แม่ / เงิน / เนรคุณ ......

สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันอยากจะเล่าเรื่องราวชีวิตของดิฉัน และอยากขอความเห็นหน่อยว่า สิ่งที่ดิฉันกำลังทำ มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่…..
พิมพ์สดเลยนะคะอาจจะอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องหรือภาษามีตกหล่นตรงไหนก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ

ครอบครัวของดิฉันแยกย้ายไปคนละทาง พ่อมีภรรยาใหม่ แม่มีสามีใหม่ ในช่วงรอยต่อที่ต้องเลือกระหว่างพ่อหรือแม่ ยอมรับเลยว่าดิฉันออกจะเป๋ๆไปบ้าง จึงทำให้ท้อง ตั้งแต่ อายุแค่ 16 ปี
แฟนดิฉัน จบปริญญาตรี ทำงานเป็นเซลล์ เงินเดือนแค่ 9,000 รวมคอมมิชชั่นแล้ว ก็ได้ 3-40,000 สบายๆ ซึ่งแน่นอนว่าอยู่กันแค่ สามคนพ่อแม่ลูก ได้อย่างสบายๆ ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถ ค่ากินอยู่ แต่ไม่เคยเหลือเก็บเลย

ย้อนกลับไปที่พ่อกับแม่ ตัวพ่อนั้น หลังจากเลิกกันกับแม่ ก็หายสาบสูญไปเลย ไม่เคยติดต่อกันตั้งแต่วันที่พ่อขนของออกจากบ้าน ส่วนแม่ได้แฟนใหม่ แต่แฟนใหม่ของแม่ ไม่ค่อยดี เป็นทหารชั้นผู้น้อย มีลูกกับแม่ดิฉัน 1 คน (ได้เสียกันระหว่างที่แม่ดิฉันยังอยู่กับพ่อของดิฉัน) สำมะเลเทเมา หนี้สินพะรุงพะรัง เงินเดือนหักหนี้แล้ว น่าจะเหลือไม่เกิน 2,000 บาท ช่วงแรกๆ แม่ดิฉันไปอยู่กับแม่ (หรือยายของดิฉันนั่นแหละ) ไม่ได้ทำงานอะไร ช่วยยายขายของไปวันๆ อาศัยเงินจากการช่วยยายขายของ เม้มมั่งอะไรมั่ง และทุกครั้งที่แฟนใหม่มาหา แม่ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เพื่อมาเลี้ยงดูปูเสื่อ เลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ๆมั่ง เลี้ยงเหล้าเลี้ยงเบียร์มั่ง ไปๆมาๆ หนี้สินก็เพิ่มพูน ขึ้นแบบน่าตกใจไปถึงหลักแสนบาท และนอกจากไปกู้เค้าแล้ว ยังโทรมาขอเงินดิฉัน แต่ดิฉันก็อยู่บ้านเฉยๆ ใช้แต่เงินจากสามี จะเอาเงินจากสามีมาให้แม่ทั้งหมด ก็ไม่ใช่ เพราะสามีก็มีภาระทางบ้านเค้าด้วย

ดิฉันก็เลยตัดสินใจหาของเล็กๆน้อยๆในบ้าน ออกขายตามเนตบ้าง ไปตั้งขายเปิดท้ายแถวบ้านบ้าง จนกระทั่งไปถึง หาทำของกินเล่นเล็กๆน้อยๆ มาขาย ส่งเงินให้แม่บ้าง
ในที่สุดแม่ต้องย้ายไปอยู่กับแฟนใหม่ที่ต่างจังหวัด เพราะ ไม่ไหวจะใช้หนี้ แน่นอนสิจะไปไหวได้ยังไง งานการไม่ได้มีทำแต่ต้องจ่ายรายวันหลักพัน

กลับมาที่ตัวดิฉันเอง เกิดจุดเปลี่ยนของชีวิต สามีโดนคดีความ(ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดจุดนี้นะคะ) ทำให้ต้องออกจากงาน แต่กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ดี  เพราะงานใหม่ที่ได้ทำนั้น เป็นการขายของออนไลน์ ที่ต้องออนไลน์เพราะตัวสามีดิฉันยังติดคดีอยู่ ไม่สามารถทำงานบริษัทที่จ่ายประกันสังคมได้ คือง่ายๆ หนีนั่นแหละ โชคดีที่จับตลาดได้ถูกจุด ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้สามี ที่เอาความบ้าบวกความชอบส่วนตัว ผันมาเป็นอาชีพได้ ทำให้อาชีพขายของออนไลน์ของดิฉันรุ่งเรืองสุดขีด แบบที่ต่อให้แฟนดิฉันไม่มีคดีแล้ว ก็ไม่กลับไปทำงานบริษัทอีกแน่นอน

ชีวิตเปลี่ยนไป จากหน้ามือเป็นหลังมือ แม่ของดิฉันก็ขอเงินดิฉันบ่อยขึ้นๆ (หลังจากย้ายไปอยู่กับแฟนใหม่เค้า เค้าก็ไปทำงานที่มินิมาร์ทแห่งนึง) จนมาขอให้ดิฉันปิดหนี้ก้อนหนึ่งให้ นั่นแหละ ทำให้ดิฉันได้รับรู้ว่า ที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยยังอยู่กับพ่อ พ่อเคยปิดหนี้ทั้งในและนอกระบบไปให้แล้วหลักแสนบาท ตาของดิฉันก็เคยปิดหนี้ไปให้แล้วหลักแสนบาท พอช่วงที่หนีหนี้มาก็ยังให้น้าสาวดิฉันปิดหนี้ให้อีกหลายหมื่นบาท ที่ทุกคนต้องปิดให้เพราะ ทนไม่ไหว ที่ต้องมีคนมาทวง มาระราน ยิ่งยายดิฉัน ค้าขายด้วย โดนมาก่อกวนบ่อยๆ จะยิ่งอยู่ยาก

แต่เมื่อรู้ว่ามีคนปิดให้แล้ว แม่ดิฉันก็ยังโทรไปขอยืมเจ้าหนี้คนเดิมนั่นแหละ ให้โอนมาให้ แล้วก็ส่งดอกโดยการโอนกลับมาให้ แน่นอน ทำงานร้านมินิมาร์ท จะส่งดอกรายวันไหวได้ยังไง ก็โทรมาให้ดิฉันส่งดอกให้อยู่เรื่อยๆ จนสามีดิฉัน ทนไม่ไหว บอก เท่าไรว่ามาเลย เดี๋ยวปิดให้เอง ก็เรียบร้อยไปอีก ปิดไปให้อีกรอบ หลังจากปิดไป ก็ยังไม่หมด มีเจ้านู้นเจ้านี้ ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ แม่ดิฉันพยายามขอเงินก้อน หลักหลายหมื่น แต่ดิฉันก็ไม่เคยให้เพราะ ทำงานธุรกิจส่วนตัว แถมออนไลน์แบบนี้ ต้องมีเงินสำรองไว้พอสมควร และก็เกรงใจสามีด้วย
แต่ยังไงก็ยังคงให้อยู่ตลอดๆ มีแอบสามีให้ อาทิตย์ละ 2-3000 ขอค่าเทอมน้องบ้าง ค่าชุดนักเรียนบ้าง ขอให้ซื้อไอแพดให้น้องบ้าง ขอค่าไฟบ้าง ขอค่าเครื่องสำอางบ้าง ขอซื้อทีวีบ้าง ขอซื้อโทรศัพท์บ้าง ขอซื้อการ์ตูนให้น้องดูบ้าง เรียกว่าแทบทุกอย่าง จนมากๆเข้าดิฉันก็ถาม แล้วแฟนแม่ล่ะ น้องหนูก็ลูกมัน แค่ค่าเทอมนี่ ไม่คิดจะให้ลูกเลยหรอ แม่บอก มันยังเอาตัวไม่รอดเลยอย่าไปหวังอะไรกับมัน และถ้าวันไหนที่แม่โทรมาขอ แล้วดิฉันไม่ให้ แม่จะใช้ท่าไม้ตาย “มิงไม่เห็นกรูเป็นแม่ใช่ไหม” หรือ “กรูส่งมิงถึงฝั่งจนมิงสบายแล้ว ทำไมไม่ตอบแทนกรูบ้าง”
ญาติพี่น้องคนอื่นๆก็รู้เรื่องนิสัยของแม่จนเรียกแม่ว่าเป็นโรคบ้าเงิน  เรียกได้ว่าเก็บทุกเม็ด เช่นถ้าวันไหนไปหาเค้า (จังหวัดที่เค้าอยู่เป็นจังหวัดท่องเที่ยว) ก็ต้องจ่ายเป็นค่าแรงแทนเพราะว่าต้องหยุดงาน เงินเดือนจากมินิมาร์ท ก็สืบจนรู้ว่า แม่เบิกล่วงหน้ามาจนสิ้นเดือนเงินแทบจะไม่เหลือออกเลย หรืออย่างล่าสุด ดิฉันออกรถ แต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทางไฟแนนซ์แจ้งว่าต้องให้พ่อหรือแม่มาเซ็นยินยอมให้ทำนิติกรรม แน่นอนว่าพ่อติดต่อไม่ได้ ต้องเป็นแม่

เซ็นยินยอมในที่นี้ ไม่ใช่เซ็นค้ำประกันแต่อย่างใด แค่เป็นการเซ็นเพื่อยินยอมให้ ไฟแนนซ์สามารถฟ้องร้องดิฉันได้ ในกรณีเกิดปัญหา แค่การมาเซ็นเพื่อยืนยันว่าเป็นแม่ แม่เก็บทุกเม็ด ทั้งค่ารถ ค่ากิน ค่าหยุดงาน (สามอันนี้เข้าใจได้เพราะเป็นธุระของเรา) ค่าช๊อปปิ้ง ???  และค่าเซ็น ???  

จนวันนึงที่ถึงที่สุดแล้ว ดิฉันกับแฟน จึงตัดสินใจให้แม่เป็นเดือน ทั้งแม่เราแม่เค้า จากการคำนวณแล้ว น่าจะพอใช้สบายๆ เพราะอยู่กันแค่สองคนแม่กับน้อง (แฟนใหม่แม่ลงไป สามจังหวัดชายแดน) แค่เท่านั้น ไม่มีการขอเพิ่ม ไม่มีการเบิกล่วงหน้า ซึ่งแน่นอน ทุกเดือน ก็ยังขอเพิ่ม ขอเบิกล่วงหน้าสองเดือนสามเดือน  แต่ดิฉันก็ยังทำใจแข็งไม่ให้ และจะทะเลาะกันทุกเดือน ด้วยไม้ตายเดิมๆ “มิงไม่เห็นกรูเป็นแม่ใช่ไหม” ….. ทะเลาะกันหนักๆ จนแม่เคยบอกว่า ต่อไปมิงไม่ต้องให้กรูแล้ว เก็บเงินของมิงไว้เหอะ สุดท้ายพอใกล้ถึงวันก็จะโทรมาถาม ว่าจะโอนให้หรือยัง

แม่จะมีเรื่องราวแปลกๆ ทุกสามวัน วันนี้โทรมาบอกต้องให้เงินเจ้าหนี้แล้วเพราะสงสารเค้าเอาเงินเค้ามาแล้วไม่คืน สมมติว่าจำนวน 3000 ถ้า ดิฉันไม่ให้ อีกสามวันจะโทรมาใหม่ คราวนี้อาจเป็นขอค่าไฟหน่อยจะโดนตัดแล้ว แต่ก็จะจำนวน 3000 เท่าเดิม หรือถ้าไม่ให้อีก อีกสามวันก็จะโทรมาโดยเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ แต่จำนวนเงินเท่าเดิม

ซึ่งเงินที่แม่ขอดูเหมือนจะไม่เยอะ แต่ดิฉันก็ต้องมีเงินสำรองไว้พอสมควร เนื่องจาก ข้อแรก สามีหนีคดี ต้องมีเงินก้อนติดบัญชีอย่างน้อยหลักแสนเพื่อไว้ประกันตัวในกรณีที่โดนจับขึ้นมาซึ่งก็ไม่รู้ว่าวันไหน ข้อสอง ต้องการเก็บเงินก้อนซื้อบ้านสักหลัง เป็นความฝันของคนทั่วไป ข้อสามเก็บเงินให้ลูกเรียน ปีหน้าก็ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว ค่าใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน ไหนจะเงินหมุนเวียนในกิจการ ที่ต้องมีติดบัญชีไว้หลักแสนเหมือนกัน ทางฝั่งครอบครัวสามีก็ไม่ได้สบาย ถ้าเราให้แม่เรา เค้าก็ต้องให้แม่เค้าเหมือนกัน ยังไงก็กระเป๋าเดียวกัน ทำงานด้วยกัน

ดิฉันเคยเสนอให้แม่มาอยู่ด้วยกัน จะได้รู้ว่าหนี้ที่มีมากมายนักหนา ไปอยู่ที่ไหนย้ายไปกี่ที่ก็ต้องมีน่ะ มันมีมาได้ยังไง มันมาจากไหนกันแน่ มาอยู่ด้วยกันมันยังจะมีอีกไหม แล้วไม่ต้องทำงานเลย อยู่เฉยๆ จะให้เงินใช้กินฟรีอยู่ฟรีเลี้ยงดูปูเสื่อ ทั้งแม่ทั้งน้องส่งน้องเรียนเอง แม่ไม่เอา เพราะให้เหตุผลว่า ไม่อยากให้น้องไกลพ่อ (จังหวัดที่แม่อยู่เป็นจังหวัดท่องเที่ยวใกล้กับสามจังหวัดชายแดน) และรักผู้ชายคนนี้มากเพราะหน้าเหมือนแฟนเก่า ???

จึงอยากขอความเห็นหน่อยว่าสิ่งที่ดิฉันคิด และสิ่งที่ดิฉันทำอยู่มันถูกต้องหรือไม่
1.    ดิฉันรู้ว่าการทดแทนบุญคุณบุพการี ยังไงก็ทดแทนไม่หมดหรอกชาตินี้ แต่มันควรจะอยู่บนเหตุผลและความพอดี
2.    ทุกอย่างที่เกี่ยวกับแฟนใหม่ของแม่ดิฉันจะไม่ยื่นมือไปช่วยเลยสักนิด เพราะพูดตรงๆดิฉันไม่ชอบเค้า ไม่ชอบในทุกๆอย่างที่เป็นเค้า เคยพยายามเปิดใจแล้ว แต่รับกับพฤติกรรมไม่ได้จริงๆ
3.    ทุกครั้งที่แม่ขอ บอกเลยดิฉันมีความสามารถในการให้ แต่ดิฉันไม่ให้เพราะ รู้ว่าให้เท่าไรก็ไม่พอ

นับได้ว่าดิฉันเป็นลูกเนรคุณหรือไม่คะ ขอความเห็นตรงๆ แรงๆ ดีบอกว่าดี เลวบอกว่าเลว ดิฉันรับได้ ขอบคุณทุกๆความเห็นล่วงหน้าค่ะ


ปล.เพิ่มเติม...ตอนนี้ดิฉันอายุ 19 ปี ส่วนแม่อายุ 35 ปี
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่