.............คำพิพากษาของศาลโลก กรณีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนเขาพระวิหาร ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่พิพากษายืนตามคำตัดสินเมื่อ พ.ศ.2505 ว่าปราสาทเขาวิหารเป็นของกัมพูชา แม้จะบอกว่า แผนที่ 1 ต่อ 200000 ที่กัมพูชาใช้อ้างนั้น ไม่สามารถใช้ได้ เพราะเป็นการอ้างฝ่ายเดียว ซึ่งก็แปลว่าพื้นที่ทับซ้อนอื่นๆบริเวณใกล้เคียงประสาทเขาพระวิหารนั้น ศาลโลกไม่ได้ให้ข้อสรุป แต่ให้ทั้งสองชาติ ไปตกลงกันเอง
แต่พื้นที่ของเขาพระวิหารมีพื้นที่เท่าไร อ่านคำแปลคำพิพากษา ก็จับใจความได้ว่า พื้นที่เขาพระวิหาร เริ่มจากเชิงเขาภูมะเขือ ซึ่งคำพิพากษา พ.ศ.2505 โดยอาศัยการให้การในกระบวนการพิจารณาคดีเดิมปรากฏว่าขอบเขตของยอดเขาพระวิหาร ด้านทิศใต้ของเส้นแผนที่ภาคผนวก 1 ประกอบไปด้วยสัณฐานทางธรรมชาติต่างๆ ในทางทิศตะวันออกทิศใต้ และทิศตะวันออกเฉียงใต้ ยอดเขาทิ้งตัวลงเป็นหน้าผาชันไปสู่ที่ราบของกัมพูชา คู่กรณีเห็นตรงกันเมื่อ พ.ศ.2505 ว่าหน้าผานี้และแผ่นดินที่เชิงหน้าผา อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาในทุกกรณี ในทางทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แผ่นดินทิ้งตัวลงเป็นแนวลาดชันน้อยกว่าหน้าผา แต่มีสัณฐานเด่นชัดลงสู่หุบเขาซึ่งแยกพระวิหารจากภูเขาใกล้เคียง คือ พนมตรับ (ภูมะเขือ) อันเป็นหุบเขาซึ่งทิ้งตัวลงทางทิศใต้ไปสู่ที่ราบของกัมพูชา ด้วยเหตุผลที่ให้ไว้แล้ว ศาลเห็นว่าพนมตรับ (ภูมะเขือ) อยู่นอกพื้นที่พิพาท และคำพิพากษาปีพ.ศ.2505 มิได้พิจารณาประเด็นที่ว่าพนมตรับตั้งอยู่ในดินแดนไทยหรือกัมพูชา ดังนั้น ศาลเห็นว่ายอดเขาพระวิหารสิ้นสุดที่เชิงเขา ภูมะเขือ กล่าวคือ ที่ที่แผ่นดินเริ่มยกตัวขึ้นจากหุบเขานั้นทางด้านทิศเหนือ ขอบเขตของยอดเขาคือเส้นแผ่นที่ภาคผนวก1จุดหนึ่งด้านตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทซึ่งเส้นนั้นบรรจบกับหน้าผา จนถึงจุดหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งแผ่นดินเริ่มยกตัวขึ้นจากหุบเขา ที่เชิงเขาภูมะเขือ
และศาลก็ยังย้ำ ส่วนข้อปฏิบัติการของคำพิพากษาปี 2505 กำหนดให้ไทยถอนบุคลกรที่ได้ส่งไปประจำบนยอดเขาจากดินแดนทั้งหมดของยอดเขานั้น ดังที่ได้นิยามไว้กลับไปยังดินแดนไทย
แปลเป็นภาษาชาวบ้านเข้าใจง่ายๆว่า พื้นที่เขาพระวิหาร ศาลโลกได้ตัดสินแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 ว่าเป็นของกัมพูชา แต่ไทยไม่ยอมรับ และส่งเจ้าหน้าที่ ทหาร เข้าไปประจำการอยู่ที่นั้นเรื่อยมา มาครั้งนี้ ศาลโลกก็ตัดสินเหมือนเดิม และให้ไทยถอนเจ้าหน้าที่ออก เพราะมันไม่ใช่พื้นที่ของไทยตั้งแต่คำตัดสิน พ.ศ.2505
ไทยเสียพื้นที่เพิ่มไหม ? ถ้าอ่านจากคำพิพากษาแล้ว ก็ต้องตอบว่า
ไม่ได้เสียเพิ่ม เพราะปราสาทเขาพระวิหาร ไม่ได้เป็นของไทยมาตั้งแต่แรก จะถือว่าเสียพื้นที่ได้อย่างไร
แล้วเสียพื้นที่เพิ่มไปกี่ตารางกิโลเมตร ?
ก็ไม่มีบทสรุปจากคำพิพากษา เพราะศาลโลกตัดสินเฉพาะพื้นที่เขาพระวิหาร ส่วนพื้นที่ทับซ้อนอื่นให้ 2 ประเทศไปตกลงกันเอง
คำตัดสินแบบนี้ ไทยก็เสียเปรียบกัมพูชาสิ ? จะถือว่าเสียเปรียบได้อย่างไร ในเมื่อปราสาทเขาพระวิหารมันไม่ใช่ของไทยมาตั้งแต่ต้น บรรพชนของไทยตาม2ทฤษฎี ถือยึดถือกันตอนนี้ คือ ทฤษฎีชาวไทยใหญ่ที่อพยพมาจาก เทิอกเขาอัลไต กับทฤษฎีว่าเป็นเชื้อชาติสุวรรณภูมิที่มีถิ่นฐานอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ชนชาติขอมเจ้าของวัฒนธรรมปราสาทเขาพระวิหารเลย ซึ่งถ้าศาลโลกตัดสินตามศิลปวัฒนธรรมแล้วล่ะก็ เราต้องเสียพื้นที่อีกหลายจุดแน่ และคำตัดสินนี้ก็มีจุดที่เราได้เปรียบในการจัดการพื้นที่ทับซ้อนอื่นระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะศาลโลกระบุแล้วว่า การที่กัมพูชาในแผนที่ 1 ต่อ 200000 อ้างสิทธิในพื้นที่นั้น ไม่สามารถกระทำได้ เพราะเป็นการอ้างสิทธิฝ่ายเดียว
ประเทศไทยควรยอมรับคำตัดสินของศาลโลกไหม ? ตามความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว ก็ควรยอมรับได้แล้วว่า พื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร ไม่ใช่ของไทย เราไม่ควรดื้อแพ่งตะแบงคิดว่า เฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา(สารภาพ แต่ก่อนผมก็คิดแบบนั้น) การส่งทหารเข้าไปตรึงพื้นที่ ที่ไม่ใช่ของเราตั้งแต่ พ.ศ.2505 ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย เพราะเขาพระวิหาร ให้เขมรฟ้องศาลโลกกี่ครั้ง ไทยก็แพ้อยู่ดี ไอ้การที่จะให้ศาลโลกเปลี่ยนคำตัดสินได้ ก็ต้องหาหลักฐานการยอมรับจาก 2 ประเทศ ว่าเคยมีการทำข้อตกลงที่ชัดเจนไว้ ว่า 2 ประเทศยอมรับว่าพื้นที่นี้เป็นของไทย ซึ่งถ้ามันมีจริง ป่านนี้คณะทำงานของไทยเอาให้ศาลพิจารณาไปนานแล้ว
แล้วถ้าเราไม่ยอมรับการตัดสินของศาลโลกล่ะ จะเป็นยังไง ? ก็ถ้ายังยืนกรานตรึงเจ้าหน้าที่ไว้ในพื้นที่เหมือนเดิม อย่างที่เคยดื้อแพ่งมาเมื่อตอน พ.ศ.2505 ก็คงต้องรบกับเขมร เพราะทางฝั่งโน้นคงไม่ยอมให้ไทยตีมึนเหมือนเดิมอีก และการเจรจาข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนอื่นๆก็ลืมๆไปได้เลย ว่าจะตกลงกันได้
และหากการปะทะกันรุนแรงและยกระดับเป็นสงครามระหว่างประเทศ เราก็ไม่ต้องหวังว่าชาติอื่นในโลกจะเข้าข้างไทย เพราะคำตัดสินของศาลโลกมันเห็นอยู่ทนโท่ ว่ามันไม่ใช่พื้นที่ของเรา แต่ชาติอื่นๆจะเข้าข้างกัมพูชา ในกรณีที่รบกันแล้วเป็นฝ่ายเพี้ยงพล้ำไทย เราก็คงต้องเกณฑ์นักรบชุดเหลืองที่เคยโพกผ้าพันศีรษะว่า “กู้ชาติ” ออกไปรบ
ทุกสังคมในโลกนี้ล้วนย่อมมีกฎเกณฑ์หรือ “กติกา” ในสังคมระดับประเทศ ก็ถือเรื่องความเป็น “อารยประเทศ” Civilized country หมายถึง ประเทศที่เจริญด้วยขนบธรรมเนียมอันดี, ประเทศที่พ้นจากความเป็นป่าเถื่อน ประเทศไทยก็ไม่สมควรใช้ความเคยชินของคนในชาติ ที่ใช้แต่ “กติกู” มาตลอด
ดังนั้น ถ้ารัฐบาลประกาศยอมรับการตัดสินของศาลโลก ผมจะไม่ปฏิกิริยาคัดค้านหรือต่อต้านเลย เพราะการทำเช่นนั้น ทำให้ไทยเป็นชาติอารยประเทศ มิได้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างทุกวันนี้ กติกาไม่ถูกใจ ก็เอาปืนเอารถถังออกมาขู่ แล้วแก้กติกาตามอำเภอใจ รัฐบาลไม่ถูกใจ ก็ออกมาเป่านกหวีดไล่ โดยไม่สนใจคนอื่น เฮ้อ.......ประเทศชาติ
เขาพระวิหาร กติกาไทย กติกาโลก สิ่งบ่งชี้ความเป็นอารยประเทศ
แต่พื้นที่ของเขาพระวิหารมีพื้นที่เท่าไร อ่านคำแปลคำพิพากษา ก็จับใจความได้ว่า พื้นที่เขาพระวิหาร เริ่มจากเชิงเขาภูมะเขือ ซึ่งคำพิพากษา พ.ศ.2505 โดยอาศัยการให้การในกระบวนการพิจารณาคดีเดิมปรากฏว่าขอบเขตของยอดเขาพระวิหาร ด้านทิศใต้ของเส้นแผนที่ภาคผนวก 1 ประกอบไปด้วยสัณฐานทางธรรมชาติต่างๆ ในทางทิศตะวันออกทิศใต้ และทิศตะวันออกเฉียงใต้ ยอดเขาทิ้งตัวลงเป็นหน้าผาชันไปสู่ที่ราบของกัมพูชา คู่กรณีเห็นตรงกันเมื่อ พ.ศ.2505 ว่าหน้าผานี้และแผ่นดินที่เชิงหน้าผา อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาในทุกกรณี ในทางทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แผ่นดินทิ้งตัวลงเป็นแนวลาดชันน้อยกว่าหน้าผา แต่มีสัณฐานเด่นชัดลงสู่หุบเขาซึ่งแยกพระวิหารจากภูเขาใกล้เคียง คือ พนมตรับ (ภูมะเขือ) อันเป็นหุบเขาซึ่งทิ้งตัวลงทางทิศใต้ไปสู่ที่ราบของกัมพูชา ด้วยเหตุผลที่ให้ไว้แล้ว ศาลเห็นว่าพนมตรับ (ภูมะเขือ) อยู่นอกพื้นที่พิพาท และคำพิพากษาปีพ.ศ.2505 มิได้พิจารณาประเด็นที่ว่าพนมตรับตั้งอยู่ในดินแดนไทยหรือกัมพูชา ดังนั้น ศาลเห็นว่ายอดเขาพระวิหารสิ้นสุดที่เชิงเขา ภูมะเขือ กล่าวคือ ที่ที่แผ่นดินเริ่มยกตัวขึ้นจากหุบเขานั้นทางด้านทิศเหนือ ขอบเขตของยอดเขาคือเส้นแผ่นที่ภาคผนวก1จุดหนึ่งด้านตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทซึ่งเส้นนั้นบรรจบกับหน้าผา จนถึงจุดหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งแผ่นดินเริ่มยกตัวขึ้นจากหุบเขา ที่เชิงเขาภูมะเขือ
และศาลก็ยังย้ำ ส่วนข้อปฏิบัติการของคำพิพากษาปี 2505 กำหนดให้ไทยถอนบุคลกรที่ได้ส่งไปประจำบนยอดเขาจากดินแดนทั้งหมดของยอดเขานั้น ดังที่ได้นิยามไว้กลับไปยังดินแดนไทย
แปลเป็นภาษาชาวบ้านเข้าใจง่ายๆว่า พื้นที่เขาพระวิหาร ศาลโลกได้ตัดสินแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 ว่าเป็นของกัมพูชา แต่ไทยไม่ยอมรับ และส่งเจ้าหน้าที่ ทหาร เข้าไปประจำการอยู่ที่นั้นเรื่อยมา มาครั้งนี้ ศาลโลกก็ตัดสินเหมือนเดิม และให้ไทยถอนเจ้าหน้าที่ออก เพราะมันไม่ใช่พื้นที่ของไทยตั้งแต่คำตัดสิน พ.ศ.2505
ไทยเสียพื้นที่เพิ่มไหม ? ถ้าอ่านจากคำพิพากษาแล้ว ก็ต้องตอบว่า ไม่ได้เสียเพิ่ม เพราะปราสาทเขาพระวิหาร ไม่ได้เป็นของไทยมาตั้งแต่แรก จะถือว่าเสียพื้นที่ได้อย่างไร
แล้วเสียพื้นที่เพิ่มไปกี่ตารางกิโลเมตร ? ก็ไม่มีบทสรุปจากคำพิพากษา เพราะศาลโลกตัดสินเฉพาะพื้นที่เขาพระวิหาร ส่วนพื้นที่ทับซ้อนอื่นให้ 2 ประเทศไปตกลงกันเอง
คำตัดสินแบบนี้ ไทยก็เสียเปรียบกัมพูชาสิ ? จะถือว่าเสียเปรียบได้อย่างไร ในเมื่อปราสาทเขาพระวิหารมันไม่ใช่ของไทยมาตั้งแต่ต้น บรรพชนของไทยตาม2ทฤษฎี ถือยึดถือกันตอนนี้ คือ ทฤษฎีชาวไทยใหญ่ที่อพยพมาจาก เทิอกเขาอัลไต กับทฤษฎีว่าเป็นเชื้อชาติสุวรรณภูมิที่มีถิ่นฐานอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ชนชาติขอมเจ้าของวัฒนธรรมปราสาทเขาพระวิหารเลย ซึ่งถ้าศาลโลกตัดสินตามศิลปวัฒนธรรมแล้วล่ะก็ เราต้องเสียพื้นที่อีกหลายจุดแน่ และคำตัดสินนี้ก็มีจุดที่เราได้เปรียบในการจัดการพื้นที่ทับซ้อนอื่นระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะศาลโลกระบุแล้วว่า การที่กัมพูชาในแผนที่ 1 ต่อ 200000 อ้างสิทธิในพื้นที่นั้น ไม่สามารถกระทำได้ เพราะเป็นการอ้างสิทธิฝ่ายเดียว
ประเทศไทยควรยอมรับคำตัดสินของศาลโลกไหม ? ตามความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว ก็ควรยอมรับได้แล้วว่า พื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร ไม่ใช่ของไทย เราไม่ควรดื้อแพ่งตะแบงคิดว่า เฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา(สารภาพ แต่ก่อนผมก็คิดแบบนั้น) การส่งทหารเข้าไปตรึงพื้นที่ ที่ไม่ใช่ของเราตั้งแต่ พ.ศ.2505 ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย เพราะเขาพระวิหาร ให้เขมรฟ้องศาลโลกกี่ครั้ง ไทยก็แพ้อยู่ดี ไอ้การที่จะให้ศาลโลกเปลี่ยนคำตัดสินได้ ก็ต้องหาหลักฐานการยอมรับจาก 2 ประเทศ ว่าเคยมีการทำข้อตกลงที่ชัดเจนไว้ ว่า 2 ประเทศยอมรับว่าพื้นที่นี้เป็นของไทย ซึ่งถ้ามันมีจริง ป่านนี้คณะทำงานของไทยเอาให้ศาลพิจารณาไปนานแล้ว
แล้วถ้าเราไม่ยอมรับการตัดสินของศาลโลกล่ะ จะเป็นยังไง ? ก็ถ้ายังยืนกรานตรึงเจ้าหน้าที่ไว้ในพื้นที่เหมือนเดิม อย่างที่เคยดื้อแพ่งมาเมื่อตอน พ.ศ.2505 ก็คงต้องรบกับเขมร เพราะทางฝั่งโน้นคงไม่ยอมให้ไทยตีมึนเหมือนเดิมอีก และการเจรจาข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนอื่นๆก็ลืมๆไปได้เลย ว่าจะตกลงกันได้
และหากการปะทะกันรุนแรงและยกระดับเป็นสงครามระหว่างประเทศ เราก็ไม่ต้องหวังว่าชาติอื่นในโลกจะเข้าข้างไทย เพราะคำตัดสินของศาลโลกมันเห็นอยู่ทนโท่ ว่ามันไม่ใช่พื้นที่ของเรา แต่ชาติอื่นๆจะเข้าข้างกัมพูชา ในกรณีที่รบกันแล้วเป็นฝ่ายเพี้ยงพล้ำไทย เราก็คงต้องเกณฑ์นักรบชุดเหลืองที่เคยโพกผ้าพันศีรษะว่า “กู้ชาติ” ออกไปรบ
ทุกสังคมในโลกนี้ล้วนย่อมมีกฎเกณฑ์หรือ “กติกา” ในสังคมระดับประเทศ ก็ถือเรื่องความเป็น “อารยประเทศ” Civilized country หมายถึง ประเทศที่เจริญด้วยขนบธรรมเนียมอันดี, ประเทศที่พ้นจากความเป็นป่าเถื่อน ประเทศไทยก็ไม่สมควรใช้ความเคยชินของคนในชาติ ที่ใช้แต่ “กติกู” มาตลอด
ดังนั้น ถ้ารัฐบาลประกาศยอมรับการตัดสินของศาลโลก ผมจะไม่ปฏิกิริยาคัดค้านหรือต่อต้านเลย เพราะการทำเช่นนั้น ทำให้ไทยเป็นชาติอารยประเทศ มิได้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างทุกวันนี้ กติกาไม่ถูกใจ ก็เอาปืนเอารถถังออกมาขู่ แล้วแก้กติกาตามอำเภอใจ รัฐบาลไม่ถูกใจ ก็ออกมาเป่านกหวีดไล่ โดยไม่สนใจคนอื่น เฮ้อ.......ประเทศชาติ