวศีลเจตนาคืออะไร?
เจตนานี้ต้องแปลงอีกจึงจะได้ความต้องเอาสระ เอ มาเป็นอิ เอา ต สะกดเข้าไปเรียกว่า จิตตํ คือจิตใจ คนถ้าไม่มีจิตใจไม่มีก็ไม่เรียกว่าคน
มีแต่กายจะสำเร็จการทำอะไรได้? ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตใจไม่เป็นศีลกายก็ประพฤติไปต่างๆ จึงกล่าวได้ว่าศีลมีตัวเดียว
นอกนั้นเป็นแต่เรื่องโทษที่ควรละเว้น โทษ5 โทษ8 โทษ10 โทษ227 รักษาไม่ให้มีโทษต่างๆก็สำเร็จเป็นศีลตัวเดียว รักษาผู้เดียวได้แล้วมันก็ไม่มีโทษเท่านั้นเอง ก็จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหวไม่มีเรื่องหลงหาหลงขอ คนที่หาขอต้องเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรจึงเที่ยวหาขอเดี๋ยวก็กล่าววาจามิๆ
ขอแล้วขอเล่าขอเท่าไหร่ไม่มียิ่งอดยากยากเข็ญ เราได้มาอยู่แล้วมีกายกับจิต
รูปกายก็เอามาจากบิดามารดาของเรา จิตก็มีอยู่แล้ว ชื่อว่าของเรามีพร้อมบริบูรณ์แล้วจะทำให้ศีลก็ทำเสียไม่ต้องกล่าวว่าศีลมีอยู่ที่นั่นที่โน้นที่นี้ กาลเราจึงจะมีกาลนี้จึงจะมี ศีลมีอยู่ที่เราแล้ว อกาลิโก รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล
.................................................................................................................................................................................
เรื่องนี้ต้องมีหลักฐานพร้อมอีกเมื่อครั้งพุทธกาลนั้น พวกปัญจวัคคีย์ก็ดี พระยสและบิดามารดาภรรยาเก่าของท่านก็ดี ภัททวัคคีย์ก็ดี ชฎิลทั้งบริวาณก็ดีพระเจ้าพิมพิสาร และราชบริพาร12 นหุตก็ดี ก่อนจะฟังธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ปรากฎว่าได้สมทานศีลเสียก่อนจึงฟังเทศนา พระองค์เทศนาไปทีเดียว ทำไมท่านเหล่านั้นจึงได้สำเร็จมรรคผล ศีล สมาธิ ปัญญา ของท่านเหล่านั้นมาแต่ไหน ไม่เห็นพระองค์ตรัสบอกให้ท่านเหล่านั้นขอเอาศีล สาธิ ปัญญา จากพระองค์ เมื่อได้ลิ้มรสธรรมเทศนาของพระองค์แล้วศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมมีขึ้นในท่านเหล่านั้นเอง โดยไม่มีการขอและไม่มีการเอาให้ มัคคสามัคคี ไม่มีไครหยิบยกเอาให้กัน จิตดวงเดียวเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ฉะนั้นเราไม่หลงศีล
จึงจะเป็นวิญญูชนอันแท้จริง
.................................................................................................................................................................................
เรื่อง ศีล คำสอนพระอาจารย์ มั่น ภูริทัตตเถระ
อิทํ สจ.จาภินิเวสทิฎฐิ จะเห็นความงมงายของตนว่าเป็นของจริงเที่ยงแท้ ผู้ไม่หลงย่อมไม่ไปเที่ยวขอเที่ยวหา เพราะเข้าใจแล้วว่าศีลก็อยู่ที่ตนนี้
จะรักษาโทษทั้งหลายก็ตนเป็นผู้รักษา ดังที่ว่า เจตนาหาหํ ภิกขุ เว สีลํ วทามิ เจตนาเป็นตัวศีลเจตนาคืออะไร?
เจตนานี้ต้องแปลงอีกจึงจะได้ความต้องเอาสระ เอ มาเป็นอิ เอา ต สะกดเข้าไปเรียกว่า จิตตํ คือจิตใจ คนถ้าไม่มีจิตใจไม่มีก็ไม่เรียกว่าคน
มีแต่กายจะสำเร็จการทำอะไรได้? ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตใจไม่เป็นศีลกายก็ประพฤติไปต่างๆ จึงกล่าวได้ว่าศีลมีตัวเดียว
นอกนั้นเป็นแต่เรื่องโทษที่ควรละเว้น โทษ5 โทษ8 โทษ10 โทษ227 รักษาไม่ให้มีโทษต่างๆก็สำเร็จเป็นศีลตัวเดียว รักษาผู้เดียวได้แล้วมันก็ไม่มีโทษเท่านั้นเอง ก็จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหวไม่มีเรื่องหลงหาหลงขอ คนที่หาขอต้องเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรจึงเที่ยวหาขอเดี๋ยวก็กล่าววาจามิๆ
ขอแล้วขอเล่าขอเท่าไหร่ไม่มียิ่งอดยากยากเข็ญ เราได้มาอยู่แล้วมีกายกับจิต
รูปกายก็เอามาจากบิดามารดาของเรา จิตก็มีอยู่แล้ว ชื่อว่าของเรามีพร้อมบริบูรณ์แล้วจะทำให้ศีลก็ทำเสียไม่ต้องกล่าวว่าศีลมีอยู่ที่นั่นที่โน้นที่นี้ กาลเราจึงจะมีกาลนี้จึงจะมี ศีลมีอยู่ที่เราแล้ว อกาลิโก รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล
.................................................................................................................................................................................
เรื่องนี้ต้องมีหลักฐานพร้อมอีกเมื่อครั้งพุทธกาลนั้น พวกปัญจวัคคีย์ก็ดี พระยสและบิดามารดาภรรยาเก่าของท่านก็ดี ภัททวัคคีย์ก็ดี ชฎิลทั้งบริวาณก็ดีพระเจ้าพิมพิสาร และราชบริพาร12 นหุตก็ดี ก่อนจะฟังธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ปรากฎว่าได้สมทานศีลเสียก่อนจึงฟังเทศนา พระองค์เทศนาไปทีเดียว ทำไมท่านเหล่านั้นจึงได้สำเร็จมรรคผล ศีล สมาธิ ปัญญา ของท่านเหล่านั้นมาแต่ไหน ไม่เห็นพระองค์ตรัสบอกให้ท่านเหล่านั้นขอเอาศีล สาธิ ปัญญา จากพระองค์ เมื่อได้ลิ้มรสธรรมเทศนาของพระองค์แล้วศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมมีขึ้นในท่านเหล่านั้นเอง โดยไม่มีการขอและไม่มีการเอาให้ มัคคสามัคคี ไม่มีไครหยิบยกเอาให้กัน จิตดวงเดียวเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ฉะนั้นเราไม่หลงศีล
จึงจะเป็นวิญญูชนอันแท้จริง
.................................................................................................................................................................................