ใช้บริการของ Air Asia บ่อยครั้งมากกว่าสายการบินอื่น ยิ่งช่วงออกตั๋วโปรแล้ว จะมีความกระวนกระวายมากหากไม่ได้จองทริปให้งอกเพิ่มขึ้น
และทุกครั้งก็ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับการบริการเฉกเช่นสายการบินต้นทุนสูงอื่นๆ แค่ขอให้พาเราไปถึงที่หมายก็บรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้บริการแล้ว
โดยเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จองแพคเกจ Airasiago ไปฉงชิ่ง เลยมาทำการเชคอินล่วงหน้าประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเพราะคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ปัญหาก็มาหาเมื่อพนักงานที่เคาเตอร์ Check in บอกว่าคำที่ระบุในวีซ่าคือ ต้องเดินทางก่อนวันที่ 14 พ.ย ซึ่งน้องก็ได้ไปถามหัวหน้าเพื่อความแน่ใจและก็บอกเราว่า เคยมีการปฏิเสธการเข้าประเทศในเคสแบบนี้มาแล้ว หากเรายังต้องการเดินทางก็ต้องยอมรับถึงผลที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งแน่นอนเราคงไม่ไปเสี่ยงแน่นอน ในระหว่างที่กำลังถอดใจอยู่นั้นก็มีคุณพี่ผู้ชายใจดี ติดป้ายว่า Security มาพูดคุยและคอยให้ความช่วยเหลือ พาไปพบหัวหน้า เพื่อหาทางออก ซึ่งพี่ที่เป็นหัวหน้าผู้หญิงคนนั้นก็บอกเราเหมือนที่น้องพนักงาน check in แจ้งไว้ ซึ่งก็ให้คำแนะนำว่าให้ไปขอวีซ่าใหม่ และเปลี่ยนวันเดินทางซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนต่างของค่าตั๋ว และค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนซึ่งรวมๆแล้วหลายตังค์อยู่ (คิดในใจคงได้กลับไปนอนบ้านแน่ๆ)
จากนั้นรออยู่สักพักหนึ่ง คุณพี่หัวหน้าผู้หญิงก็บอกให้เรารอ เพราะกำลังให้พนักงานของ Airasia ที่ฉงชิ่งไปสอบถามเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่าสามารถเข้าเมืองได้ไหม ตอนนั้นในใจคิดอยู่อย่างเดียวว่าถึงไม่ได้ไป ก็ไม่เสียใจแล้วเพราะทางเจ้าหน้าที่ Airasia ได้ให้ความช่วยอย่างเหลือเต็มที่ รอไปประมาณ 15 นาทีก็ได้รับการแจ้งว่าสามารถเดินทางได้ เราเลยได้ไปผจญภัย ณ ดินแดนฉงชิ่งใน Flight ถัดไปของช่วงบ่ายวันเดียวกัน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่มเติม
ที่เขียนมาทั้งหมด ความรู้สึกไม่ได้มาจากที่เราสามารถเดินทางต่อไปได้ แต่มันคือความรู้สึกประทับใจในการให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารของพนักงานภาคพื้น AirAsia ทั้งสามคน
*Air Asia คุณทำให้การเดินทางครั้งนี้จะอยู่ในความทรงจำดีๆของฉันตลอดไป*
ป.ล. เป็นความสะเพร่าของเราเอง ดันเลือกเดินทางวันที่วีซ่าเกือบหมดอายุ เพราะคิดอยู่ตลอดด้วยตัวเองว่า Visa ของประเทศไหนก็ต้องระบุวันหมดอายุของวีซ่า (Visa Expiry Date) ไม่ใช่เดินทางก่อน (Travel Before)
ความรู้สึกดีๆที่ได้รับจาก Low Cost Airline อย่าง Air Asia
และทุกครั้งก็ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับการบริการเฉกเช่นสายการบินต้นทุนสูงอื่นๆ แค่ขอให้พาเราไปถึงที่หมายก็บรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้บริการแล้ว
โดยเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จองแพคเกจ Airasiago ไปฉงชิ่ง เลยมาทำการเชคอินล่วงหน้าประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเพราะคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ปัญหาก็มาหาเมื่อพนักงานที่เคาเตอร์ Check in บอกว่าคำที่ระบุในวีซ่าคือ ต้องเดินทางก่อนวันที่ 14 พ.ย ซึ่งน้องก็ได้ไปถามหัวหน้าเพื่อความแน่ใจและก็บอกเราว่า เคยมีการปฏิเสธการเข้าประเทศในเคสแบบนี้มาแล้ว หากเรายังต้องการเดินทางก็ต้องยอมรับถึงผลที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งแน่นอนเราคงไม่ไปเสี่ยงแน่นอน ในระหว่างที่กำลังถอดใจอยู่นั้นก็มีคุณพี่ผู้ชายใจดี ติดป้ายว่า Security มาพูดคุยและคอยให้ความช่วยเหลือ พาไปพบหัวหน้า เพื่อหาทางออก ซึ่งพี่ที่เป็นหัวหน้าผู้หญิงคนนั้นก็บอกเราเหมือนที่น้องพนักงาน check in แจ้งไว้ ซึ่งก็ให้คำแนะนำว่าให้ไปขอวีซ่าใหม่ และเปลี่ยนวันเดินทางซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนต่างของค่าตั๋ว และค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนซึ่งรวมๆแล้วหลายตังค์อยู่ (คิดในใจคงได้กลับไปนอนบ้านแน่ๆ)
จากนั้นรออยู่สักพักหนึ่ง คุณพี่หัวหน้าผู้หญิงก็บอกให้เรารอ เพราะกำลังให้พนักงานของ Airasia ที่ฉงชิ่งไปสอบถามเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่าสามารถเข้าเมืองได้ไหม ตอนนั้นในใจคิดอยู่อย่างเดียวว่าถึงไม่ได้ไป ก็ไม่เสียใจแล้วเพราะทางเจ้าหน้าที่ Airasia ได้ให้ความช่วยอย่างเหลือเต็มที่ รอไปประมาณ 15 นาทีก็ได้รับการแจ้งว่าสามารถเดินทางได้ เราเลยได้ไปผจญภัย ณ ดินแดนฉงชิ่งใน Flight ถัดไปของช่วงบ่ายวันเดียวกัน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่มเติม
ที่เขียนมาทั้งหมด ความรู้สึกไม่ได้มาจากที่เราสามารถเดินทางต่อไปได้ แต่มันคือความรู้สึกประทับใจในการให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารของพนักงานภาคพื้น AirAsia ทั้งสามคน
*Air Asia คุณทำให้การเดินทางครั้งนี้จะอยู่ในความทรงจำดีๆของฉันตลอดไป*
ป.ล. เป็นความสะเพร่าของเราเอง ดันเลือกเดินทางวันที่วีซ่าเกือบหมดอายุ เพราะคิดอยู่ตลอดด้วยตัวเองว่า Visa ของประเทศไหนก็ต้องระบุวันหมดอายุของวีซ่า (Visa Expiry Date) ไม่ใช่เดินทางก่อน (Travel Before)