สวัสดีเพื่อนพี่น้องชาว Pantip ทุกท่านครับ
เรื่องที่ผมจะเล่าอาจจะยาวสักหน่อยน่ะครับ
ผมเติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อแม่ประกอบอาชีพค้าขายครับ
ช่วงม. ปลาย เป็นช่วงที่ผมค่อนข้างลังเลในการศึกษาต่อมาก อาจจะเพราะผมยังไม่รู้จักตนเองด้วย เห็นอะไรที่ชอบ น่าสนุก ก็อยากลองเรียน ลองทำ (ตามประสาเด็กช่วงอายุนั้นน่ะครับ) สุดท้าย ผมก็เลือกเรียนในคณะที่เกี่ยวกับการแปรรูปอาหารแห่งหนึ่ง (ด้วยความที่ผมสอบตรงได้+ความขี้เกียจอ่านหนังสือเพื่อสอบต่อครับ) โดยที่ไม่ได้นึกถึงเส้นทางอาชีพในอนาคตเลย
ช่วงมหาลัย ผมก็เรียนๆ เล่นๆ ทำกิจกรรมต่างๆ เข้าชมรมต่างๆ เรียนรู้ภาษาต่างๆเพิ่มเติม ด้วยความที่อยากรู้จักตนเอง อยากค้นหาตัวเองครับ
ในช่วงที่ก่อนจะจบนั้น ผมได้ไปฝึกงานในโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ทะเลแห่งหนึ่ง ด้วยระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนานเหมือนกันครับ ผมรู้สึกไม่ชอบสภาวะเช่นนั้นเลย โดยส่วนตัวผมรับกับเรื่องการทำงานในระบบ เป็นเวลาได้นะครับ แต่ผมกลับรู้สึกเบื่อในงานที่ทำ พร้อมกับตั้งคำถามว่า เราเองต้องทำแบบนี้ไปทั้งชีวิตเลยเหรอ ผมเลยนึกอยากไปเรียนทำเบเกอรี่ ด้วยความที่ชอบทานขนมเป็นทุนเดิมบวกกับเคยไปลองเรียนทำขนมแล้วรู้สึกสนุกน่ะครับ เลยตั้งเป้าหมายว่า หากเรียนจบมหาลัยแล้ว ผมจะไปเรียนทำขนมอย่างจริงจัง
สุดท้าย ผมก็จบจากมหาลัยออกมาด้วยเกรดที่ค่อนข้างดีในระดับหนึ่งครับ หลังจากที่จบ ก็มุ่งไปเรียนทำขนมอย่างจริงจัง เป็นระยะเวลานานกว่า 1 ปี และในช่วงที่ผมเรียนใกล้จะจบ ก็เกิดคำถามบางอย่างมาสะกิดใจผมเกี่ยวกับการทำงาน ผมควรจะทำงานอะไรต่อดี ซึ่ง ณ ตอนนั้น ผมกลับตัดสินใจที่จะเริ่มหางานจากวุฒิทางมหาลัยที่ผมเรียนมาด้วยความที่คิดว่าหากไม่ทำงานสายนี้ในช่วงเวลานี้ (ผมอายุ 24 ปีครับ) ก็อาจจะทำไม่ได้อีกแล้ว และอยากทำงานที่มั่นคงครับ แต่ในระหว่างหางานผมก็รู้สึกเหมือนมันมีอะไรบางอย่างขัดแย้งอยู่ในใจ อาจเป็นเพราะเป็นการหางานครั้งแรกของผมด้วยมั้งครับ มีโรงงานและบริษัทหลายที่เรียกตัวไปสัมภาษณ์ แต่จากที่ผมสังเกตการตอบสัมภาษณ์ไป ผมตอบอย่างเป็นในแนวทางเดียวกันว่าอยากหาประสบการณ์และในอนาคตก็อยากเปิดกิจการของตนเอง ตลอดเวลาที่ผมหางานมักจะเกิดคำถามอยู่ตลอดเลยว่าที่ผมทำอยู่ตอนนี้มันถูกแล้วรึเปล่า จากจุดนั้น ผมรู้สึกเครียดน่ะครับที่หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โทรปรึกษากับครอบครัวบ่อยมาก จากที่เมื่อก่อนแทบจะไม่ค่อยได้คุยกับครอบครัวเลย ทางพ่อให้ความเห็นว่าอยากให้ทำงานตามสายงานที่ผมเรียนมาจากมหาลัย ส่วนทางแม่นั่นอยากให้ผมกลับมาช่วยทำงานที่บ้านครับ เพราะแม่ทำอยู่คนเดียว ดูแลไม่ค่อยทั่วถึง (พ่อกับแม่ผมแยกทางกันตอนที่ผมอยู่มหาลัยครับ)
จากจุดนี้เอง ผมก็รู้สึกสับสนมากครับ ไม่รู้จะทำยังไงต่อ แต่สุดท้าย ผมก็เลือกที่จะกลับบ้านมาช่วยแม่ทำงานครับ ทั้งนี้ผมก็ได้พูดกับแม่ตรงๆ ว่า ผมเองไม่มีความรู้ ประสบการณ์ด้านนี้เลยนะ จะทำได้เหรอ แม่ก็บอกว่าก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป ค่อยๆ ทำไป เดี๋ยวก็เป็นเอง แรกๆ ผมก็เชื่ออย่างที่แม่บอกครับ ก็สังเกตจากการทำงานของแม่ไป ช่วยงานเท่าที่พอจะช่วยได้ แต่พอผ่านไปได้ 2 เดือน ผมกลับรู้สึกเบื่อกับสิ่งที่ทำอยู่ มันเหมือนไม่มีจุดหมายปลายทางน่ะครับ ความกระหายอยากทำงาน อยากเรียนรู้งานมันหดหายไป เหมือนใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ แล้วก็แทบไม่ได้คุย พบปะกับเพื่อนๆเลยครับ ผมบอกความรู้สึกนี้กับแม่ แม่ก็เลยถามผมว่า "แล้วเราอยากไปทำงานข้างนอกเหรอ จะทำอะไรละ" ผมตอบไปว่า ผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าอยากทำงานอะไร พอยิ่งนานวันเข้า ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหดหู่ครับ ไม่อยากทำอะไรเลย ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร กลายเป็นคนเก็บตัว ปิดตัวเองจากสังคม ทั่งๆ ที่ผมก็รู้สึกว่าที่เป็นอยู่แบบนี้มันไม่ดีนะ แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อน่ะครับ
สับสนกับชีวิตตนเอง อยากขอคำปรึกษาหน่อยครับ
เรื่องที่ผมจะเล่าอาจจะยาวสักหน่อยน่ะครับ
ผมเติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อแม่ประกอบอาชีพค้าขายครับ
ช่วงม. ปลาย เป็นช่วงที่ผมค่อนข้างลังเลในการศึกษาต่อมาก อาจจะเพราะผมยังไม่รู้จักตนเองด้วย เห็นอะไรที่ชอบ น่าสนุก ก็อยากลองเรียน ลองทำ (ตามประสาเด็กช่วงอายุนั้นน่ะครับ) สุดท้าย ผมก็เลือกเรียนในคณะที่เกี่ยวกับการแปรรูปอาหารแห่งหนึ่ง (ด้วยความที่ผมสอบตรงได้+ความขี้เกียจอ่านหนังสือเพื่อสอบต่อครับ) โดยที่ไม่ได้นึกถึงเส้นทางอาชีพในอนาคตเลย
ช่วงมหาลัย ผมก็เรียนๆ เล่นๆ ทำกิจกรรมต่างๆ เข้าชมรมต่างๆ เรียนรู้ภาษาต่างๆเพิ่มเติม ด้วยความที่อยากรู้จักตนเอง อยากค้นหาตัวเองครับ
ในช่วงที่ก่อนจะจบนั้น ผมได้ไปฝึกงานในโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ทะเลแห่งหนึ่ง ด้วยระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนานเหมือนกันครับ ผมรู้สึกไม่ชอบสภาวะเช่นนั้นเลย โดยส่วนตัวผมรับกับเรื่องการทำงานในระบบ เป็นเวลาได้นะครับ แต่ผมกลับรู้สึกเบื่อในงานที่ทำ พร้อมกับตั้งคำถามว่า เราเองต้องทำแบบนี้ไปทั้งชีวิตเลยเหรอ ผมเลยนึกอยากไปเรียนทำเบเกอรี่ ด้วยความที่ชอบทานขนมเป็นทุนเดิมบวกกับเคยไปลองเรียนทำขนมแล้วรู้สึกสนุกน่ะครับ เลยตั้งเป้าหมายว่า หากเรียนจบมหาลัยแล้ว ผมจะไปเรียนทำขนมอย่างจริงจัง
สุดท้าย ผมก็จบจากมหาลัยออกมาด้วยเกรดที่ค่อนข้างดีในระดับหนึ่งครับ หลังจากที่จบ ก็มุ่งไปเรียนทำขนมอย่างจริงจัง เป็นระยะเวลานานกว่า 1 ปี และในช่วงที่ผมเรียนใกล้จะจบ ก็เกิดคำถามบางอย่างมาสะกิดใจผมเกี่ยวกับการทำงาน ผมควรจะทำงานอะไรต่อดี ซึ่ง ณ ตอนนั้น ผมกลับตัดสินใจที่จะเริ่มหางานจากวุฒิทางมหาลัยที่ผมเรียนมาด้วยความที่คิดว่าหากไม่ทำงานสายนี้ในช่วงเวลานี้ (ผมอายุ 24 ปีครับ) ก็อาจจะทำไม่ได้อีกแล้ว และอยากทำงานที่มั่นคงครับ แต่ในระหว่างหางานผมก็รู้สึกเหมือนมันมีอะไรบางอย่างขัดแย้งอยู่ในใจ อาจเป็นเพราะเป็นการหางานครั้งแรกของผมด้วยมั้งครับ มีโรงงานและบริษัทหลายที่เรียกตัวไปสัมภาษณ์ แต่จากที่ผมสังเกตการตอบสัมภาษณ์ไป ผมตอบอย่างเป็นในแนวทางเดียวกันว่าอยากหาประสบการณ์และในอนาคตก็อยากเปิดกิจการของตนเอง ตลอดเวลาที่ผมหางานมักจะเกิดคำถามอยู่ตลอดเลยว่าที่ผมทำอยู่ตอนนี้มันถูกแล้วรึเปล่า จากจุดนั้น ผมรู้สึกเครียดน่ะครับที่หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โทรปรึกษากับครอบครัวบ่อยมาก จากที่เมื่อก่อนแทบจะไม่ค่อยได้คุยกับครอบครัวเลย ทางพ่อให้ความเห็นว่าอยากให้ทำงานตามสายงานที่ผมเรียนมาจากมหาลัย ส่วนทางแม่นั่นอยากให้ผมกลับมาช่วยทำงานที่บ้านครับ เพราะแม่ทำอยู่คนเดียว ดูแลไม่ค่อยทั่วถึง (พ่อกับแม่ผมแยกทางกันตอนที่ผมอยู่มหาลัยครับ)
จากจุดนี้เอง ผมก็รู้สึกสับสนมากครับ ไม่รู้จะทำยังไงต่อ แต่สุดท้าย ผมก็เลือกที่จะกลับบ้านมาช่วยแม่ทำงานครับ ทั้งนี้ผมก็ได้พูดกับแม่ตรงๆ ว่า ผมเองไม่มีความรู้ ประสบการณ์ด้านนี้เลยนะ จะทำได้เหรอ แม่ก็บอกว่าก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป ค่อยๆ ทำไป เดี๋ยวก็เป็นเอง แรกๆ ผมก็เชื่ออย่างที่แม่บอกครับ ก็สังเกตจากการทำงานของแม่ไป ช่วยงานเท่าที่พอจะช่วยได้ แต่พอผ่านไปได้ 2 เดือน ผมกลับรู้สึกเบื่อกับสิ่งที่ทำอยู่ มันเหมือนไม่มีจุดหมายปลายทางน่ะครับ ความกระหายอยากทำงาน อยากเรียนรู้งานมันหดหายไป เหมือนใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ แล้วก็แทบไม่ได้คุย พบปะกับเพื่อนๆเลยครับ ผมบอกความรู้สึกนี้กับแม่ แม่ก็เลยถามผมว่า "แล้วเราอยากไปทำงานข้างนอกเหรอ จะทำอะไรละ" ผมตอบไปว่า ผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าอยากทำงานอะไร พอยิ่งนานวันเข้า ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหดหู่ครับ ไม่อยากทำอะไรเลย ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร กลายเป็นคนเก็บตัว ปิดตัวเองจากสังคม ทั่งๆ ที่ผมก็รู้สึกว่าที่เป็นอยู่แบบนี้มันไม่ดีนะ แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อน่ะครับ