เคยตั้งแล้วขอตั้งอีกก็แล้วกัน
พิบัติภัยในทัศนะอิสลาม
คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวยืนยันชัดเจนเกี่ยวกับความเสียหายบนหน้าแผ่นดินนี้ตั้งแต่ 1,400 กว่าปีมาแล้วว่า
"ความหายนะได้เกิดขึ้นแล้วทั้งทางบกและทางน้ำ เนื่องจากสิ่งที่มือของมนุษย์ได้ขวนขวายไว้เพื่อที่พระองค์จะให้พวกเขาลิ้มรสบางส่วนที่พวกเขาประกอบขึ้น โดยที่หวังจะให้พวกเขากลับเนื้อกลับตัว" [อัล-กุรอาน30:41]
สำหรับจากมุมมองอิสลามแล้ว พิบัติภัยธรรมชาติไม่ใช่แค่ปัญหาที่ทำให้ขบคิดว่ามีที่มาอย่างไร มีทางป้องกันแก้ไขอย่างไร แต่อิสลามยังใช้ให้พินิจพิจารณา ใคร่ครวญจากอุทาหรณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอันสืบเนื่องจากปรากฏการณ์แห่งพิบัติภัยเหล่านั้น เพื่อให้มนุษย์สำนึก ตื่นตัว และยึดมั่นอยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรง
ข้อความจากคัมภีร์อัล-กุรอานข้างต้น ได้มีนักอรรถาธิบายคัมภีร์ที่เป็นที่ยอมรับและมีชื่อเสียงในโลกอิสลาม ให้ความหมายว่า ความเสียหายต่างๆบนหน้าแผ่นดิน เป็นผลมาจากการฝ่าฝืน และการทำผิดของมนุษย์ เมื่อมนุษย์ฝ่าฝืนพระเจ้า ก็เท่ากับก่อความเสื่อมเสียในแผ่นดินของพระองค์ จึงเท่ากับว่าผลจากการเนรคุณของมนุษย์ต่อความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานให้มนุษย์นั้น ก็คือเคราะห์กรรมที่มาจากน้ำมือของมนุษย์เอง
มหันตภัยที่เราได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เสมือนเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นถึงเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติด้วยร่องรอยของประชาชาติรุ่นแล้วรุ่นเล่า เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติแก่มนุษย์ ให้รู้จักใช้ปัญญา ใคร่ครวญถึงสิ่งที่ประชาชาติในอดีตได้เคยประสบมาก่อน
มีต่อ.........
พิบัติภัยในทัศนะอิสลาม
คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวยืนยันชัดเจนเกี่ยวกับความเสียหายบนหน้าแผ่นดินนี้ตั้งแต่ 1,400 กว่าปีมาแล้วว่า
"ความหายนะได้เกิดขึ้นแล้วทั้งทางบกและทางน้ำ เนื่องจากสิ่งที่มือของมนุษย์ได้ขวนขวายไว้เพื่อที่พระองค์จะให้พวกเขาลิ้มรสบางส่วนที่พวกเขาประกอบขึ้น โดยที่หวังจะให้พวกเขากลับเนื้อกลับตัว" [อัล-กุรอาน30:41]
สำหรับจากมุมมองอิสลามแล้ว พิบัติภัยธรรมชาติไม่ใช่แค่ปัญหาที่ทำให้ขบคิดว่ามีที่มาอย่างไร มีทางป้องกันแก้ไขอย่างไร แต่อิสลามยังใช้ให้พินิจพิจารณา ใคร่ครวญจากอุทาหรณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอันสืบเนื่องจากปรากฏการณ์แห่งพิบัติภัยเหล่านั้น เพื่อให้มนุษย์สำนึก ตื่นตัว และยึดมั่นอยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรง
ข้อความจากคัมภีร์อัล-กุรอานข้างต้น ได้มีนักอรรถาธิบายคัมภีร์ที่เป็นที่ยอมรับและมีชื่อเสียงในโลกอิสลาม ให้ความหมายว่า ความเสียหายต่างๆบนหน้าแผ่นดิน เป็นผลมาจากการฝ่าฝืน และการทำผิดของมนุษย์ เมื่อมนุษย์ฝ่าฝืนพระเจ้า ก็เท่ากับก่อความเสื่อมเสียในแผ่นดินของพระองค์ จึงเท่ากับว่าผลจากการเนรคุณของมนุษย์ต่อความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานให้มนุษย์นั้น ก็คือเคราะห์กรรมที่มาจากน้ำมือของมนุษย์เอง
มหันตภัยที่เราได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เสมือนเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นถึงเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติด้วยร่องรอยของประชาชาติรุ่นแล้วรุ่นเล่า เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติแก่มนุษย์ ให้รู้จักใช้ปัญญา ใคร่ครวญถึงสิ่งที่ประชาชาติในอดีตได้เคยประสบมาก่อน
มีต่อ.........