แบ่งปันประสบการณ์เรื่องคุณสามีและกิ๊ก

เราแต่งงานมา 13-14 ปี มีลูกที่น่ารัก 2 คน สามีเราเจ้าชู้ มีเล็กมีน้อยมาตลอดแต่ไม่เคยให้มาวุ่นวายกับเรา ถ้ามายุ่ง หรือเรารู้เราเห็น ตัดทันที .... เค้าบอกว่าครอบครัวสำคัญที่สุด ส่วนเราขอแค่อย่ามาวุ่นวายให้เรารำคาญใจ ห้ามเลี้ยงดูเป็นตัวเป็นตน อย่าพาออกหน้าออกตา อย่าทำอะไรที่เป็นการหยามศักด์ศรีเรา ที่สำคัญอย่าให้รู้ให้เห็นจะดีที่สุด  ที่ผ่านมาหากใครมาวอแว เราจะบอกสามี แล้วเค้าก็จะไปเคลียร์ ไม่มีกลับมาทำความระคายเคืองจิตใจเราอีกเลย จนมาปีนี้กิ๊กของสามีเราที่คบกันมาเกือบ 3 ปี โพสต์รูปสถานที่ท่องเที่ยว ที่ถ่ายรูปมา ที่เดียวกัน เวลา เดียวกัน สามีเราตามไปไลค์และ คอมเม้นต์เรื่องการถ่ายรูป เราเห็นผิดสังเกตุตรงที่เพื่อนๆทางนั้นแซวเค้ากับสามีเรา (กิ๊กเค้าอยู่ต่างจว.ค่ะ เจอกันปีละ 2-3 ครั้งแต่คุยกันเกือบทุกวัน) เราเลย search หาข้อมูลมากพอและแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่เพื่อน เลยขอคุยด้วยถามสามีว่า

เรา: นี่ไม่เคยเห็นหน้า คนนี้คือใคร
สามี: เพื่อนที่เป็นผู้ช่วยไกด์ ไปด้วยกันไง
(สามีรับจ๊อบเป็นผู้ช่วยไกด์ของทัวร์เพื่อนค่ะ)
เรา: ขอความจริงนะ ให้โอกาสอีกที
สามี: เงียบ...
เรา: รู้จากปากเธอ ดีกว่ารู้จากคนอื่น นี่ก็มีข้อมูล หลักฐานแล้ว ถ้าไม่คุยงั้นจบนะ

เราเองเป็นฝ่ายแยกห้องนอน และบอกสามีว่า ระหว่างนี้ก็ค่อยๆเนียนอย่าให้ลูกตกใจเพราะกำลังจะสอบเข้าม. 1 ให้ลูกสอบเรียบร้อยค่อยบอก ประมาณ 2 อาทิตย์เค้าก็บอกว่า โทรไปคุยกับทางนั้นแล้ว สามีบอกว่าตัวเค้าไม่ดีเองที่ไปหลอกทางนั้นว่าไม่มีครอบครัว จริงๆแล้วกิ๊กเค้าเริ่มระแคะระคายเนื่องจากได้รับการติดต่อจากกิ๊กอีกคนนึง ทั้งคู่คุยกันจึงคาดคั้นเอาความจริงจากสามี สามียอมรับความจริงว่ามีครอบครัว มีลูกแล้ว ไม่มีงานทำ เกาะเมียกิน คนนึงขอเลิกเพราะรับไม่ได้ ส่วนคนนี้บอกยอมรับได้ทุกอย่าง สามีบอกทางนั้นว่า ภรรยารู้แล้ว และไม่ต้องการให้ครอบครัวมีปัญหา ยอมรับผิดทุกอย่าง จะด่า จะโกรธ ก็ยอม ทางนั้นก็อึ้งๆ บอกขอเวลาหน่อย อย่าเพิ่งเลิกคุย เป็นเพื่อนกันก็ได้(เราเห็นจะแมสเสจ สามีเอาให้ดูค่ะ)สามีบอกเคลียร์แล้วนะ อย่าทะเลาะกันเลย เห็นแก่ลูกนะ เราบอกว่าอย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้อีกนะ เราให้โอกาสคน แต่ถ้าไม่เห็นคุณค่าของโอกาสนั้นล่ะก้อ อย่าโทษเราถ้าเราจะทำอะไรลงไปบ้าง

(ขอบอกก่อนนะคะว่า สามีไม่ได้ทำงานเพราะเราตกลงกันไว้ให้เค้าออกมาเลี้ยงลูกเนื่องจากน้องเป็นเด็กพิเศษต้องปรับพัฒนาการ และจากการที่คุยกับหมอและนักจิตวิทยา สามีเราเหมาะที่จะดูแลเพราะหนึ่งเค้าเป็นคนชัดเจนในคำสั่ง มีระเบียบระบบเป็นขั้นเป็นตอน เค้าเป็นผู้จัดการเหมือนเราแหละ สองรายได้และสวัสดิการโดยรวมของเราดีกว่าค่ะ)

ต่อมาไม่นาน ทางนั้นก็โพสต์รูปคู่ของเค้ากับสามีเราลงในไลน์ มันก็เด้งมาที่เราด้วยเพราะเราก็มีไลน์สามี พอเห็น สามีรีบบอกทางนั้นต่อหน้าเราว่าภรรยาเห็นแล้ว ให้รีบลบไม่อยากมีปัญหาทางนั้นก็รีบลบออกบอกสามีเราว่าลบแล้วขอโทษ ไม่อยากให้ทางสามีเรามีปัญหาครอบครัว รู้ฐานะตัวเองดี บลาๆๆๆๆ ส่งแมสเสจมาว่าขอเวลาทำใจ สักพัก ขอเป็นเพื่อน ขอคุยกันเหมือนเดิม เรารับรู้และไม่ต่อความยาวสาวความยืด เพื่อนก็คือเพื่อน จบไป

ยังไม่ยอมจบค่ะ..ทางนั้นบอกให้สามีเรามาคุยกับเราว่า ทางนั้นเค้ายอมทุกอย่าง จะไม่มาวุ่นวายกับทางเรา เค้าไม่คิดครอบครองหรือแต่งงานเพราะต้องดูแล พ่อ แม่ แต่ขอแค่ให้ได้รักกันอย่างนี้กับสามีเรา ไปหาเค้าบ้าง ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง อยู่ด้วยกันบ้าง ขอให้เรารับรู้ว่าเค้ามีตัวตน เค้าจะได้ไม่รู้สึกผิดต่อเราและคนรอบข้างทุกๆคน  เราบอกว่าได้ งั้นขอให้สามีอยู่กับเราแบบเพื่อนและพ่อของลูก แล้วจะไปมีใครเราไม่ว่า อีกอย่างคือร่วมสุขแล้วก็ต้องมาร่วมทุกข์กันด้วยนะ ค่าใช้จ่ายเอย ค่าโน่นค่านี่ ต้องช่วยแชร์ด้วย เราคาดว่าสามีเจอข้อเสนอนี้คงไม่กล้าคุยเรื่องนี้กับทางนั้นต่อ เรื่องก็เลยเงียบไป

ต่อมาช่วงกลางปี เราและสามีไปเชียร์ทีมฟุตบอลในดวงใจที่สนามมังคลาฯ ทีนี่ก็มีการถ่ายรูปกัน เพื่อนสามีเราเค้าดันแท็กรูปคู่ของเราไปที่เฟชของสามี (ตอนนั้นเราไม่ทราบค่ะ เพราะสามีไม่แอดเราเป็นเพื่อนในเฟช แต่ตอนนี้แอดแล้วเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ตรวจสอบได้) เช้าวันรุ่งขึ้น สามีเดินเอามือถือมาให้ดูว่าทางนั้นเห็นรูปคู่ เลยส่งแมสเสจมาบอกเลิกสามีเราประมาณว่าขอบคุณที่รักกันรู้สึกดีๆ แต่ก็ขอหยุดไว้เพียงเท่านี้ บลาๆๆๆ  เราก็คิดในใจ...อ้าว แล้วที่ผ่านมานี่ยังคบกัน ไม่ได้เลิกกันรึไง สามีบอกเราว่า ก็บอกทางนั้นไปหมดแล้ว เค้าจะคิดยังไงไม่รู้ แต่สามีเราคิดแค่เพื่อน เพราะคุยกันรู้เรื่อง ไลฟ์สไตล์ลุยๆ ยอมทุกอย่างแต่จะให้คิดเกินกว่านี้ไม่ได้แล้ว ภรรยาไม่อนุมัติ เอ้า....เราไปอ้างแบบนี้

เมื่อไม่นานมานี้ทางนั้นมาโพสต์รูปคู่นั้นอีก เราก็บอกสามีเหมือนเดิม แต่คราวนี้ทางนั้นบอกสามีว่าอย่ามาสั่ง ถ้าอยากลบจะลบเองแล้วมันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเค้า เราเจือกไปเห็นเองช่วยไม่ได้  เราเลยพูดกลับสามีว่า ทำแบบนี้คือจงใจให้เราเห็น ทางนั้นต้องการอะไร สามีบอกว่าอย่าไปสนใจ เรานิ่งและพูดสั้นๆว่านี่เหรอที่จะขอให้มาเป็นเมียน้อยเรา แค่ control ก็ไม่ได้ ไหนว่ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ขอมีเล็กมีน้อยก็ให้แต่อย่ามาหยามเกียรติกัน ไม่ชอบ ถ้าจัดการไม่ได้ก็จบกับเราไป เรารำคาญ

หลังจากนั้นเราก็ออกจากบ้านค่ะ ตั้งใจจะไปหาที่สงบสติอารมณ์และคิดว่าจะวางแผนอย่างไรบ้างกับการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ไปฟิตเนสออกกำลังให้หายฟุ้งซ่าน แวะตัดผม แวะซื้อของ ใช้เวลาอยู่กับตัวเองนานๆ ทบทวนเรื่องต่างๆ เค้าเห็นเราไปนานเลยไลน์ตามให้เรากลับบ้านมาคุยกัน ไม่งั้นจะพาเด็กๆออกจากบ้าน เราบอกว่าอนุญาต เลี้ยงให้ดี เรายกให้ อันที่จริงตั้งใจจะให้ค่าเลี้ยงดูลูกด้วย เราไลน์บอกว่ายังไม่กลับนะ เดี๋ยวกลับเอง เค้าเลยให้ลูกสาวโทรมากดดันให้เรากลับบ้าน เท่านั้นไม่พอ ให้ลูกสาวโทรหาพี่สาวเราอีกว่าให้กลับเดี๋ยวนี้ เราก็..เฮ้อจะเอาไงกะเราอีกเนี่ย... พอกลับมาทั้งลูกทั้งพ่อทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้นพูดคุยหยอกล้อกันปกติ...เราก็อืมม์ เคืองค่ะ แต่ยังทำเฉยๆก่อน ตอนนั้นนิ่งมาก อะไรก็ได้พร้อมเผชิญทุกเรื่อง

เราไม่รู้ว่าสามีกับทางนั้นเคลียร์กันยังไง แต่สามีบอกว่าทางนั้นลบไลน์ลบเฟชสามีเราทิ้งหมด สามีบอกว่าต่างคนต่างอยู่กับทางนั้นแล้ว สมใจเรามั๊ยล่ะ ว่าแล้วก็เดินตูดงอนออกไป เราก็...เหรอ..อืมม์ เราเลยเข้าไปดูเฟชของสามี ทางนั้นลบออกจากความเป็นเพื่อน แต่ยังกั๊กไว้ให้เห็นได้เพราะเพื่อนเค้าก็แอดสามีเราเป็นเพื่อน เวลามีคอมเม้นต์อะไรก็ยังเห็นอยู่ เราเห็นเค้าโพสต์พร่ำเพ้อประมาณว่า รักแค่ไหนก็ต้องตัดใจ เหลือแต่ความทรงจำที่ดีไว้ในใจไม่มีวันลืม....แว่บแรกที่เห็น เราสงสารเค้าค่ะ เห็นใจว่าถูกหลอก และเค้าคงรักของเค้ามากทีเดียว แต่มานึกได้ว่า คนดีๆที่ไหนจะมาขอเป็นเมียน้อยคนอื่น เราเลยวางอุเบกขาค่ะ สามีบ่นค่ะว่าเป็นเพราะเรากดดัน ทำให้เค้าเสียเพื่อนดีๆ ไป 1 คน  เราก็บอกว่าอยากเป็นเพื่อนง่ายนิดเดียวก็เคลียร์สถานะ เปิดเผยกันไปให้ชัดเจน ให้ทางฝั่งนั้นรู้ว่าเป็นเพื่อนกันจริงๆ ไม่ใช่ให้ใครต่อใครเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนกัน แต่สามีบอกไม่ได้ เป็นห่วงว่าทางนั้นเค้าจะเสียหายเสียชื่อ เออ...นั่นก็ไม่ยอม นี่ก็ไม่ยอม ทั้งนี้ทั้งนั้น เราเซฟรูปต่างๆ ข้อความต่างๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นโพสต์เก็บไว้ด้วย เผื่อไว้เป็นหลักฐานหากต้งมีการฟ้องร้องในอนาคต และเก็บไว้ให้ลูกเราดู เผื่อพ่อเค้าให้ข้อมูลผิดๆกับลูกทำให้ลูกไม่รักเรา

เรื่องลูก...เนื่องจากเราไม่เคยทะเลาะกับสามีต่อหน้าลูก ดังนั้นความรู้สึกของลูกคือ ครอบครัวอบอุ่น หรรษา แต่ตอนนี้ลูกคนโตพอทราบบ้างแล้วแต่ไม่รู้รายละเอียดมากนัก ก็พยายามเป็นกาวใจให้ตลอด เราเองก็เคยถามลูกว่าถ้าต้องเลือก จะอยู่กับใคร ลูกบอกว่าเอาจริงๆคืออยากอยู่กับพ่อ แต่ติดสภาพแวดล้อมที่บ้านแม่ ขออยู่กับพ่อที่บ้านแม่ได้มั๊ย จะได้เห็นทั้งคู่  ลูกบอกว่า คิดจะทำอะไร ตัดสินใจยังไง ก็ได้ทั้งนั้น เพราะเป็นลูกต้องยอมรับ แต่ถ้าเลือกได้อยากให้ทำในสิ่งที่ไม่มีผลกระทบกับเค้าและน้องจะได้มั๊ย  เพราะประโยคนี้แหล่ะค่ะ เราเลยคิดหนักเลย เราฟังก็เสียใจนะ แต่เข้าใจลูก และไม่โกรธ เพราะพ่อเค้าเลี้ยงกันมา เราต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด กลับบ้านเฉพาะ ศ-อ. เราสูญเสียเวลา 7 ปีในการดูแลใกล้ชิดเค้า ดังนั้นโทษลูกไม่ได้ เราคงต้องใกล้ชิดกับลูกให้มากว่านี้

ตอนนี้เราคงทำได้แค่ประคับประคองจิตใจลูกเราไปจนกว่าเค้าจะเข้าใจและยอมรับอะไรได้มากขึ้น ถึงตอนนั้นกับสามี เราคงไม่คุยอะไรกันมากมาย จะไปปีนต้นงิ้วกับใคร คงแล้วแต่เค้าค่ะ เราไม่ได้ไปกับเค้าด้วยนิ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
ผมตอบในฐานะผู้ชาย (ที่รักครอบครัว) นะครับ


สิ่งต่างๆ ที่สามีคุณกล่าวอ้างมาทั้งหมด ผมว่ามันไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริง แม้แต่อย่างเดียวเลยครับ ผมเป็นผู้ชายผมรู้ดี

ผมว่าเขาเองนั่นแหละที่ไปพูดให้ผู้หญิงคนนั้นยังคงพัวพันอยู่ เขาพูดต่อหน้ากับคุณอย่างหนึ่ง แต่ลับหลัง คุณคิดว่าเขา

จะพูดกับผู้หญิงคนนั้นอย่างที่เขาบอกกับคุณยังงั้นจริงๆ หรือ ถ้าคิดจะเลิกจริงๆ แล้วไม่ได้ยากเย็นอะไรขนาดนั้นหรอกครับ

เขาเองนั่นแหละที่ไปเหนี่ยวรั้งเอาไว้ แล้วข้ออ้างเรื่องเป็นพ้งเป็นเพื่อนอะไรน่ะ ผมว่ามันดูตลกและไร้สาระสิ้นดีเลย จริงๆ ก็คือ

อยากจะสานสัมพันธ์ต่อเท่านั้นเอง


ผู้หญิงสมัยนี้เก่งครับสามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้แบบไม่ต้องพึ่งผู้ชาย ซิงเกิ้ลมัม เดี๋ยวนี้มีอยู่เยอะแยะไปครับ คุณไม่ต้อง

ไปกังวลเรื่องกลัวว่าเด็กจะมีปมด้อยหรือคิดมากเพราะเด็กสมัยนี้เขาฉลาดพอที่จะแยกแยะออกได้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะเขาก็

ดูจากทีวีทุกวันเรื่องพวกนี้มันก็สอนเขาอยู่แล้ว


ผมไม่ได้ยุให้คุณต้องบ้านแตกสาแหรกขาดหรอกนะครับ แต่เท่าที่คุณเล่าๆ มาผมยังมองไม่เห็นเลยว่าขาจะหยุดลงแค่นี้

ถึงจะจบกับผู้หญิงคนนี้ลงได้ แต่มันก็ไม่มีอะไรการันตีว่าเขาจะไม่มีคนใหม่เข้ามาอีก คุณก็ต้องมานั่งทุกข์ใจอีกต่อๆ ไป ถ้าเขารัก

ครอบครัวจริงเขาต้องรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แต่เท่าที่ทำๆ มาทั้งหมด มันมีแต่ทำเพื่อสนอง ตัญหา ราคะ ของตัวเองล้วนๆ เท่านั้น

โดยไม่มีคำว่าลูกหรือครอบครัว เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งจิตใจต่อการกระทำนั้นๆ เลย แต่พอมีปัญหากลับไปดึงเอาคำเหล่านี้มาใช้เพื่อ

สร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง


ผมกล้าพูดว่าเราสามารถบังคับตัวเราเองได้ถ้าคิดจะทำ เพราะผมก็เคยผ่านเรื่องพวกนี้มาก่อนแล้ว แต่ผมเลือกที่จะทำในสิ่งที่มันถูกต้อง

ครอบครัวที่อบอุ่นจะสร้างภูมิคุ้มกันให้เราได้ในเรื่องพวกนี้ สามัญสำนึกในส่วนที่ดี มันจะดึงเราให้กลับมาอยู่ในร่องในรอยอีกครั้ง

และในที่สุดเราก็จะก้าวข้ามมันไปได้ และพอเราหันหลังกลับไปมองมันอีกที เราก็จะพบว่าสิ่งต่างๆ มันเกิดขึ้นจากตัวเราเองทั้งนั้น เพราะถ้า

เราคิดเข้าข้างตัวเองเลือกเดินทางผิด หรือพ่ายแพ้ต่อจิตใจใฝ่ต่ำ เราก็จะเที่ยวไปหาเอาเหตุผลข้างๆ คูๆ มาสนับสุนการกระทำของเรา

เช่น อยู่บ้านไม่มีความสุขบ้างล่ะ อย่างโน่น อย่างนี้ บ้างล่ะ สารพัดที่จะสรรหาเรื่องเหตุผลมาทำให้การกระทำแย่ๆ ของเราดูชอบธรรมขึ้นมา



ทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวคุณเองทั้งหมด ถ้าเขาสามารถกลับตัวกลับใจได้ มันก็ถือว่าคุณทำบุญมาดี แต่ถ้ามัน

ไม่ใช่ คุณก็จะต้องแบกรับปัญหาต่อไปไม่จบไม่สิ้น ผมให้ข้อคิดเท่านี้แหละครับ เพราะการใช้ชีวิต ปัญหาในมิติต่างๆ ไม่มีใครที่จะรู้ดีไปกว่า

ตัวคุณเอง ฉะนั้นคุณก็จะต้องเลือกทางเดินเองว่าจะไปทางไหนดี แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งก็คือปล่อยให้มันคาราคาซัง แบบไม่มองหน้ากัน

หรือบาดหมางกันนานๆ บรรยากาศมันจะยิ่งอึมครึม เพราะบางคนดันไปถือคติที่ว่า เวลาจะช่วยแก้ปัญหาให้เราเอง ซึ่งมันจะใช้ได้ในบางกรณี

แต่บางกรณียิ่งนานไปบรรยากาศมันก็จะยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ ถ้าปัญหามันยังไม่ได้รับการแก้ไข มันยิ่งมีแต่จะสุมกองมากขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่