เริ่มแล้วสำหรับแนวทางการต่อสู้ในยุทธศาสตร์ใหม่ ที่เห็นชัดเป็นรูปธรรม ซึ่งนอกจากจะเป็นการปรับเปลี่ยนยุทธวิธีในการเรียกร้องให้ภาครัฐปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2554 ในการยกเลิกการใช้และการนำเข้า “แร่ใยหิน” โดยเครือข่ายต่อต้านแร่ใยหินแห่งประเทศไทย หรือ ทีแบน ยังหันมาใช้ยุทธวิธี การรณรงค์แสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ โดยมีเป้าหมายกระจายไปในพื้นที่ต่างๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
หลังจากที่ผลสรุปจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ยังคาราคาซัง กลายเป็นเรื่องราวของการเตะถ่วงหน่วงเหนี่ยวให้ การยกเลิกแร่ใยหินในประเทศไทย ยืดเยื้อและไกลออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
ท่ามกลางกระแสตระหนักถึงพิษภัยของแร่มฤตยู ที่กว่า 50 ประเทศยกเลิกการใช้ไปแล้วก่อนหน้านี้ รวมถึงในฮ่องกง ที่เพิ่งมีการยกเลิกการใช้โดยการบังคับใช้กฎหมายที่มีผลค่อนข้างรุนแรง ให้แร่ใยหิน กลายเป็น “สารต้องห้าม” เพื่อรักษาสุขภาวะและอนามัยของประชาชนในประเทศ ให้ปลอดภัยจากการเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด
บนฐานข้อมูล จากประกาศ สำนักงานเพื่อการวิจัยมะเร็งนานาชาติ หรือไอเออาร์ซี ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO ระบุว่า อากาศที่ทุกคนหายใจมีการปนเปื้อนของสารก่อมะเร็ง จึงกำหนดให้มลพิษทางอากาศ เป็นสาเหตุก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง โดยอ้างอิงข้อมูลในปี 2553 ที่พบว่า ผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอด 223,000 คนทั่วโลก มีสาเหตุมาจาก มลพิษทางอากาศ และมีหลักฐานว่า มลพิษทางอากาศ อาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะด้วย
และจากผลการศึกษาที่ยืนยันได้ว่า มลพิษทางอากาศเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด ไอเออาร์ซี จึงกำหนดให้มลพิษทางอากาศ อยู่ในสาเหตุก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 ซึ่งในกลุ่มนี้มีสารก่อมะเร็งกว่า 100 ชนิด เช่น แร่ใยหิน สารพลูโตเนียม สารประกอบซิลิกา รังสีอุลตร้าไวโอเล็ต และควันบุหรี่ซึ่งยกให้แร่ใยหิน มีอันตรายในด้านความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ พอๆ กับ สารพลูโตเนียม !!
ด้วยแนวทางใหม่คือการเน้นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ของทีแบน เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงอันตรายที่มาจากสารมฤตยูชนิดนี้ “สมบุญ สีคำดอกแค” ผู้ประสานงาน เครือข่ายทีแบน เปิดเผยกับ “บ้านเมือง" ถึงทิศทางการขยายแนวรบต่อต้านแร่ใยหินว่า “จากการหารือร่วมกับภาครัฐ ที่ยังคงไม่มีอะไรคืบหน้าทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข และในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ยังเตะถ่วงผลสรุป เกี่ยวกับการเป็นสารก่อให้เกิดมะเร็ง ทั้งๆ ที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศแล้วว่า แร่ใยหินเป็นสารที่มีอันตรายประเภทที่ 1 ประเภทเดียวกับสารพลูโตเนียม เป็นต้นเหตุของมลพิษและโรคมะเร็งอย่างชัดเจน
เมื่อภาครัฐยังไม่ขยับ ทางเครือข่ายฯจึงตัดสินใจ ขยายการให้ความรู้และเผยแพร่ถึงพิษภัยจากแร่ใยหินไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยวางเป้าหมายเอาไว้ทั่วประเทศ ซึ่งจุดเริ่มต้นนี้ก็มีจังหวัดต่างๆ ที่ทางเครือข่ายฯได้เดินหน้านำร่องไปแล้ว ในจังหวัดปริมณฑล ที่ ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และขยายไปในพื้นที่ใกล้เคียงอย่าง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชลบุรี รวมถึงการเดินทางไปร่วมเวทีสัมนาในจังหวัดเชียงใหม่ และกำลังขยายไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชน ได้ทราบถึงพิษภัยที่ร้ายแรงของแร่ใยหินตามประกาศขององค์การอนามัยโลก
โดยเป้าหมายหลักอยากให้หน่วยงานภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐ อย่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ผ่านโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงสุขภาวะอนามัยของประชาชนในพื้นที่และแรงงานที่ต้องสัมผัสกับแร่ใยหินโดยตรง” สมบุญกล่าว
ด้าน ศ.ดร.อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมป์ เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวในภาคประชาชน เกี่ยวกับการรณรงค์เพื่อให้มีการยกเลิกแร่ใยหินในประเทศไทยว่า “กรณีแร่ใยหิน เป็นหนึ่งในโรคอันตราย และเป็นเรื่องของสุขภาพอนามัยของประชาชน และกลุ่มผู้ใช้แรงงาน รวมถึงยังมีผลกระทบต่อผู้บริโภค ซึ่งสมควรที่จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา เนื่องจากแร่ใยหินก่อให้เกิดโรคปอดและมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด โดยตามหลักเศรษฐศาสตร์ ที่ผ่านมาเรื่องของการใช้แร่ใยหินในภาคอุตสาหกรรม จะมุ่งเน้นแต่เพียงเรื่องของต้นทุนการผลิต โดยมองข้ามเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งหากมีการนำเอามาพิจารณาประกอบกัน นั่นจะเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย และควรจะมีมาตรการป้องกันออกมาก่อนที่ตัวเลขของผู้ป่วยจะเพิ่มมากขึ้น
ส่วนตัวมีจุดยืนชัดเจน เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องจากเครือข่ายทีแบน ที่ต้องการให้องค์กรส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ยกเลิกการใช้แร่ใยหินในทุกๆ สัญญาจัดซื้อจัดจ้าง เช่น การยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างการก่อสร้างอาคารที่ใช้วัสดุก่อสร้างที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ อาทิ ท่อน้ำซีเมนต์ กระเบื้องมุงหลังคา โดยระบุในสัญญาให้เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไร้แร่ใยหินทั้งหมด ซึ่งเรื่องนี้หากพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดกับแรงงาน ประชาชนในท้องถิ่น และผู้บริโภคถือเป็นเรื่องที่สมควรจะต้องทำอยู่แล้ว” ศ.ดร.อภิชัย กล่าว
แนวทางการรณรงค์เปิดแนวรบเพื่อให้ประเทศไทยปลอดแร่ใยหินที่กำลังขยายตัวไปทั่วประเทศในครั้งนี้ นอกเหนือจากการให้ความรู้ และการเผยแพร่พิษภัยจากแร่ใยหินแล้ว ยังมีเรื่องของการนำเอากระแสซีเอสอาร์ ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการ “สร้างแนวป้องกันแร่ใยหิน” ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งเครือข่ายทีแบนระบุว่า ในส่วนหลังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากหน่วยงานภาคเอกชน และเชื่อว่าหน่วยงานต่างๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น น่าจะหันมาร่วมมือกัน เพื่อให้ประเทศไทย ปลอดแร่ใยหิน และคนไทย ไม่ต้องเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งเยื้อหุ้มปอดอีกต่อไป ...
อ้างอิง : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง 02-11-2556
เปิดแนวรบ สังคมไทยปลอด “ใยหิน” “ทีแบน” สร้างเครือข่ายรุกสู้ในภูธร
หลังจากที่ผลสรุปจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ยังคาราคาซัง กลายเป็นเรื่องราวของการเตะถ่วงหน่วงเหนี่ยวให้ การยกเลิกแร่ใยหินในประเทศไทย ยืดเยื้อและไกลออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
ท่ามกลางกระแสตระหนักถึงพิษภัยของแร่มฤตยู ที่กว่า 50 ประเทศยกเลิกการใช้ไปแล้วก่อนหน้านี้ รวมถึงในฮ่องกง ที่เพิ่งมีการยกเลิกการใช้โดยการบังคับใช้กฎหมายที่มีผลค่อนข้างรุนแรง ให้แร่ใยหิน กลายเป็น “สารต้องห้าม” เพื่อรักษาสุขภาวะและอนามัยของประชาชนในประเทศ ให้ปลอดภัยจากการเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด
บนฐานข้อมูล จากประกาศ สำนักงานเพื่อการวิจัยมะเร็งนานาชาติ หรือไอเออาร์ซี ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO ระบุว่า อากาศที่ทุกคนหายใจมีการปนเปื้อนของสารก่อมะเร็ง จึงกำหนดให้มลพิษทางอากาศ เป็นสาเหตุก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง โดยอ้างอิงข้อมูลในปี 2553 ที่พบว่า ผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอด 223,000 คนทั่วโลก มีสาเหตุมาจาก มลพิษทางอากาศ และมีหลักฐานว่า มลพิษทางอากาศ อาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะด้วย
และจากผลการศึกษาที่ยืนยันได้ว่า มลพิษทางอากาศเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด ไอเออาร์ซี จึงกำหนดให้มลพิษทางอากาศ อยู่ในสาเหตุก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 ซึ่งในกลุ่มนี้มีสารก่อมะเร็งกว่า 100 ชนิด เช่น แร่ใยหิน สารพลูโตเนียม สารประกอบซิลิกา รังสีอุลตร้าไวโอเล็ต และควันบุหรี่ซึ่งยกให้แร่ใยหิน มีอันตรายในด้านความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ พอๆ กับ สารพลูโตเนียม !!
ด้วยแนวทางใหม่คือการเน้นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ของทีแบน เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงอันตรายที่มาจากสารมฤตยูชนิดนี้ “สมบุญ สีคำดอกแค” ผู้ประสานงาน เครือข่ายทีแบน เปิดเผยกับ “บ้านเมือง" ถึงทิศทางการขยายแนวรบต่อต้านแร่ใยหินว่า “จากการหารือร่วมกับภาครัฐ ที่ยังคงไม่มีอะไรคืบหน้าทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข และในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ยังเตะถ่วงผลสรุป เกี่ยวกับการเป็นสารก่อให้เกิดมะเร็ง ทั้งๆ ที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศแล้วว่า แร่ใยหินเป็นสารที่มีอันตรายประเภทที่ 1 ประเภทเดียวกับสารพลูโตเนียม เป็นต้นเหตุของมลพิษและโรคมะเร็งอย่างชัดเจน
เมื่อภาครัฐยังไม่ขยับ ทางเครือข่ายฯจึงตัดสินใจ ขยายการให้ความรู้และเผยแพร่ถึงพิษภัยจากแร่ใยหินไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยวางเป้าหมายเอาไว้ทั่วประเทศ ซึ่งจุดเริ่มต้นนี้ก็มีจังหวัดต่างๆ ที่ทางเครือข่ายฯได้เดินหน้านำร่องไปแล้ว ในจังหวัดปริมณฑล ที่ ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และขยายไปในพื้นที่ใกล้เคียงอย่าง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชลบุรี รวมถึงการเดินทางไปร่วมเวทีสัมนาในจังหวัดเชียงใหม่ และกำลังขยายไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชน ได้ทราบถึงพิษภัยที่ร้ายแรงของแร่ใยหินตามประกาศขององค์การอนามัยโลก
โดยเป้าหมายหลักอยากให้หน่วยงานภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐ อย่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ผ่านโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงสุขภาวะอนามัยของประชาชนในพื้นที่และแรงงานที่ต้องสัมผัสกับแร่ใยหินโดยตรง” สมบุญกล่าว
ด้าน ศ.ดร.อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมป์ เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวในภาคประชาชน เกี่ยวกับการรณรงค์เพื่อให้มีการยกเลิกแร่ใยหินในประเทศไทยว่า “กรณีแร่ใยหิน เป็นหนึ่งในโรคอันตราย และเป็นเรื่องของสุขภาพอนามัยของประชาชน และกลุ่มผู้ใช้แรงงาน รวมถึงยังมีผลกระทบต่อผู้บริโภค ซึ่งสมควรที่จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา เนื่องจากแร่ใยหินก่อให้เกิดโรคปอดและมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด โดยตามหลักเศรษฐศาสตร์ ที่ผ่านมาเรื่องของการใช้แร่ใยหินในภาคอุตสาหกรรม จะมุ่งเน้นแต่เพียงเรื่องของต้นทุนการผลิต โดยมองข้ามเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งหากมีการนำเอามาพิจารณาประกอบกัน นั่นจะเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย และควรจะมีมาตรการป้องกันออกมาก่อนที่ตัวเลขของผู้ป่วยจะเพิ่มมากขึ้น
ส่วนตัวมีจุดยืนชัดเจน เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องจากเครือข่ายทีแบน ที่ต้องการให้องค์กรส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ยกเลิกการใช้แร่ใยหินในทุกๆ สัญญาจัดซื้อจัดจ้าง เช่น การยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างการก่อสร้างอาคารที่ใช้วัสดุก่อสร้างที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ อาทิ ท่อน้ำซีเมนต์ กระเบื้องมุงหลังคา โดยระบุในสัญญาให้เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไร้แร่ใยหินทั้งหมด ซึ่งเรื่องนี้หากพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดกับแรงงาน ประชาชนในท้องถิ่น และผู้บริโภคถือเป็นเรื่องที่สมควรจะต้องทำอยู่แล้ว” ศ.ดร.อภิชัย กล่าว
แนวทางการรณรงค์เปิดแนวรบเพื่อให้ประเทศไทยปลอดแร่ใยหินที่กำลังขยายตัวไปทั่วประเทศในครั้งนี้ นอกเหนือจากการให้ความรู้ และการเผยแพร่พิษภัยจากแร่ใยหินแล้ว ยังมีเรื่องของการนำเอากระแสซีเอสอาร์ ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการ “สร้างแนวป้องกันแร่ใยหิน” ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งเครือข่ายทีแบนระบุว่า ในส่วนหลังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากหน่วยงานภาคเอกชน และเชื่อว่าหน่วยงานต่างๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น น่าจะหันมาร่วมมือกัน เพื่อให้ประเทศไทย ปลอดแร่ใยหิน และคนไทย ไม่ต้องเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งเยื้อหุ้มปอดอีกต่อไป ...
อ้างอิง : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง 02-11-2556