http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000139639
บลูมเบิร์ก - สื่อต่างประเทศลากไส้ "ทักษิณ" เปลี่ยนไทยจากสยามเมืองยิ้มเป็น "สาธารณรัฐทักษิณ"
เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้มุ่งเป้าต่อผลประโยชน์ของอดีตนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น ชี้มีความทะเยอทะยานสูง ใช้เงินกำหนดทิศทางทั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคมผ่านโครงการประชานิยม ส่วนน้องสาว "ยิ่งลักษณ" ก็พยายามนำตัวพี่ชายกลับประเทศอย่างสุดลิ่ม ด้วยการออกร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม
นายวิลเลี่ยม เพเสก คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์บลูมเบิร์ก ได้เขียนบทความเรื่อง Thailand’s Big Brother Drama เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์เมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยระบุว่าแม้คุณจะไม่เห็นข้อความ "ยินดีต้อนรับสู่สาธารณรัฐทักษิณ" โชว์หราเมื่อเดินทางมาเยือนเมืองไทย แต่ดินแดน
"สยามเมืองยิ้มแห่งนี้ " ก็ถูกเปลี่ยนเป็นดินแดนแห่งทักษิณ ชินวัตร ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้มีความเกี่ยวเนื่องและมุ่งเป้าต่อผลประโยชน์ของ อดีตนายกรัฐมนตรีท้กษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น
คอลัมนิสต์รายนี้ระบุต่อว่า7 ปีหลังจากที่อดีตนายกรัฐมนตรีถูกกระทำรัฐประหาร แต่เงาของ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงครอบงำการเมืองในไทย แม้นับตั้งแต่นั้นประเทศแห่งนี้ได้มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 6 คน และคนปัจจุบันคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของพ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง
บทความนี้เขียนต่อว่า
ยิ่งลักษณ์ มีความพยายามที่จะทำให้ ทักษิณและนักการเมืองคนอื่นๆหลุดรอดโทษจำคุกผ่านรัฐสภา ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในทางการเมืองของเอเชียที่แลเห็นในรอบหลายปี ด้วยประชาชนจำนวนมากออกมารวมตัวคัดค้านครั้งใหญ่ในเมืองหลวงและ 17 จังหวัดอื่นๆ จนทำให้เธอต้องถอนและตอนนี้ยอมที่จะคว่ำร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแล้ว
ผู้เขียนระบุว่า เป็นธรรมดาของความผูกพันฉันท์พี่น้อง ที่ผลักดันให้ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะน้องสาว ต้องคอยดูแลพี่ชายในสายเลือด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของความพยายามผลักดันผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย เพื่อให้ทักษิณตลอดจนนักการเมืองคนอื่นๆพ้นความผิดในคดีต่างๆ จนกลายเป็นมหากาพย์ทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี
นายวิลเลี่ยม เพเสก บอกต่อว่าใครคาดหวังว่าฝันร้ายทักษิณของประเทศไทยนั้นจบไปแล้วนั้นคิดผิด เพราะมันไม่แค่การปรารถนากลับบ้านเกิดของเขาเท่านั้น เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ต้องการกู้รายได้จากธุรกิจโทรคมนาคมของเขาที่ถูกรัฐยึดไปคืนมาและยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะหาหนทางกลับบ้านเกิดมารับช่วงต่อจากน้องสาวของเขา
บทความนี้ได้เปรียบเทียบว่า ทักษิณ ไม่ต่างอะไรจากอดีตนายกรัฐมนตรี ซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี แห่งอิตาลี ที่ใช้ความสำเร็จด้านธุรกิจผลักดันตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ จากนั้นก็บิดเบือนนโยบายต่าง ๆ ให้เอื้อต่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเอง อย่างเช่นนโยบายจำนำข้าว ที่ไทยต้องจมอยู่กับประมาณข้าวในคลังจำนวนมหาศาลและเสียตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกในขณะนี้
อย่างไรก็ตามผู้เขียนมองว่า ภายหลังจากมีการประกาศยุติพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม มีการมุ่งเป้าความสนใจไปว่า ทักษิณจะได้รับผลกระทบอะไรจากการชะลอร่างครั้งนี้บ้าง ซึ่งเปเซคมองว่า แท้จริงแล้วควรหันกลับมาวิตกกังวลว่า ความวุ่นวายทางการเมืองได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหนเสียดีกว่า
"แทนที่นักการเมืองไทยและผู้กำหนดนโยบาย จะทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ที่จะพาทักษิณกลับบ้านให้ได้ ควรนำเวลาเหล่านั้นมาพัฒนาเศรษฐกิจประเทศให้ดีขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก และหาหนทางหลีกเลี่ยงกับดักชนชั้นกลาง เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชนชั้นกลางและล่างให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคงดีกว่า" เพเสกระบุ
ทั้งนี้นายวิลเลี่ยม เพเสก ปิดท้ายว่า ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่สาธารณรัฐทักษิณจะลดความสนใจในเรื่องคนคนเดียว แล้วหันมาฟังเสียงและความต้องการของประชาชนกันได้แล้ว
สื่อนอกลากไส้'แม้ว'เปลี่ยนสยามเมืองยิ้มเป็น'สาธารณรัฐทักษิณ'
บลูมเบิร์ก - สื่อต่างประเทศลากไส้ "ทักษิณ" เปลี่ยนไทยจากสยามเมืองยิ้มเป็น "สาธารณรัฐทักษิณ" เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้มุ่งเป้าต่อผลประโยชน์ของอดีตนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น ชี้มีความทะเยอทะยานสูง ใช้เงินกำหนดทิศทางทั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคมผ่านโครงการประชานิยม ส่วนน้องสาว "ยิ่งลักษณ" ก็พยายามนำตัวพี่ชายกลับประเทศอย่างสุดลิ่ม ด้วยการออกร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม
นายวิลเลี่ยม เพเสก คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์บลูมเบิร์ก ได้เขียนบทความเรื่อง Thailand’s Big Brother Drama เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์เมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยระบุว่าแม้คุณจะไม่เห็นข้อความ "ยินดีต้อนรับสู่สาธารณรัฐทักษิณ" โชว์หราเมื่อเดินทางมาเยือนเมืองไทย แต่ดินแดน "สยามเมืองยิ้มแห่งนี้ " ก็ถูกเปลี่ยนเป็นดินแดนแห่งทักษิณ ชินวัตร ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้มีความเกี่ยวเนื่องและมุ่งเป้าต่อผลประโยชน์ของ อดีตนายกรัฐมนตรีท้กษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น
คอลัมนิสต์รายนี้ระบุต่อว่า7 ปีหลังจากที่อดีตนายกรัฐมนตรีถูกกระทำรัฐประหาร แต่เงาของ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงครอบงำการเมืองในไทย แม้นับตั้งแต่นั้นประเทศแห่งนี้ได้มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 6 คน และคนปัจจุบันคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของพ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง
บทความนี้เขียนต่อว่า ยิ่งลักษณ์ มีความพยายามที่จะทำให้ ทักษิณและนักการเมืองคนอื่นๆหลุดรอดโทษจำคุกผ่านรัฐสภา ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในทางการเมืองของเอเชียที่แลเห็นในรอบหลายปี ด้วยประชาชนจำนวนมากออกมารวมตัวคัดค้านครั้งใหญ่ในเมืองหลวงและ 17 จังหวัดอื่นๆ จนทำให้เธอต้องถอนและตอนนี้ยอมที่จะคว่ำร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแล้ว
ผู้เขียนระบุว่า เป็นธรรมดาของความผูกพันฉันท์พี่น้อง ที่ผลักดันให้ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะน้องสาว ต้องคอยดูแลพี่ชายในสายเลือด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของความพยายามผลักดันผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย เพื่อให้ทักษิณตลอดจนนักการเมืองคนอื่นๆพ้นความผิดในคดีต่างๆ จนกลายเป็นมหากาพย์ทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี
นายวิลเลี่ยม เพเสก บอกต่อว่าใครคาดหวังว่าฝันร้ายทักษิณของประเทศไทยนั้นจบไปแล้วนั้นคิดผิด เพราะมันไม่แค่การปรารถนากลับบ้านเกิดของเขาเท่านั้น เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ต้องการกู้รายได้จากธุรกิจโทรคมนาคมของเขาที่ถูกรัฐยึดไปคืนมาและยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะหาหนทางกลับบ้านเกิดมารับช่วงต่อจากน้องสาวของเขา
บทความนี้ได้เปรียบเทียบว่า ทักษิณ ไม่ต่างอะไรจากอดีตนายกรัฐมนตรี ซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี แห่งอิตาลี ที่ใช้ความสำเร็จด้านธุรกิจผลักดันตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ จากนั้นก็บิดเบือนนโยบายต่าง ๆ ให้เอื้อต่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเอง อย่างเช่นนโยบายจำนำข้าว ที่ไทยต้องจมอยู่กับประมาณข้าวในคลังจำนวนมหาศาลและเสียตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกในขณะนี้
อย่างไรก็ตามผู้เขียนมองว่า ภายหลังจากมีการประกาศยุติพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม มีการมุ่งเป้าความสนใจไปว่า ทักษิณจะได้รับผลกระทบอะไรจากการชะลอร่างครั้งนี้บ้าง ซึ่งเปเซคมองว่า แท้จริงแล้วควรหันกลับมาวิตกกังวลว่า ความวุ่นวายทางการเมืองได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหนเสียดีกว่า
"แทนที่นักการเมืองไทยและผู้กำหนดนโยบาย จะทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ที่จะพาทักษิณกลับบ้านให้ได้ ควรนำเวลาเหล่านั้นมาพัฒนาเศรษฐกิจประเทศให้ดีขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก และหาหนทางหลีกเลี่ยงกับดักชนชั้นกลาง เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชนชั้นกลางและล่างให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคงดีกว่า" เพเสกระบุ
ทั้งนี้นายวิลเลี่ยม เพเสก ปิดท้ายว่า ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่สาธารณรัฐทักษิณจะลดความสนใจในเรื่องคนคนเดียว แล้วหันมาฟังเสียงและความต้องการของประชาชนกันได้แล้ว