สามปีในมหาวิทยาลัยนานพอ ที่จะทำให้ฉันค้นพบและรู้สึกว่า สิ่งที่ฉันกำลังเรียนอยู่นี่มัน.........

สามปีในมหาวิทยาลัยนี่นานพอ ที่จะทำให้ฉันค้นพบและรู้สึกว่า
สิ่งที่ฉันกำลังเรียนอยู่นี่มัน........



สุดยอดไปเลย!
ไม่ได้อวยคณะตัวเอง
แต่รู้สึกว่ากำลังหลงรักศาสตร์ที่ตัวเองเลือกและกำลังศึกษาอยู่อย่างจัง
ทั้งหลงรัก และหลงใหล

ทั้งที่จริงๆก่อนหน้านี้มีประโยคหนึ่งผุดพรายขึ้นมาในความคิดบ่อยๆ
"แน่ใจหรือที่คิดว่าใช่ ใช่สิ่งที่ใช่จริงๆ"
ถามคำถามนี้กับตัวเองอยู่เสมอ
ว่าฉันแน่ใจจริงๆหรือ

จนมาถึงตอนนี้ ปีสามแล้ว
รู้สึกว่าคณะและเอกมีกลวิธีที่ค่อยๆคลี่คลายคำตอบของคำถามนี้ให้ฉันทีละน้อย
และให้ฉันได้ค้นพบคำตอบ-ด้วยตัวฉันเอง

ตอนปีหนึ่ง ฉันเคยคิดว่าที่นี่ทำให้ฉันเกลียดการเขียนไปโดยปริยาย
เพราะตอนปีหนึ่งเจอวิชาที่ตอนนั้นมองว่าหินโคตร (ตอนนี้ก็คิดงั้นอยู่ = =) คือ ENG I

คือเรียนวิชานี้แล้วจากที่คิดว่าตัวเองพอได้อังกฤษอยู่บ้าง กลายเป็นว่ารู้สึกโง่สุดๆไปเลยทีเดียว เหอๆ

แล้วอิ้งวันนี่แหละที่มีเรียนการเขียน Paragraph (ย่อหน้า) ซึ่งฉันนี่มีปัญหากับไอ้นี่มากกกก
ทุกครั้งที่ส่งงานไปนี่โดน Please see me จากอาจารย์ฝรั่งทุกครั้งเลยอ่ะ
แล้วอีกคำที่ก็มีทุกครั้งในกระดาษด้วยเช่นกันคือ ABSTRACT!
คำพูดประจำตัวของอาจารย์คือ ABSTRACT MUST DIE !!!

คุณลองพูดแบบใส่อารมณ์ดูนะ ABSTRACT MUST DIE!!!!
มันได้อารมณ์แบบอิ ABSTRACT นี่ต้องตายจริงๆนะคุณ

เวลาเขียนงานส่งแต่ละครั้ง ฉันก็จะต้องบอกตัวเองไปด้วยว่า ABSTRACT MUST DIE
คือต้องเขียนงานให้ชัดเจน เคลียร์ ไม่ ABSTRACT น่ะคุณ
ตอนนั้นไม่เข้าใจจริงว่างานของฉันมัน ABSTRACT ตรงไหน
เขียนไปว่า This Palace is very beautiful ก็โดนปากกาแดงวงเบ้ง แล้วกำกับไปด้วยว่า ABSTRACT รับงานคืนแต่ละที่นี่น้ำตาจิไหล U U

ส่งงานไป สอบไป ก็ไม่ได้เคลียร์นักหรอกว่า อิ concept "ABSTRACT MUST DIE" ในงานเขียนของเรานี่มันคืออะไรกันแน่ รู้เพียงว่าอย่าเขียนอะไรเพ้อ มโนๆนักแค่นั้น

จนวันหนึ่งมีสอบเขียน Reason paragraph ของอิ้งวัน แล้วต่อด้วยสอบการเขียนย่อหน้าวิชาการใช้ภาษาไทยต่อเลย
ตอนสอบอิ้งก็ท่องวลีครูตลอด อย่า ABSTRACT นะเว้ย ไม่งั้นตกอีกนะเว้ย ABSTRACTไม่ได้นะเว้ยยย

แล้วพอออกจากห้องอิ้งปั๊ป ABSTRACT MUST DIE ยังลอยอยู่ในหัว
ก็เข้าห้องสอบไทยต่อ เปิดข้อสอบปุ๊ปก็เจอเลยค่ะ
ให้คำขึ้นต้นมา "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..." แล้วก็ให้เราเขียนต่อ
ค่ะ!
นี่มันต้องมโนหนักเลยนะ
แล้ว ABSTRACT MUST DIE นี่ยังฟุ้งอยู่ในหัว โอววว

สรุปวันนั้นทำอะไรไม่ได้ดีซักอย่าง
สอบเขียนไทยที่เราควรจะฟาด เพราะแนวเรามากๆอ่ะก็ทำไม่ได้ สลับโหมดไม่ทัน ไม่เป็น
ตอนนั้นเฟลมาก รู้สึกแย่กับการเขียนสุดๆ ทั้งไทยทั้งอิ้งเลย
เพราะมันให้ความรู้สึกที่ว่า "อยากทำให้ดี แต่ทำไม่ได้"
วันนั้นเป็นครั้งแรกเลยที่ร้องไห้หลังจากเข้ามาเรียนทีนี่ T T

มันเลยจำได้ขึ้นใจอ่ะ
จนเรากลัวการเขียนไปเลย ไม่กล้าคิดกล้าเขียนอะไรมาก กลัวผิด กลัวโดนว่า
ซึ่งนั่นไม่ดีเลย เพราะการที่เราอยู่คณะนี้
สิ่งหนึ่งที่เราควรทำให้ดีมากๆก็คือการเขียนอยู่แล้ว

กลายเป็นว่าฉันจะเขียน ก็ต่อเมื่อมีเหตุที่ต้องเขียนเท่านั้น (ก็พวกเปเป้อร์ รายงาน บทความที่ต้องส่งต่างๆ)
อยู่ๆให้มานั่งเขียนบทความ ความเรียงอะไรเหมือนเมื่อก่อนนี่ ฝันไปได้เลย
จนหลังๆมีเพื่อนทักว่า "สมัยมัธยมนี่แกเขียนอะไรให้ฉันอ่านเยอะกว่านี้อีกนะ"
ซึ่งก็จริง ก็เศร้ากันไป



จนมาถึงปีสาม ได้เรียนวิชาบังคับคณะอีกตัวหนึ่งคือ "การเขียนภาษาไทยเพื่อวิชาชีพ"
ช่วงเวลานั้นประทับใจ คือเรียนๆไป อยู่ๆอาจารย์ถามนิสิตในห้องขึ้นมาว่า ผมสอนพวกคุณเรื่องคำว่า "ดี" หรือยัง? ไอ้ฉันก็งง พวกเพื่อนก็เอ๋อก็ส่ายหน้าตอบไม่ไปพร้อมๆกัน

อาจารย์ก็อธิบายมาว่า

เวลาพวกคุณเขียนอะไรก็ตาม ถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงคำว่า "ดี"
เพราะ "ดี" เป็นคำที่ว่างเปล่า ไม่สื่ออะไรทั้งสิ้น ให้หลีกเลี่ยงคำนี้


วินาทีนั้น ฉันรุ้สึกเดจาวูมากๆ คิดถึง ABSTRACT MUST DIE ตอนปีหนึ่งสุดๆ
นี่มัน concept เดียวกับ ABSTRACT MUST DIE เลยนี่หว่า!!!


แล้วอาจารย์ก็ยกตัวอย่าง
-สามีฉันเป็นคนดี
-ละครเรื่องนี้ดี
-น้ำดื่มยี่ห้อนี้ดี
3 ประโยคนี้ไม่บอกอะไรเลย ดี? คืออะไร ดีอย่างไร?

แต่ถ้าคุณเขียนว่า
- สามีฉันเป็นคนรับผิดชอบครอบครัว ใส่ใจลูกเมีย ให้เกียรติฉันทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่เคยปันใจให้หญิงอื่น...
- ละครเรื่องนี้สนุก สะท้อนปัญหาสังคมอย่างมีชั้นเชิง ให้แง่คิดที่มีคุณค่า
- น้ำดื่มยี่ห้อนี้ปราศจากกลิ่นและรสชาติ ไร้สารปนเปื้อน มีค่า PH พอเหมาะ มีแร่ธาตุระดับที่เป็นคุณแก่ร่างกาย

ถ้าคุณบอกเช่นนี้จะชัดเจนกว่าไหม ถ้าคุณให้แค่คำว่า"ดี" มันจะบอกอะไรคุณได้
วินาทีนั้นนึกถึงตอนฉันเขียน This palace is very beautiful. ขึ้นมาเลย
beautiful ก็เหมือนคำว่า "ดี" คือไม่บอกอะไรเลย สวย, สวยยังไงล่ะ?

เหมือนแสงสว่างสาดส่องเข้ามาในหัวน่ะคุณ
ทีครูพูดแล้วพูดอีกว่า ABSTRACT MUST DIE มันเป็นอย่างนี้นี่เอง คือเช่นนี่เอง
มันซึ้งงงงงงงง
เราเข้าใจแล้ว และจะไม่ผิดซ้ำสองอีก

แล้วก็โยงไปถึงตอนที่เรียน ENG LIT
อาจารย์บอกว่า เรื่องเล่าที่มีเสน่ห์ คือเรื่องเล่าที่เขียนแบบ showing not telling
มันก็อย่างนี้ใช่ไหม

โอวววววววววววว
สุดยอดไปเลยยยยยยยยยยยย

ค่าที่งงมาหลายปีดีดัก
เหมือนทุกอย่างจะค่อยๆเฉลยด้วยตัวมันเอง

อ้อ แล้วเสน่ห์อีกอย่างของคณะนี้คือ (ความจริงคณะอื่นอาจเป็นงี้ด้วยก็ได้ แต่ฉันก็เรียนอยู่แค่คณะเดียวนี่นะ 555 ) ทุกสิ่งที่เรียนมันเชื่อมโยงกันหมดอ่ะ เราสนุกกับการที่ได้นำสิ่งที่ได้จากวิชาต่างๆมาร้อยเข้าด้วยกันมาก
วิชานี้พูดถึงอันนี้ เห้ยยยยย นี่มันมีในวิชานั้นนี่
โหยยยย สุดยอด
หรือ อ้อ ที่มันเป็นอย่างนี้เพราะนี่นี่เอง
คือแต่ละวิชามันจะสนับสนุนกันและกัน คล้ายๆเราเล่นต่อจิ๊กซอว์แหละคุณ
และนั่นทำให้เราสนุกกับการเรียนมากๆ
ทำให้เราอยากเรียน อยากรู้มากขึ้นเรื่อยๆอ่ะ

การเรียนรู้นี่มันไม่มีวันสิ้นสุดจริงๆ และความรู้ในโลกนี้ก็มีมากมายจริงๆ
ลองคิดดูนะคุณ แค่ในส่วนของประเทศไทย ภาษาไทยอย่างเดียวก็อลังการสิบห้าล้านแปดแล้ว



โอยยยยยย
สนุกจริงๆนะคุณ

ถึงได้บอกมันสุดยอด 555555
ฉันว่าตอนคุณเรียนคุณก็ต้องมีโมเม้นต์นี้มั่งแหละ


ฉันยังมีอีกหลายเรื่องเลย
ปีสามนี่เป้นปีที่พีคสุดจริงๆ (คิดเอาเอง) อาจเพราะเราพอจะมองเห็นภาพรวมขององค์ความรู้ ถ้าเป็นปมอยู่ คือมันก็กำลังจะคลายให้เราเห็นแก่นอ่ะ


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พี่ป.โทก็พูดให้ฟังว่า "ป.ตรีนี่มันเป็นการเรียนแค่เปลือกจริงๆ"


โอยยยยย
ความรู้!

มิน่า ครูเทพถึงบอกไว้
"ความรู้ประดุจวา- ริจะมาณทาง
ไป่ควรจะกั้นกาง กลก่อทำนบกัน"
(โคลงกลอนครุเทพ เล่ม๑)


ปอลิง๑ ที่มาเขียนยืดยาวทั้งหมดแค่อยากแชร์ประสบการณ์ ว่าบางทีมันจะต้องมีโมเมนต์ที่เราอาจจะผิดหวังในสิ่งที่ตัวเราเลือกเอง
แต่อยากบอกคุณว่า บางทีเราอาจจะต้องอดทนสักนิดเช่นกัน เพื่อพิสูจน์ว่าเราเลือกถูกต้องหรือไม่ (กว่าฉันจะมาถึงจุดที่รู้สึกแบบนี้ได้ ก็มีความคิดว่าอยากซิ่วหลายหนอยู่เหมือนกัน)
และอย่าหยุดที่จะเรียนรู้นะคะ (บอกตัวเองไปด้วย 5555)

ปอลิง๒ ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ให้ทายว่าฉันอยู่คณะอะไรคะ? ฮี่ๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่