ขอบคุณลมหายใจของลูก ขอบคุณที่ทำเพื่อแม่....

กระทู้สนทนา
...... คืนวันพุธที่ 1 สิงหาคม 2555 เวลา 5 ทุ่มกว่า ๆ
หลังจากที่เรา กินข้าวมื้อค่ำพร้อมกับอาบน้ำใส่ชุดนอนเรียบร้อย
เตรียมจะนอนดูรายการโปรด ... เชฟกระทะเหล็ก
คืนนั้น วัตถุดิบคือปู ของโปรดเราเลยอ่ะ
กะว่าคืนนี้ฉันฟินแน่ ๆ ดูจบ จะนอนฝันถึงปูนึ่งตัวโต ๆ เลย
จริง ๆ วันนั้นมีอาการแปลก ๆ มาตั้งแต่เช้า
ปกติลูกในท้องจะดิ้นเก่ง บางทีดิ้นจนอีแม่สะดุ้งไปทั้งตัว
แต่วันนี้ไหงเงียบไป ยังบอกสามีอยู่เลยว่าวันนี้ลูกดิ้นน้อยมาก แปลก ๆ นะ ไปหาหมอกันมั้ย แต่ก็ไม่ได้ไป
จน 5 ทุ่ม 45 เข้าห้องนอน ก่อนนอนไปฉี่อีกรอบ
ออกมาจากห้องน้ำ ก็ปรากฎว่ามีน้ำไหลลงมานองที่ขา
ตอนแรกคิดว่าฉี่ไม่สุด หรือล้างแล้วฉีดน้ำแรงไป น้ำไหลย้อนออกมา
(ไม่เคยเป็นหรอก แต่ที่คิดแบบนี้เพราะไม่รู้ว่าน้ำเดินมันเป็นยังไง เพราะอาการปวดท้องก็ไม่มี)
เข้าห้องน้ำ ทำความสะอาด เช็ดเรียบร้อย ออกมาใหม่ คราวนี้มาอีกแล้ว แถมเป็นสีชมพูด้วย !!
เลยบอกทุกคนในบ้าน ที่กำลังดูคนอวดผี ว่ามีน้ำไหลออกมานะ แบบนี้เรียกน้ำเดินรึเปล่า
แม่กับน้องสะใภ้มาดู ก็ยังไม่แน่ใจ เลยโทรหาคุณหมอที่ฝากพิเศษไว้
คุณหมอบอกว่าให้ไปโรงพยาบาลเลย แต่หมออยู่ต่างจังหวัดนะ ไม่ต้องห่วง จะฝากหมอผู้หญิงเก่งๆ มาทำคลอดให้
(ฝากพิเศษเพราะเหตุผลเดียว คือกลัวเจอหมอผู้ชาย)
เรารีบ กกน. + ผ้าอนามัย
ได้แต่คิดในใจว่า หมดกัน วาดฝันไว้ว่าจะสวยไปคลอดซะหน่อย กะจะแต่งหน้าสวยๆ ทุกวัน รอจังหวะปวดคลอด (กำหนดจริง ๆ วันที่ 10 สิงหา)
ดันมาน้ำเดินเอาตอนเที่ยงคืนซะได้
หน้าปลวก ๆ ชุดนอนป้า ๆ งี้ถ้าฉันคลอดเสร็จ มีคนมาเยี่ยม เขาก็ต้องหาว่าฉันขี้เหร่น่ะสิ
คุณสามีขับรถ แม่กับน้องสะใภ้ช่วยถือสัมภาระไป มีกระเป๋าแม่ใบนึง กระเป๋าลูกใบนึง (เตรียมไว้ตั้งแต่ 8 เดือน)
ไปถึงโรงพยาบาล เที่ยงคืนนิด ๆ (เข้าสู่เช้ามืดของวันพฤหัสที่ 2 สิงหา วันอาสาฬหบูชา)
เริ่มปวดท้อง พยาบาลให้เปลี่ยนชุด แล้วมานั่งกรอกรายละเอียด กรอกไปก็ปวดท้องไป ทรมาณชิหัย
กรอกเสร็จแล้วขึ้นเตียงเช็คปากมดลูก
ปากมดลูกเพิ่งเปิดแค่ 2 ซม.
(ถ้าคลอดเอง ปากมดลูกต้องเปิดถึง 10 ซม. ถึงจะพร้อมคลอด)
แฟนจองห้องพิเศษให้ แต่ยังไม่ว่าง ปากมดลูกก็ยังไม่เปิด
พยาบาลประเมินว่ากว่าจะคลอด คงเช้าเป็นอย่างต่ำ เลยไล่ญาติกลับไปนอนหลับกันเถอะ เช้าค่อยมา
ตี 1 กว่า ๆ ได้เวลาเข้าไปนอนรอในห้องคลอด พยาบาลไม่ให้เอาอะไรเข้าไปเลย นอกจากแบงค์ร้อยใบเดียว
ญาติ ๆ โดนไล่กลับบ้าน เป็นอะไรที่โหวงเหวงมาก นี่ฉันต้องตัวคนเดียวในห้องเชือดเหรอนี่ (ทั้ง ๆ ที่พยาบาลก็เยอะแยะ 555)
ก่อนญาติจะกลับบ้าน ขอแชะภาพหน่อย แล้วก็จัดการอัพรูปตัวเองหน้าศพๆ ขึ้นเฟซ พร้อมเช็คอินที่โรงพยาบาล บอกเพื่อนว่าน้ำเดินแล้ว
สามารถเนอะ ท้องก็ปวด น้ำก็เดิน ยังจะอุตส่าห์ออนไลน์ให้ชาวโลกได้รับรู้ จิตวิญญาณของสัตว์สังคมสูงส่งที่สุดอ่ะ

อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อคลุมเสร็จ ก็เดินเข้าห้องรอคลอด
แค่ห้องรอคลอดนะ ไม่ใช่ห้องคลอด มีเตียงประมาณ 10 เตียง มีคนรอคลอดอยู่ก่อน 2-3 คน
แปลกใจ ทำไมคนรอก่อนเรา ถึงได้อยู่แค่ข้างนอก แต่เขาให้เราไปนอนรอที่เตียงในห้องคลอดเลย
นึกในใจว่า อาจเป็นเพราะฝากพิเศษรึเปล่าน๊ออออ
เดินขึ้นเตียงคลอด เตียงสบายมาก อุปกรณ์ทันสมัยพร้อม
ในห้องมีหลายเตียง แต่กั้นม่าน เป็นส่วนตัว ของใครของมัน (โรงพยาบาลรัฐบาลค่ะ)
เตียงข้าง ๆ มานอนก่อนเรานานแล้ว (ได้ข่าวว่า มาก่อนหน้า 5 ชั่วโมง)
โอดโอย เสียงดังมากกกกกกกกก จนพยาบาลต้องเตือนเป็นระยะ ว่าให้เบาๆ หน่อย
เราก็ปวดนะ ไม่ใช่ไม่ปวด แต่เราไม่รู้จะแหกปากทำไมอ่ะ แหกปากไปมันก็ไม่หายปวด
เราใช้วิธีสูดหายใจลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ผ่อน
มันปวดแบบบอกไม่ถูก เหมือนปวดตอนเมนส์มา แต่มากกว่า และมาเป็นระยะๆ
ปวดๆ หายๆ สลับไปมา
สักพัก พยาบาล เอาแผ่นวัดชีพจรลูกมาแปะ
พยาบาลตกใจ เพราะชีพจรลูกเต้นอ่อนมาก เลยตรวจปากมดลูกเราอีกครั้ง
เปิดเพิ่มอีก 2 เป็น 4 เซน
ก็นอนรอต่อไป

..... ตี๊ดดดดด ..... ตี๊ดดดดด ... ตี๊ดดดดด ....
เสียงเครื่องวัดชีพจรดัง !!!!!!
เราหันไปมอง ด้วยความสงสัย ชีพจรลูกเรา ตกลงเรื่อย ๆ จาก 50-60
ลงมาเป็น 40 – 30 – 20 สิบกว่า จนถึงเลขตัวเดียว
พยาบาลวิ่งมา 2 คน อีกคนมีเครื่องปั๊มหัวใจเล็ก ๆ ในมือ
เอามาวางที่ท้องเรา แล้วกระตุ้น
ชีพจรลูกกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับพยาบาลอีกคน เอาฝาครอบสายออกซิเจนมาให้เราสวมไว้
แล้วบอกให้เราหายใจลึกๆ ไม่งั้นลูกเราอาจขาดออกซิเจนได้
เราใจหายวาบ เพราะถ้าเข้าใจไม่ผิด ถ้าลูกเราขาดออกซิเจน หมายความว่า ลูกเราอาจจะตาย
... หรือ .... ไม่ตาย แต่อาจมีความผิดปกติจากการที่สมองขาดออกซิเจนใช่มั้ย
คราวนี้เราก็แทบลืมปวดละ เพราะลุ้นไปกับตัวเลขชีพจร วินาทีต่อวินาทีกันเลย

จนชีพจรลูกเราตกลงอีกครั้ง เหลือ  0...........
พยาบาลมารุมเราหลายคน ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะ 4 คน
คน 1 ปั๊มหัวใจลูกเรา ผ่านหน้าท้องของเรา
คน 2 กำลังช่วยคว้านปากมดลูกให้เปิดเพิ่ม
คน 3 โทรตามหมอพิเศษ แต่หมอยังมาไม่ถึง
คน 4 บีบนวดให้เรา กลัวเราเครียด คอยบอกเราให้หายใจลึกๆ เอาออกซิเจนเข้าปอดให้มากที่สุด
เราก็เครียดจริงแหละ สมองตื้อไปหมดละ แต่หูยังได้ยินพยาบาลคุยกับหมอ
จับใจความได้ว่า เด็กแย่มากแล้ว คงต้องผ่า
แต่.... พยาบาลไม่มีอำนาจตรงนี้  (เราไม่ได้ยินเสียงปลายสายหรอก แต่จับใจความจากที่เขาบอกต่อพยาบาลท่านอื่น ๆ )
ปลายสายบอกประมาณว่า กำลังรีบมาด่วนที่สุด ถ้าตี 5 ปากมดลูกยังไม่เปิดเพิ่ม ให้พาเข้าห้องผ่าเลย
เราก็งงนิดหน่อย อ้าวเห้ย ตกลงใครจะผ่ากูวะ แอร๊ยยยยยยยยยยย
วินาทีเกือบสุดท้ายมาถึง
ตอนที่เราได้ยินว่า พยาบาลบอก ปั๊มหัวใจไม่ขึ้นแล้ว
ปั๊มซ้ำ ก็ไม่ขึ้น (คือเขาไม่ได้บอกว่าลูกเราตายนะ แต่ว่าตัวเลขที่เครื่อง มันเป็น 0 นิ่งๆ แล้ว)
เราถามพยาบาลว่ามดลูกเปิดกี่เซน พยาบาลบอก 6 เซนเอง
เราตอบว่า .......ไม่รอแล้ว....... เบ่งเลยค่าาาาาาาาา ........
ก็จัดการท่าพร้อม อิแม่พร้อม พยาบาลพร้อม
เอ้า..... ฮึบบบบบบบบบบบบบ
กลั้นใจเบ่งสุดแรงเกิด
ช่วงเวลานั้น เราจำไม่ได้ว่าเราเบ่งไปทั้งหมดกี่ที รู้แต่เต็มที่ทุกทีที่เบ่ง
เบ่งจนปวดตา แต่ช่างมัน ลูกฉันต้องออกมาพร้อมลมหายใจ
จนพยาบาลบอกว่า หัวออกมาแล้ว
แต่ว่ายังไม่ออกมาทั้งหัว เพราะมดลูกเราเปิดนิดเดียว พอหัวโผล่ปุ๊บ เราหมดลม ลูกก็ผลุบหัวกลับเข้าไปใหม่
ช่วงนั้นแหละ หมอมาถึงพอดี
เราเบ่งต่ออีก 2-3 ที โอเค หลุดมาทั้งหัว
แล้วก็หยุดพัก หมอทำไรไม่รู้ อันนี้ เราจำไม่ได้
วินาทีนั้น ถ้าเป็นแม่ปกติ เขาจะโล่งกันแล้ว ลูกออกมาแล้ว
แต่ไม่ใช่เราไง
เราลุ้น ลุ้นอย่างเดียว เราถามหมอ หายใจมั้ยคะ
หมอไม่ตอบ เราเริ่มใจเสีย !!!
(มานึกตอนนี้ คือเขาอาจจะง่วนกับการจัดการลูกเราอยู่ เลยไม่ทันได้ยินที่เราถาม)
สักพักพยาบาลตอบ ปลอดภัยค่า
โอ้โห แรงฮึดที่มาตะกี้ หายไปหมดเลย ร่างอ่อนปวกเปียกไปหมด
ตอนหมอเย็บแผล บอกหมอว่า หมอคะ เย็บเล็ก ๆ เลยค่ะ
หมอขำใหญ่
จนถึงวินาทีแรก ที่ฉันได้เจอเธอ เด็กชายกฤดาการ
หัวเธอเบี้ยวมาก เพราะแรงบีบของมดลูก
ฟีบไปข้างนึงจนแม่ตกใจ
(ตอนแรกนึกว่าลูกเกิดมาหัวเบี้ยว แต่เอาวะ ลูกกุโว้ย ไม่หล่อกุก็รัก)
แต่ไม่วายถามพยาบาล “ทำไมดั้งแหมบจังคะ”
ฮาครืนสิ พยาบาลบอก แหม เดี๋ยวก็ขึ้นค่า
เสร็จแล้ว นอนพัก 2 ชม.
หลังจากนั้นไปพักต่อที่ห้องรวม รอคนไข้ห้องพิเศษย้ายออก แล้วเราค่อยย้ายเข้า
สามีมา แม่มา แม่เห็นหน้าเรา แม่เราร้องไห้ใหญ่
เพราะเห็นลูกตาแตก (เส้นเลือดฝอยในตาแตกเนื่องจากเบ่งแรงมาก จนความดันขึ้นตา ตาขาวเป็นสีแดง)
และใบหน้าก็เป็นจุดแดง ๆ เต็มไปหมด เพราะเส้นเลือดฝอยที่หน้าก็แตกด้วย
แม่ร้องไห้ ถาม เจ็บมั้ยลูก พร้อมกับลูบหน้าลูบหัว
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงไม่เข้าใจอ่ะ
อะไรแม่ ร้องทำไมเนี่ย เรื่องแค่นี้เอง
แต่วันนี้ เรารู้แล้ว ทำไมแม่เราต้องร้องไห้ เวลาเห็นเราเจ็บ
เพราะตอนนี้ เราก็พิมพ์บันทึกนี้ไปพร้อมกับน้ำตาเช่นกัน

ขอบคุณลูกที่มีลมหายใจ เพื่อแม่
หากวันนั้นลูกหมดลมหายใจ แม่คงไม่มีวันนี้
รักนู๋ที่สุด..... ปลาวาฬ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่