ทฤษฏีแห่งสรรพสิ่ง มีจริงในพุทธศาสนา

ทฤษฏีแห่งสรรพสิ่ง มีจริงในพุทธศาสนา (โอฬาร เพียรธรรม)

          บทความนี้เป็นการสรุปอย่างสั้นที่สุด เรื่องทฤษฏีแห่งสรรพสิ่ง (Theory of   Everything) ซึ่งเรื่องนี้มีนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะของโลก นับตั้งแต่ ไอน์สไตน์ และอีกหลายท่านต่อมา จนถึง สตีเฟน ฮอว์คิง ในปัจจุบันพยายามที่จะหาคำตอบ ของปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ในเรื่องต่าง ๆ ด้วยสมการเพียงชุดเดียว (เช่น สมการที่จะรวมแรงทางฟิสิกส์ 4 แรง เป็นแรงเดียว หรือสมการที่จะให้ทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไป ทำงานร่วมกับฟิสิกส์ควอนตัมได้ไม่ขัดกัน) แต่ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่แท้จริง หรือ คำตอบสุดท้ายได้

          สาระที่จะกล่าวและข้อสรุป น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องในกรอบกว้าง ๆ ได้ โดยจะเชื่อมโยงกับความรู้ในฟิสิกส์ปัจจุบันบ้าง แต่ที่สำคัญกว่าคือ จะเชื่อมโยงกับความจริงของธรรมะในพุทธศาสนา ซึ่งเชื่อว่า เป็นปรมัตถ์สัจจะ (Ultimate Truth) ที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้

          ขอเริ่มต้นด้วยข้อมูลในพุทธศาสนาที่แสดงพระสัพพัญญูของพระพุทธเจ้า ข้อมูลทางฟิสิกส์ที่เกี่ยวข้อง และความเห็นของนายโอฬาร เพียรธรรม (ผู้เขียน) ที่เขียนไว้ในหนังสือ "ความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง" (สนพ.แสงดาว พ.ศ. 2552) โดยขอสรุปเป็นข้อ ๆ ดังนี้ คือ

          1. ในคาถาปลินิคัณฑุ  ในพระอภิธรรม พระพุทธเจ้าเคยอธิบายขนาดของปรมาณู โดยแบ่งทอนความยาวเมล็ดข้าวเปลือกลง 6 ครั้ง ด้วยตัวเลข  7, 7, 36, 36, 36, 36 เมื่อมาคูณกันได้ 82.3  ล้านส่วน ทั้งนี้จากการคำนวณ ใช้ค่าเฉลี่ยความยาวเมล็ดข้าวเปลือก จะได้ 1 ปรมาณู มีขนาดเท่ากับสิบยกกำลังลบแปดเซนติเมตร (10-8 ซม.) ซึ่งเท่ากับขนาดเฉลี่ยของอะตอมที่วิทยาศาสตร์ระบุไว้พอดี นอกจากนี้พระองค์ระบุว่า ปรมาณูมิได้เป็นแท่งทึบ มีช่องว่างภายในมากมาย ซึ่งตรงกับคุณลักษณะของอะตอมจริง ๆ

          2. ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในพุทธศาสนา ที่มีอยู่ในทุกปรมาณู (ในแง่อภิธรรม มิใช่การปฏิบัติภาวนา) และเป็นคุณสมบัติของธาตุ มิใช่ตัวธาตุโดยตรง และเมื่อพิจารณา คำแปลของธาตุทั้ง 4 แล้ว (พจนานุกรม พุทธศาสตร์ โดยพระพรหม คุณาภรณ์ – ป.อ.ปยุตฺ โต) ผู้เขียนมีความเห็นว่า ธาตุทั้ง 4 นี้ เชื่อมโยงกับ 4 แรง ทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในทุกอะตอม กล่าวคือ ธาตุดินโยงกับแรงโน้มถ่วง ธาตุน้ำโยงกับแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม ธาตุลมโยงกับแรงแม่เหล็กไฟฟ้า และธาตุไฟโยงกับแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน

          ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจคือ สาเหตุการเกิดแผ่นดินไหวในพุทธศาสนา  (1 ใน  8 ข้อ) อธิบายว่า เพราะดินตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม (ไม่กล่าวถึงไฟ) เมื่อลมแปรปรวน จึงทำให้น้ำแปรปรวน มีผลให้ (แผ่น) ดินสั่นไหว ฟังดูแปลกไม่เข้าใจ แต่ถ้าลองนึกภาพ โดยมองตรงลงไปใต้โลก ตาจะมองผ่านชั้นดิน/หิน (ดิน) ก่อน แล้วทะลุผ่านเนื้อโลกที่หลอมเหลว ซึ่งสะสมพลังงานระดับนิวเคลียร์ (น้ำ) และท้ายสุดก็ถึงแกนโลก ที่ทำให้เกิดแรงแม่เหล็กไฟฟ้า (ลม) เรียงชั้นตามที่กล่าวมาจริง และวิทยาศาสตร์ใหม่ ก็พบว่า การแปรปรวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหวจริง ๆ  

          3. วิทยาศาสตร์ใหม่ แสดงคุณสมบัติของอนุภาคควอนตัม (ส่วนย่อยของโปรตอน นิวตรอน ในอะตอม) ที่แปลกประหลาดมากมาย เช่น เป็นได้ทั้งอนุภาค และคลื่น (ทั้งสสารและพลังงาน) และระหว่างอนุภาคด้วยกันจะรับส่งข้อมูลสื่อสารกันด้วยความเร็วมากกว่าแสง ( EPR Experiments) ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนสรุปได้ว่า อนุภาคควอนตัม มีตัวรู้ คือ จิตด้วย โดยสรุปก็คือ สสารทุกอย่าง (ประกอบขึ้นจากอะตอม- อนุภาพควอนตัม) ย่อมมีตัวรู้ การทดลองของ Mr.Masaru  Emoto ในหนังสือ The Hidden Messages in Water Crystals ช่วยยืนยันข้อมูลนี้ด้วย

          อาจสรุปในทางพุทธศาสนาได้ว่า ทุกปรมาณูมีครบ 6 ธาตุ คือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และ วิญญาณธาตุ หรือในทางวิทยาศาสตร์ทุกอะตอม ก็จะประกอบด้วย 4 แรงข้างต้น รวมกับช่องว่าง (space) และตัวรู้ (consciousness) ซึ่งสอดคล้องกัน

          4. จาก EPR Experiments ในเจนีวา ผู้เขียนได้เอาผลการทดลองมาขยายต่อ เพื่อหาว่า อนุภาคควอนตัม (ที่เชื่อว่ามี จิต-ตัวรู้ ด้วย) รับส่งข้อมูลกัน ด้วยความเร็วเท่าใด ก็ได้ผลลัพธ์ว่า อนุภาคดังกล่าว ส่งข้อมูลกันด้วยความเร็ว 48,000x106 กม./วินาที (สี่หมื่นแปดพันล้าน กม./วินาที- เร็วกว่าแสง 160,000 เท่า) และอนุภาคใช้เวลาในการตัดสินใจ (รับข้อมูล และดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง) เท่ากับ 5x10-11 วินาที (5 ในแสนล้านส่วนของ 1 วินาที) ซึ่งในช่วงเวลานี้ จิตจะเกิดดับไปแล้วประมาณ 5,000 รอบ (คำนวณจากข้อมูลในพุทธศาสนา)

          5. จากคุณสมบัติของอนุภาคควอนตัมที่กล่าวมา ทำให้วิทยาศาสตร์ช่วยยืนยันคำสอนในพุทธศาสนาหลายเรื่อง เช่น ไตรลักษณ์ ที่ว่า ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง) ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (ทุกขัง) และไม่มีตัวตนที่แท้จริง (อนัตตา) และหลักอิทัปปัจจยตา ที่ว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็น เหตุปัจจัยต่อเนื่องกันไปทั้งนั้น ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ได้โดยตัวของมันเองจริง ๆ หลักปฏิจจสมุปบาท ที่ว่า อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร  สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ และต่อ ๆ ไปนั้น คนทั่วไปเข้าใจว่าใช้ เฉพาะสิ่งมีชีวิต เช่น มนุษย์ แต่ที่จริงแล้วใช้ได้กับสรรพสิ่งทั่วไปเช่นกัน ซึ่งจะกล่าวต่อไป

          6. ข้อนี้เสริมให้กว้างขึ้นว่า เมื่ออนุภาคควอนตัม คือ ทุกสรรพสิ่งมีตัวรู้ บันทึกข้อมูลจากพลังจิตใด ๆ ก็ได้นั้น ทำให้อธิบายปรากฏการณ์ที่ดูลึกลับเหลือเชื่อได้อย่างมากมาย เช่น ทำไมน้ำมนต์ พระเครื่อง ฯลฯ จึงศักดิ์สิทธิ์ได้ รวมทั้งความเป็นจริงของไสยศาสตร์ ที่เคยเห็น เคยฟังกันมาด้วย และที่จริงเรื่องอภินิหารต่าง ๆ นั้น ก็มีอยู่ในทุกชาติ ทุกศาสนาอยู่แล้ว  

          7. โหราศาสตร์ มีจริงและโยงกับกฎแห่งกรรมโดยตรง อธิบายสั้น ๆ ได้ว่า การทำกรรมต้องมีเจตนาทางจิต และก่อนที่กรรมจะให้ผล (วิบาก) ต้องมีขบวนการของกรรมทำงานระหว่างกลาง (อาจใช้เวลาเป็นปี นับหลายสิบปีหรือข้ามภพชาติก็ได้) กฎแห่งกรรม ทำงานได้จากพลังกรรม ชั่ว-ดี ที่บันทึกไว้ในจิตผู้เกี่ยวข้อง ผู้รับรู้ทุกคน และบันทึกในทุกสรรพสิ่งโดยรอบทั่วโลก ทั้งจักรวาลฯ และเมื่อถึงเวลาเหมาะสม พลังกรรมที่ปล่อยคายออกมาจากสรรพสิ่งทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตจะทำให้เกิดผลของกรรมขึ้น ขอขยายความให้เห็นชัดขึ้นว่า มนุษย์นั้นทำกรรมต่อสรรพสิ่งจริง ทั้งต่อมนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ ทำให้น้ำเสีย อากาศเสีย สูบน้ำมัน น้ำบาดาล ขุดแร่ธาตุมาใช้ ฯลฯ ทำให้ธรรมชาติขาดสมดุล  ผลกรรมที่มนุษย์ได้รับ จึงมาจากสิ่งมีชีวิต และธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตประกอบกัน นี่เป็นคำอธิบายโดยกว้าง ๆ และง่ายที่สุด หากเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่ง มีจิต – ตัวรู้ มิฉะนั้น ก็อธิบายไม่ได้ พุทธศาสนา จึงระบุว่า กฎแห่งกรรมเป็นหนึ่งใน อจินไตย

          โหราศาสตร์ เป็นวิชาเกิดจากการสังเกตปรากฏการณ์ ขณะที่ขบวนการของกรรมทำงานเทียบกับผลกรรมที่เกิดขึ้น แล้วจดบันทึกทำสถิติและสร้างหลักเกณฑ์การทำนายขึ้นมา (การผูกดวง การดูลายมือ การอ่านไพ่ ฯ มีพื้นฐานจากหลักการนี้) จะเห็นว่า โหราศาสตร์ไม่จำเป็นต้องรู้ที่มาของกรรม ไม่ต้องรู้จักกฎแห่งกรรม วิชานี้จึงเกิดได้ในทุกชาติ ทุกศาสนา

          8. ทฤษฏีสตริง (String Theory) ที่กล่าวถึงอนุภาคพื้นฐานที่เล็กกว่า อะตอม หรือ ควอนตัม นับ ล้านล้าน ล้าน ล้านเท่า อนุภาคนี้ไม่เป็นจุด มีมิติเดียวคือ ความยาว และตัวสตริงนี้จะสั่นอยู่ตลอดเวลาด้วยความถี่ต่าง ๆ กัน การรวมตัวของสตริง ในรูปแบบต่าง ๆ จะก่อให้เกินอนุภาคที่ใหญ่ขึ้น ๆ จนเป็น อะตอม และสสารต่าง ๆ ทฤษฏีสตริงได้มีการคำนวณไว้ว่า จักรวาล หรือ เอกภพ จะต้องมีมิติมาก 10 ถึง 26 มิติ (โดยซ้อนม้วนตัวอยู่ในเอกภพ 4 มิตินี้) ทฤษฏีจึงจะเป็นจริงได้

          ทฤษฏีสตริง น่าจะเชื่อมโยงและพิสูจน์การมีอยู่จริงของภพภูมิ ของโอปปาติกะในพุทธศาสนาได้ ซึ่งมีอยู่ 29 ภพภูมิ และแต่ละภพภูมิ ก็แยกกันได้ด้วยความถี่ (ใช้คำ Vibration) ที่แตกต่างกันออกไป (มีเกร็ดเล็กน้อย ในหนังสือ "หลวงปู่ฝากไว้" ที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ตอบข้อสงสัยที่ว่า เทวดาจำนวนเป็นล้านเป็นโกฏิองค์มาฟังพระพุทธเจ้าเทศนาพร้อมกันได้อย่างไร โดยหลวงปู่ ตอบว่า ก็ในเนื้อที่ขนาด 1 ปรมาณูนั้น เทวดาอยู่ได้สบาย ๆ ถึง 8 องค์ ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฏีสตริง เพราะกายของเทวดา ถ้าประกอบด้วยอนุภาคสตริง เทวดาทั้งองค์ก็เล็กกว่าอะตอมมาก ๆ อยู่แล้ว)

          9. ข้อสุดท้ายนี้ จะยืนยันจากข้อมูลในพุทธศาสนาเองด้วยว่า ในวัตถุมีตัวรู้จริงคือ จากหนังสือไกวัลยธรรม โดยท่านพุทธทาส ภิกขุ (ธรรมสภา พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2552)เป็นการบรรยายครั้งที่ 7 (19 พ.ค. 2516) และหนังสือประวัติชีวิต การงาน หลักธรรม ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล (ธรรมสภา พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2545) ทั้ง 2 ท่าน อธิบายว่า วัตถุทุกอย่าง มีจิตตัวรู้  พื้นฐานอยู่ และพัฒนาขึ้นไปได้เมื่อธาตุต่าง ๆ รวมตัวกันเป็นชีวิต พัฒนาจากต่ำสุด จนเป็นมนุษย์ จนถึงพุทธะได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่