เราอายุ 21 ปี เป็นคนค่อนข้างเรียบร้อย อารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี คำหยาบไม่พูดเลย แต่ถ้าต้องทำกิจกรรมกล้าแสดงออก(ที่ถูกบังคับ)ก็ทำได้เต็มที่เหมือนกัน เป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบแต่งหน้าแต่งตัวเวลาไปไหนกับครอบครัว แต่ถ้าไปกับคนอื่นก็แต่งบ้างจะได้ไม่ดูเป็นป้าจนเกินไป(อันนี้ผู้ใหญ่ท่านนึงพูด ทั้งๆ ที่มีแต่คนบอกว่าเราหน้าเหมือนเด็กม.ปลาย) ตอนเป็นเด็กเราไม่ใช่เด็กประเภทที่อยากได้อะไรก็ขอผู้ใหญ่ เพราะเคยขอแล้วไม่ได้เราก็จะจำฝังใจไปเลย จะขอแต่เรื่องจำเป็น จะได้ก็ต่อเมื่อผู้ใหญ่อยากให้เท่านั้น เพราะฉะนั้นวัยเด็กเราจึงไม่ได้เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักหรือรักสวยรักงามแต่อย่างใด จะของเล่นหรือโทรศัพท์มือถือเราก็มักจะล้าหลังกว่าเพื่อนเสมอ (ตอนเด็กๆ แอบน้อยใจเพราะใครๆ ก็มองว่าพ่อแม่เรามีเงิน แต่เราก็ไม่ได้บ่นอะไร แค่สงสัยว่าตัวเองทำไมดูจนๆ ก็ไม่รู้ คิดถึงตอนนั้นแล้วฮาตัวเอง 555) ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันเราไม่เคยเรียนเกรดต่ำกว่า 3.80 ครอบครัวก็ไม่เคยกดดันเราเรื่องการเรียน ท่านบอกว่าเรียนได้แค่ไหนก็แค่นั้น ตรงนี้จึงทำให้เราภูมิใจว่าผู้ใหญ่จะมาว่าเราเรื่องนี้ไม่ได้เพราะเราพยายามมาด้วยตัวเองโดยตลอดไม่เคยเรียนพิเศษเลยด้วย (พึ่งแต่ครู เพื่อน และห้องสมุด)
ทั้งหมดที่กลายมาเป็นบุคลิกแบบนี้เราเชื่อว่าเป็นเพราะเราถูกบ่มเพาะมาจากครอบครัวทั้งนั้น ดังนั้นเราจึงไม่เข้าใจเลยว่าผู้ใหญ่บางคนที่บ้านอยากให้เรามาเปลี่ยนอะไรตอนนี้ เราคิดว่าตัวเองโตพอที่จะรู้ว่าเวลาไหน สถานการณ์ไหนควรวางตัวอย่างไร เราจึงไม่เข้าใจว่าทำไมเดี๋ยวนี้เราไปเที่ยวไหนกับครอบครัวแล้วไม่แต่งหน้าแต่งตัวจึงทำให้เค้าหงุดหงิด สถานที่ไปก็เช่นพวกตลาดน้ำ วัด หรือซูเปอร์มาเก็ตใกล้บ้านอะไรอย่างนี้ สถานที่พวกนี้มันต้องแต่งตัวมากสักแค่ไหนเชียว ทำไมถึงได้แสดงอาการอยากได้ลูกสาวสวยเอาป่านนี้ การมาบังคับให้เราทำเรื่องพวกนี้มากๆ มันทำให้หงุดหงิดเหมือนกันนะคะ
อย่างที่สองเวลาไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มคณะซึ่งมีแต่ผู้ใหญ่บรรยากาศก็จะเงียบๆ ไม่ครื้นเครง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมครอบครัวเราต้องคะยั้นคะยอให้เราไปร่วมร้องเล่นเต้นรำสร้างความบันเทิงด้วย ในเมื่อน่าจะรู้จักนิสัยเราดีอยู่แล้วว่าค่อนข้างโลกส่วนตัวสูงจึงดูเป็นคนเรียบร้อย คือให้ทำก็ทำได้ แต่ไม่ได้อยากทำ ไม่รู้สึกสนุกด้วย ถ้าไม่มีคนสร้างความบันเทิงแล้วให้เราไปช่วยก็อีกอย่างนึง แต่ถ้ามีอยู่แล้วและคนอื่นเค้าก็สนุกกันดี จะมาบังคับเราให้เราทำสิ่งที่ไม่อยากทำไปทำไมในเมื่อปล่อยเราไว้เฉยๆ เราก็อยู่สงบๆ ดีอยู่แล้ว
อย่างที่สาม ตอนเด็กๆ ถ้าเราทำการบ้านไม่เสร็จก็จะโดนดุโดนว่าจนทำให้ต้องทำการบ้านให้เสร็จเป็นนิสัยก่อนจะไปทำอย่างอื่น แต่ช่วงเรียนมหา'ลัยการที่เรานอนดึกเพราะต้องทำการบ้าน อ่านหนังสือ ทำไมต้องทำเหมือนเราทำความผิดร้ายแรงด้วย บอกว่าเราบริหารเวลาไม่ดีเลยนอนดึก (ก็ใครให้การบ้านมันยาก+เยอะล่ะ) บอกว่าเราฉลาดแบบโง่ๆ ที่ไม่รู้จักลอกเพื่อนแล้วมาทำความเข้าใจทีหลัง นิสัยเราชอบคิดวิเคราะห์เองก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ จึงจะไปลอก มันผิดมากนักเหรอที่คิดแบบนี้ แล้วพวกรายงานก็เยอะ เรียนชดเชยก็เยอะ ถ้าไม่ให้ทำช่วงเย็นจะให้ไปทำช่วงไหนได้อีกล่ะคะ หนังสือเรียนเล่มอย่างกับสมุดหน้าเหลืองให้แบกขึ้นรถเมล์ไปทำที่มหา'ลัยเพิ่มอีกวิชามันก็ไม่ไหวเหมือนกันค่ะ)
อย่างที่สี่ เรื่องความศรัทธาในการเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราเองก็มีความเชื่อส่วนบุคคล เพราะฉะนั้นจึงไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องบังคับให้เรามีศรัทธาอย่างนั้นอย่างนี้ เราเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง และท่านเคยสร้างปาฏิหาริย์ช่วยเหลือเรา แต่เรื่องของความเชื่อมันขึ้นอยู่กับจิตใจของแต่ละคนไม่ใช่เหรอคะ เหมือนกับเรื่องการเมืองนั่นแหละว่าคุณเชียร์พรรคไหน ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าการที่เราบอกปฏิเสธในการแสดงความศรัทธาในแบบของเราถึงต้องทำให้คนที่บ้านโกรธด้วย หาว่าเราชอบเถียง เป็นน้ำล้นแก้ว บอกสิ่งดีๆ ให้แล้วไม่รับฟัง ตรงนี้ยอมรับว่าจริงค่ะ แต่ก็อยากให้ผู้ใหญ่เข้าใจว่าการที่คนเรามีศรัทธาใช่ว่าต้องแสดงวิธีปฏิบัติเหมือนกันนี่คะ พระพุทธเจ้าสอนให้เดินทางสายกลาง ศาสนาคริสต์สอนว่าพระเจ้าจะช่วยเหลือคนที่ช่วยเหลือตัวเองก่อน เราเป็นคนที่อยากพยายามทำอะไรได้ด้วยตนเองค่ะ ถึงแม้จะรู้ว่าถ้าเรามีศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วท่านก็จะช่วยเหลือเราเหมือนกันเป็นทางลัดให้เรา เราคงเป็นคนคิดแปลกมั้งคะที่อยากจะพึ่งตัวเองให้มากที่สุดก่อนจะพึ่งคนอื่นถึงได้โดนหาว่าขยันแบบโง่ๆ อยู่แบบนี้
ที่ระบายในกระทู้นี้ทั้งหมดเพราะอึดอัดค่ะ ทั้งๆ ที่อ่านดูก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่ปีนี้ทั้งปีรู้สึกว่าความอึดอัดนี้มันสะสมยังไงก็ไม่รู้ เพื่อนสนิทก็มีไม่มากและเราก็ไม่ค่อยพูดเรื่องส่วนตัวกัน เราไปเที่ยวกับเพื่อนพ่อแม่มากกว่าเพื่อนของตัวเองซะอีก กับเพื่อนตัวเองได้เที่ยวเดือนละ 2 ครั้งก็ถือว่าเยอะแล้ว มากกว่านี้จะเริ่มได้ยินเสียงบ่น เฮ้อ เหมือนไม่รู้จะไประบายให้ใครฟังค่ะ หลายครั้งเราอยากจะปีกกล้าขาแข็งดูบ้างแต่ก็รู้ว่าที่พวกผู้ใหญ่บ่นๆ ไปเพราะหวังดี บางทีก็คิดเข้าข้างตัวเองเล่นๆ ว่าถึงตัวเองไม่ใช่คนสวยแต่เราก็เหมือนนางเอ๊กนางเอกนะ ต้องทำอะไรทุกอย่างบนความถูกต้องตามกาลเทศะและเหมาะสมเสมอ ญาติๆ ก็เอาแต่ชมว่าบ้านนี้เลี้ยงลูกดี เฮ้อ...กดดัน ถ้ามีผู้ใหญ่ท่านใดหลงเข้ามาอ่าน ช่วยมาแสดงความคิดเห็นหน่อยนะคะว่าเราควรใช้หลักธรรมะข้อใดมาช่วยทำให้จิตใจเราสงบถึงจะดีค่ะ พักนี้เริ่มจะหาอ่านแต่หนังสือธรรมะแล้วนะเนี่ย
เป็นวัยรุ่นที่ไม่เข้าใจความคิดของผู้ใหญ่ค่ะ หรือว่าเราอยู่ในวัยต่อต้านเสียแล้ว พวกผู้ใหญ่เข้ามาตอบหน่อยเถอะ
ทั้งหมดที่กลายมาเป็นบุคลิกแบบนี้เราเชื่อว่าเป็นเพราะเราถูกบ่มเพาะมาจากครอบครัวทั้งนั้น ดังนั้นเราจึงไม่เข้าใจเลยว่าผู้ใหญ่บางคนที่บ้านอยากให้เรามาเปลี่ยนอะไรตอนนี้ เราคิดว่าตัวเองโตพอที่จะรู้ว่าเวลาไหน สถานการณ์ไหนควรวางตัวอย่างไร เราจึงไม่เข้าใจว่าทำไมเดี๋ยวนี้เราไปเที่ยวไหนกับครอบครัวแล้วไม่แต่งหน้าแต่งตัวจึงทำให้เค้าหงุดหงิด สถานที่ไปก็เช่นพวกตลาดน้ำ วัด หรือซูเปอร์มาเก็ตใกล้บ้านอะไรอย่างนี้ สถานที่พวกนี้มันต้องแต่งตัวมากสักแค่ไหนเชียว ทำไมถึงได้แสดงอาการอยากได้ลูกสาวสวยเอาป่านนี้ การมาบังคับให้เราทำเรื่องพวกนี้มากๆ มันทำให้หงุดหงิดเหมือนกันนะคะ
อย่างที่สองเวลาไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มคณะซึ่งมีแต่ผู้ใหญ่บรรยากาศก็จะเงียบๆ ไม่ครื้นเครง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมครอบครัวเราต้องคะยั้นคะยอให้เราไปร่วมร้องเล่นเต้นรำสร้างความบันเทิงด้วย ในเมื่อน่าจะรู้จักนิสัยเราดีอยู่แล้วว่าค่อนข้างโลกส่วนตัวสูงจึงดูเป็นคนเรียบร้อย คือให้ทำก็ทำได้ แต่ไม่ได้อยากทำ ไม่รู้สึกสนุกด้วย ถ้าไม่มีคนสร้างความบันเทิงแล้วให้เราไปช่วยก็อีกอย่างนึง แต่ถ้ามีอยู่แล้วและคนอื่นเค้าก็สนุกกันดี จะมาบังคับเราให้เราทำสิ่งที่ไม่อยากทำไปทำไมในเมื่อปล่อยเราไว้เฉยๆ เราก็อยู่สงบๆ ดีอยู่แล้ว
อย่างที่สาม ตอนเด็กๆ ถ้าเราทำการบ้านไม่เสร็จก็จะโดนดุโดนว่าจนทำให้ต้องทำการบ้านให้เสร็จเป็นนิสัยก่อนจะไปทำอย่างอื่น แต่ช่วงเรียนมหา'ลัยการที่เรานอนดึกเพราะต้องทำการบ้าน อ่านหนังสือ ทำไมต้องทำเหมือนเราทำความผิดร้ายแรงด้วย บอกว่าเราบริหารเวลาไม่ดีเลยนอนดึก (ก็ใครให้การบ้านมันยาก+เยอะล่ะ) บอกว่าเราฉลาดแบบโง่ๆ ที่ไม่รู้จักลอกเพื่อนแล้วมาทำความเข้าใจทีหลัง นิสัยเราชอบคิดวิเคราะห์เองก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ จึงจะไปลอก มันผิดมากนักเหรอที่คิดแบบนี้ แล้วพวกรายงานก็เยอะ เรียนชดเชยก็เยอะ ถ้าไม่ให้ทำช่วงเย็นจะให้ไปทำช่วงไหนได้อีกล่ะคะ หนังสือเรียนเล่มอย่างกับสมุดหน้าเหลืองให้แบกขึ้นรถเมล์ไปทำที่มหา'ลัยเพิ่มอีกวิชามันก็ไม่ไหวเหมือนกันค่ะ)
อย่างที่สี่ เรื่องความศรัทธาในการเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราเองก็มีความเชื่อส่วนบุคคล เพราะฉะนั้นจึงไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องบังคับให้เรามีศรัทธาอย่างนั้นอย่างนี้ เราเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง และท่านเคยสร้างปาฏิหาริย์ช่วยเหลือเรา แต่เรื่องของความเชื่อมันขึ้นอยู่กับจิตใจของแต่ละคนไม่ใช่เหรอคะ เหมือนกับเรื่องการเมืองนั่นแหละว่าคุณเชียร์พรรคไหน ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าการที่เราบอกปฏิเสธในการแสดงความศรัทธาในแบบของเราถึงต้องทำให้คนที่บ้านโกรธด้วย หาว่าเราชอบเถียง เป็นน้ำล้นแก้ว บอกสิ่งดีๆ ให้แล้วไม่รับฟัง ตรงนี้ยอมรับว่าจริงค่ะ แต่ก็อยากให้ผู้ใหญ่เข้าใจว่าการที่คนเรามีศรัทธาใช่ว่าต้องแสดงวิธีปฏิบัติเหมือนกันนี่คะ พระพุทธเจ้าสอนให้เดินทางสายกลาง ศาสนาคริสต์สอนว่าพระเจ้าจะช่วยเหลือคนที่ช่วยเหลือตัวเองก่อน เราเป็นคนที่อยากพยายามทำอะไรได้ด้วยตนเองค่ะ ถึงแม้จะรู้ว่าถ้าเรามีศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วท่านก็จะช่วยเหลือเราเหมือนกันเป็นทางลัดให้เรา เราคงเป็นคนคิดแปลกมั้งคะที่อยากจะพึ่งตัวเองให้มากที่สุดก่อนจะพึ่งคนอื่นถึงได้โดนหาว่าขยันแบบโง่ๆ อยู่แบบนี้
ที่ระบายในกระทู้นี้ทั้งหมดเพราะอึดอัดค่ะ ทั้งๆ ที่อ่านดูก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่ปีนี้ทั้งปีรู้สึกว่าความอึดอัดนี้มันสะสมยังไงก็ไม่รู้ เพื่อนสนิทก็มีไม่มากและเราก็ไม่ค่อยพูดเรื่องส่วนตัวกัน เราไปเที่ยวกับเพื่อนพ่อแม่มากกว่าเพื่อนของตัวเองซะอีก กับเพื่อนตัวเองได้เที่ยวเดือนละ 2 ครั้งก็ถือว่าเยอะแล้ว มากกว่านี้จะเริ่มได้ยินเสียงบ่น เฮ้อ เหมือนไม่รู้จะไประบายให้ใครฟังค่ะ หลายครั้งเราอยากจะปีกกล้าขาแข็งดูบ้างแต่ก็รู้ว่าที่พวกผู้ใหญ่บ่นๆ ไปเพราะหวังดี บางทีก็คิดเข้าข้างตัวเองเล่นๆ ว่าถึงตัวเองไม่ใช่คนสวยแต่เราก็เหมือนนางเอ๊กนางเอกนะ ต้องทำอะไรทุกอย่างบนความถูกต้องตามกาลเทศะและเหมาะสมเสมอ ญาติๆ ก็เอาแต่ชมว่าบ้านนี้เลี้ยงลูกดี เฮ้อ...กดดัน ถ้ามีผู้ใหญ่ท่านใดหลงเข้ามาอ่าน ช่วยมาแสดงความคิดเห็นหน่อยนะคะว่าเราควรใช้หลักธรรมะข้อใดมาช่วยทำให้จิตใจเราสงบถึงจะดีค่ะ พักนี้เริ่มจะหาอ่านแต่หนังสือธรรมะแล้วนะเนี่ย