หลังจากที่ซุ่มอ่านเรื่องราวของชาวบ้านมานานก็ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเรื่องราวการเติบโตในสายงานของตัวเองบ้าง
วันนี้มีโอกาสดี คิดว่าเวลาพอเหมาะอยากจะเล่าเรื่องของตัวเองให้ท่านอื่นๆได้ฟังบ้าง
เริ่มจากเส้นทางการเรื่องเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย หลักสูตรทางด้าน IT ซึ่งหลายๆคนที่เรียนในสายนี้จะรู้ว่าการเรียนในสาขาวิชาคอมพิวเตอร์จะเน้นการคิดที่เป็นโลจิกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเนื้อหาหลักสูตรก็จะประกอบไปด้วยหลายประเภทวิชา ในระดับชั้นปีแรกก็จะต้องเรียนวิชาพื้นฐานทั่วไปทั้งในสายคอมฯและวิชาพื้นฐานต่างๆ และในปีชั้นถัดๆมาก็จะเน้นที่วิชาในสาขาเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน Software Programing หรือวิชา Database System รวมไปถึงวิชาด้านที่เกี่ยวกับ Hardware อย่าง Emmanded System และ Computer Networking
ถึงตอนนี้จะมีเพื่อนๆหลายๆคนค้นพบตัวเองในวิชาที่เรียนแล้วว่าตัวเองชอบวิชาไหนและถนัดแบบไหน บางคนถนัดที่จะเขียนโปรแกรม บางคนชอบออกแบบ บางคนชอบทำกราฟฟิก GUI ต่างๆ ส่วนตัวผมเองเรียนกลางๆทำได้ทุกอย่าง แต่ว่าไม่ดีสักอย่างก็เน้นเรียนตามเพื่อนไปเรื่อยๆ แต่ก็มีบางคนที่ไม่ชอบสาขานี้ซะเลย ก็เปลี่ยนไปเรียนมหาวิทยาลัยอื่นก็มี จุดเริ่มของตัวผมเองอยู่ในช่วงฝึกงาน(ช่วงฝึกงานและโปรเจคจบ จะเป็นช่วงที่หลายๆคนค้นพบตัวเอง~IMHO) ก็เลือกที่จะตามๆเพื่อนไปเช่นเคย ผมได้มีโอกาสไปทำงานในบริษัท Software เล็กๆที่มีพนักงานไม่ถึง 20 คน ด้วยความที่เจ้าของอยากจะพัฒนางานระบบไปขายคู่ไปพร้อมกับ software จึงทำให้ผมมีโอกาสได้เรียนรู้ ผมขอเรียนงานส่วนนี้ว่า System Infrastructures อาจจะดูหรูไปหน่อยสำหรับตอนนั้น แต่หน้าที่หลักๆคือ พยายามนำFreeware services เช่นพวก Web server Web proxy (Windows AD มีพี่อีกคนเป็นคนดูแลอยู่แล้ว) และ database ขนาดเล็กๆ ที่มีอยู่ในตลาดมารวบรวมทดลองให้บริการควบคู่กับ software บริษัททำเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อ license สำหรับ services ต่างๆ ทำให้ผมและเพื่อนๆมีโอกาสพัฒนาความรู้ในงานส่วนนี้
ด้วยความโชคดีในความโชคร้าย เนื่องจากการเรียนของผม(หลักสูตรผมเรียนทั้งหมด 132 หน่วยกิจ)ไม่ค่อยห่วงเรื่องเกรดทำให้ผมลงเรียนแบบจัดเต็ม 7ตัว 21หน่วย ทุกภาคการศึกษา ซึ่งเพื่อนๆหลายคนจะเลือกลงน้อยกว่าเพื่อทำเกรดในแต่ละรายวิชา ทำเทอมสุดท้าย(ปี4เทอม2)ไม่มีวิชาเรียนเหลือเพียงแต่โปรเจคจบ ผมยื่นเรื่องเสนอภาควิชาเพื่อทำโปรเจคจบให้กับบริษัทที่ผมฝึกงาน โดยผมจะได้รับการบรรจุเป็นพนักงานเต็มตัวทำงาน 5 วันได้รับเงินเดือน 16k พร้อมทั้งได้ทำโปรเจคจบควบคุ่กันไป ซึ่งในโปรเจคจบนี้ผมก็ยังคงสานต่องานที่เคยทำไว้สมัยฝึกงานไปด้วย
จุดหักเหอีกครึ่งเมื่อผมเรียนจบและทำงานต่อที่เดิมได้อีกไม่เดือน บริษัทเริ่มมีปัญหาทางด้านการเงิน และด้วยเนื้องานที่ผมทำ ทำให้ผมห่างหายจากการเขียนโปรแกรม หรือเรียกว่าห่างชั้นจากเพื่อนที่เรียนรุ่นๆเดียวกันด้วยซ้ำ ทำให้ผมต้องคิดถึงสายงานในอนาคตว่า งานที่ผมทำอยู่นั้นมันต่อยอดไปทางไหนได้บ้าง ผมได้ไปเจอบทความหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับสายงาน Network โดยผู้เขียนเขียนไว้ค่อนข้างดี และมันก็ใช้พื้นฐานเดิมจากความรู้ที่ผมมีอยู่ได้ โดยผู้เขียนได้นิยามสายงาน Network เป็นลำดับชั้นโดยแบ่งตาม Certified รวมถึงลักษณะการทำงาน และบริษัทที่ผู้ทำงานสายงานนี้จะไปอยู่ โดยแบ่งเลเวลของเซอร์ดังนี้
CCNA(Cisco Certified Network Associate)
เป็น Certified ของบริษัท Cisco Inc ระดับ Techician/Engineer โดยผู้ที่ถือ CCNA จะการันตีความสามารถในงานnetwork พื้นฐาน รวมไปถึงความรู้ความเข้าใจในการแก้ปัญหา และออกแบบระบบที่ไม่มีความซับซ้อนมาก ถือเป็นก้าวแรกสำหรับงานในสายงาน Network โดยบริษัททั่วไป ไม่ว่าจะเป็นงาน Support ที่เป็น In-house admin หรือจะเป็น Outsource ก็ถือเป็น Minimum required เช่นกัน
CCNP(Cisco Certified Network Professional)
สำหรับผู้ที่ถือ CCNP จะต้องมีความรู้ความสามารถในการแก้ปัญหาเชิงลึกของระบบเครือข่าย รวมถึงการออกแบบในระบบที่ซับซ้อน โดยการได้มาซึ่งเซอร์นี้จะต้องผ่านทดสอบ 3 แกนวิชาหลักซึ่งเนื้อหาจะเจาะลึกจากส่วนของ CCNA ลงไปอีกโดยส่วนมากจะทำงานอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องมีผู้ดูแลงานเครือข่ายโดยเฉพาะ หรืออยู่ตามบริษัท ผู้จำหน่ายในฐานะที่ปรึกษาคอยให้คำตอบลูกค้าและคำแนะนำเชิงลึกกับทีม Engineer
CCIE(Cisco Certified Internetwork Expert)
เป็นเซอร์ระดับสูงสุดของสายงานระบบเครือข่าย โดยผู้ที่ถือ CCIE จะถูกมองว่าเป็นแกนหลักในการทำงานระบบที่มีความซับซ้อนสูง การออกแบบและการแก้ปัญหาที่มีความเกี่ยวเนื่องจากหลายองค์ประกอบ และสามารถเข้าใจลักษณะการทำงานของแต่ละเทคโนโลยีได้อย่างชัดเจน และส่วนใหญ่จะอยู่ในบริษัทฝั่งผู้ขาย(vendor) การจะได้มาซึ่ง CCIE จะต้องทำการทดสอบข้อเขียนและแล๊ปจากศูนย์สอบที่กำหนด (ปัจจุบันมี 10แห่งทั่วโลก) ใกล้บ้านเราที่สุดจะเป็นที่ ฮ่องกง และ ญี่ปุ่น ผู้ที่ผ่านการทำสอบจะได้รหัสประจำตัวซึ่งแต่ละคนจะไม่ซ้ำกัน ปัจจุบันมีผู้ถือ CCIE ทั่วโลกประมาณ 4 หมื่นคน

ปัจจุบัน Cetified ทางด้าน Network ของ Cisco ยังแบ่งตามประเภทของเทคโนโลยีออกเป็นหลายหมวดหมู่อีกด้วย เช่น
•Design สำหรับผู้ออกแบบระบบเครือข่าย
•Collaboration สำหรับงานทางด้านระบบ โทรศัพท์(VoIP) และ วิดีโอ
•Routing & Switching สำหรับงานด้านเครือข่ายพื้นฐาน
•Security สำหรับงานด้านความปลอดภัย
•Service Provider สำหรับ ISP ต่างๆ
การแบ่งลักษณะงาน ก็มีหลายตำแหน่งงาน

IT Support/IT Admin
สำหรับบัณฑิตจบใหม่ที่ไม่มีความสามารถทางด้าน Programming ก็มีทางเลือกไม่มากนะเพื่อหนีการเขียนโปรแกรมโดยงานหลักๆ ก็จะตกไปอยู่ที่ IT Support เนื้องานหลักๆก็จะเป็น ทำหน้าที่ซ่อมคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา แก้ปัญหาทุกอย่างตามแต่ user อยากจะเรียกใช้โดยที่เนื้อหาการซ่อมเครื่องเหล่านี้ไม่เคยได้อยู่ในหลักสูตรของการเรียนสายงาน IT เลยบวกกับเงินเดือนที่น้อยนิด ทำให้ผู้ที่อยากทำงานเฉพาะทางจำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เพื่อถีบตัวเองให้พ้นจากงาน กรรมกรIT โดยการสอบเซอร์ หรือ Certified ในวงการของงาน IT เรื่องของ Certified เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นตัวบ่งบอกระดับความสามารถในการทำงาน(อาจจะไม่100%) และมีผลอย่างยิ่งในการเลือกเข้าทำงานของหลายองค์กร และ Certified ก็มีหลากหลายขึ้นอยู่ตามชนิดของงาน ผลิตภัณฑ์ และ เทคโนโลยี โดยที่นิยมหลักๆสำหรับผู้ที่ทำงาน Non-Programming จะมีสองทางคือ งานระบบ(System) ไม่ว่าจะเป็น windows/non-windows หรือ งานเน็ตเวิร์ค(Network)

Network Engineer/Network Admin/NOC
สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ขึ้นมาอีกระดับ มีความเข้าใจในการแก้ปัญหาเครือข่าย และดูแลระบบเครือข่ายได้ โดยจะแบ่งเป็นสองฝั่งหลักๆคือ ฝั่งที่เป็น Admin คือตัวองค์กรไม่ได้ดำเนินธุรกิจ IT โดยตรงแต่ต้องใช้ระบบ Network ที่ซับซ้อนเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ โดยจะต้องเป็นองค์กรที่ใหญ่ถึงจะมีการจ้าง admin ที่ดูแลเฉพาะทางมาทำงาน ตัวอย่างเช่น ธนาคารพาณิชย์ หน่วยงานภาครัฐ ฯลฯ และอีกฝั่งคือฝั่งของผู้ขาย หรือ บริษัท SI ต่างๆที่ดำเนินธุจกิจในการขายระบบ IT โดยตรงรวมถึงให้บริการ Outsourcing ด้วย ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาเพื่อให้คำปรึกษา ออกแบบและแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนให้กับลูกค้า

Network Consultant/Solution Architecture
จะอยู่ในทั้งกลุ่มของฝั่งผู้ขายและองค์กรขนาดใหญ่ ในฝั่งผู้ขายก็ต้องการบุคคลที่มีความสามารถให้การออกแบบระบบที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าพร้อมทั้งแก้ปัญหาในเชิงลึก โดยผู้ที่ทำงานในตำแหน่งนี้จะถูกคาดหวังให้ตอบคำถามได้ทุกอย่างและแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง ส่วนในฝั่งขององค์กรเองก็ต้องการผู้ที่มีความเข้าใจระบบมาบริหารจัดการ vendor อีกทีหนึ่งหรืออีกความหมายหนึ่งก็เพื่อไม่ให้ถูกหลอก
โดยระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ในปัจจุบัน จะมาจากการออกแบบร่วมกันของกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น ระบบของธนาคาร หรือระบบของ ISP เอง
เกริ่นซะยาว....
หลังจาก อ่านข้อมูลเบื้องต้น มันทำให้ผมมีแรงบันดาลใจและจุดมุ่งหมายทันทีเพื่อที่จะก้าวไปให่ถึงระดับสูงสุดพร้อมทั้งค่าตอบแทนที่ใครๆก็บอกว่า ไม่น้อยหน้าใครในสายงาน IT ถ้าคุณเคยเล่นเกมส์ MMORPG อย่าง Ragnarok มาก่อนก็พอจะเข้าใจความหมายว่า อาชีพ Hi-Class มันเป็นยังไง พวกที่มาสายงานนี้เค้าไปเก็บเลเวลกันที่ไหน ถ้าคุณเคยเล่นเกมพวกนี้แล้วสักเกตดีๆ พวกที่มีไฟใต้เท้าหรือเลเวล 99 เค้าจะมีสังคมของเค้าเอง จะรู้จักกันเองไม่ว่าจะอยู่กิลไหนหรือแคลนไหน หรือ บริษัทไหน ทางที่จะไปให้ถึงพวกเค้าก็คือศึกษาว่าเค้าทำกันยังไงเก็บเลเวลที่ไหน เรียนรู้กันยังไง และถ้ามีโอกาสก็จงเลือกไปอยู่ ที่ๆคนระดับ Hi-Class อยู่ เพราะเราจะได้มีโอกาสใกล้ชิดเกาะติดเรียนรู้วิธีทำงาน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า กิล แคลน หรือ บริษัทพวกนี้จะจำกัด เลเวลขั้นต่ำ หรือ ความสามารถขั้นต่ำ หรือ certified ขั้นต่ำ
ทีนี้เราก็มาดูกันว่าจะก้าวไปถึงตรงนั้นได้อย่างไร....
CCIE บันไดขั้นสุดท้าย สู่ประตูบานแรก บนสายงาน Computer Network
วันนี้มีโอกาสดี คิดว่าเวลาพอเหมาะอยากจะเล่าเรื่องของตัวเองให้ท่านอื่นๆได้ฟังบ้าง
เริ่มจากเส้นทางการเรื่องเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย หลักสูตรทางด้าน IT ซึ่งหลายๆคนที่เรียนในสายนี้จะรู้ว่าการเรียนในสาขาวิชาคอมพิวเตอร์จะเน้นการคิดที่เป็นโลจิกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเนื้อหาหลักสูตรก็จะประกอบไปด้วยหลายประเภทวิชา ในระดับชั้นปีแรกก็จะต้องเรียนวิชาพื้นฐานทั่วไปทั้งในสายคอมฯและวิชาพื้นฐานต่างๆ และในปีชั้นถัดๆมาก็จะเน้นที่วิชาในสาขาเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน Software Programing หรือวิชา Database System รวมไปถึงวิชาด้านที่เกี่ยวกับ Hardware อย่าง Emmanded System และ Computer Networking
ถึงตอนนี้จะมีเพื่อนๆหลายๆคนค้นพบตัวเองในวิชาที่เรียนแล้วว่าตัวเองชอบวิชาไหนและถนัดแบบไหน บางคนถนัดที่จะเขียนโปรแกรม บางคนชอบออกแบบ บางคนชอบทำกราฟฟิก GUI ต่างๆ ส่วนตัวผมเองเรียนกลางๆทำได้ทุกอย่าง แต่ว่าไม่ดีสักอย่างก็เน้นเรียนตามเพื่อนไปเรื่อยๆ แต่ก็มีบางคนที่ไม่ชอบสาขานี้ซะเลย ก็เปลี่ยนไปเรียนมหาวิทยาลัยอื่นก็มี จุดเริ่มของตัวผมเองอยู่ในช่วงฝึกงาน(ช่วงฝึกงานและโปรเจคจบ จะเป็นช่วงที่หลายๆคนค้นพบตัวเอง~IMHO) ก็เลือกที่จะตามๆเพื่อนไปเช่นเคย ผมได้มีโอกาสไปทำงานในบริษัท Software เล็กๆที่มีพนักงานไม่ถึง 20 คน ด้วยความที่เจ้าของอยากจะพัฒนางานระบบไปขายคู่ไปพร้อมกับ software จึงทำให้ผมมีโอกาสได้เรียนรู้ ผมขอเรียนงานส่วนนี้ว่า System Infrastructures อาจจะดูหรูไปหน่อยสำหรับตอนนั้น แต่หน้าที่หลักๆคือ พยายามนำFreeware services เช่นพวก Web server Web proxy (Windows AD มีพี่อีกคนเป็นคนดูแลอยู่แล้ว) และ database ขนาดเล็กๆ ที่มีอยู่ในตลาดมารวบรวมทดลองให้บริการควบคู่กับ software บริษัททำเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อ license สำหรับ services ต่างๆ ทำให้ผมและเพื่อนๆมีโอกาสพัฒนาความรู้ในงานส่วนนี้
ด้วยความโชคดีในความโชคร้าย เนื่องจากการเรียนของผม(หลักสูตรผมเรียนทั้งหมด 132 หน่วยกิจ)ไม่ค่อยห่วงเรื่องเกรดทำให้ผมลงเรียนแบบจัดเต็ม 7ตัว 21หน่วย ทุกภาคการศึกษา ซึ่งเพื่อนๆหลายคนจะเลือกลงน้อยกว่าเพื่อทำเกรดในแต่ละรายวิชา ทำเทอมสุดท้าย(ปี4เทอม2)ไม่มีวิชาเรียนเหลือเพียงแต่โปรเจคจบ ผมยื่นเรื่องเสนอภาควิชาเพื่อทำโปรเจคจบให้กับบริษัทที่ผมฝึกงาน โดยผมจะได้รับการบรรจุเป็นพนักงานเต็มตัวทำงาน 5 วันได้รับเงินเดือน 16k พร้อมทั้งได้ทำโปรเจคจบควบคุ่กันไป ซึ่งในโปรเจคจบนี้ผมก็ยังคงสานต่องานที่เคยทำไว้สมัยฝึกงานไปด้วย
จุดหักเหอีกครึ่งเมื่อผมเรียนจบและทำงานต่อที่เดิมได้อีกไม่เดือน บริษัทเริ่มมีปัญหาทางด้านการเงิน และด้วยเนื้องานที่ผมทำ ทำให้ผมห่างหายจากการเขียนโปรแกรม หรือเรียกว่าห่างชั้นจากเพื่อนที่เรียนรุ่นๆเดียวกันด้วยซ้ำ ทำให้ผมต้องคิดถึงสายงานในอนาคตว่า งานที่ผมทำอยู่นั้นมันต่อยอดไปทางไหนได้บ้าง ผมได้ไปเจอบทความหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับสายงาน Network โดยผู้เขียนเขียนไว้ค่อนข้างดี และมันก็ใช้พื้นฐานเดิมจากความรู้ที่ผมมีอยู่ได้ โดยผู้เขียนได้นิยามสายงาน Network เป็นลำดับชั้นโดยแบ่งตาม Certified รวมถึงลักษณะการทำงาน และบริษัทที่ผู้ทำงานสายงานนี้จะไปอยู่ โดยแบ่งเลเวลของเซอร์ดังนี้
CCNA(Cisco Certified Network Associate)
เป็น Certified ของบริษัท Cisco Inc ระดับ Techician/Engineer โดยผู้ที่ถือ CCNA จะการันตีความสามารถในงานnetwork พื้นฐาน รวมไปถึงความรู้ความเข้าใจในการแก้ปัญหา และออกแบบระบบที่ไม่มีความซับซ้อนมาก ถือเป็นก้าวแรกสำหรับงานในสายงาน Network โดยบริษัททั่วไป ไม่ว่าจะเป็นงาน Support ที่เป็น In-house admin หรือจะเป็น Outsource ก็ถือเป็น Minimum required เช่นกัน
CCNP(Cisco Certified Network Professional)
สำหรับผู้ที่ถือ CCNP จะต้องมีความรู้ความสามารถในการแก้ปัญหาเชิงลึกของระบบเครือข่าย รวมถึงการออกแบบในระบบที่ซับซ้อน โดยการได้มาซึ่งเซอร์นี้จะต้องผ่านทดสอบ 3 แกนวิชาหลักซึ่งเนื้อหาจะเจาะลึกจากส่วนของ CCNA ลงไปอีกโดยส่วนมากจะทำงานอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องมีผู้ดูแลงานเครือข่ายโดยเฉพาะ หรืออยู่ตามบริษัท ผู้จำหน่ายในฐานะที่ปรึกษาคอยให้คำตอบลูกค้าและคำแนะนำเชิงลึกกับทีม Engineer
CCIE(Cisco Certified Internetwork Expert)
เป็นเซอร์ระดับสูงสุดของสายงานระบบเครือข่าย โดยผู้ที่ถือ CCIE จะถูกมองว่าเป็นแกนหลักในการทำงานระบบที่มีความซับซ้อนสูง การออกแบบและการแก้ปัญหาที่มีความเกี่ยวเนื่องจากหลายองค์ประกอบ และสามารถเข้าใจลักษณะการทำงานของแต่ละเทคโนโลยีได้อย่างชัดเจน และส่วนใหญ่จะอยู่ในบริษัทฝั่งผู้ขาย(vendor) การจะได้มาซึ่ง CCIE จะต้องทำการทดสอบข้อเขียนและแล๊ปจากศูนย์สอบที่กำหนด (ปัจจุบันมี 10แห่งทั่วโลก) ใกล้บ้านเราที่สุดจะเป็นที่ ฮ่องกง และ ญี่ปุ่น ผู้ที่ผ่านการทำสอบจะได้รหัสประจำตัวซึ่งแต่ละคนจะไม่ซ้ำกัน ปัจจุบันมีผู้ถือ CCIE ทั่วโลกประมาณ 4 หมื่นคน
ปัจจุบัน Cetified ทางด้าน Network ของ Cisco ยังแบ่งตามประเภทของเทคโนโลยีออกเป็นหลายหมวดหมู่อีกด้วย เช่น
•Design สำหรับผู้ออกแบบระบบเครือข่าย
•Collaboration สำหรับงานทางด้านระบบ โทรศัพท์(VoIP) และ วิดีโอ
•Routing & Switching สำหรับงานด้านเครือข่ายพื้นฐาน
•Security สำหรับงานด้านความปลอดภัย
•Service Provider สำหรับ ISP ต่างๆ
การแบ่งลักษณะงาน ก็มีหลายตำแหน่งงาน
IT Support/IT Admin
สำหรับบัณฑิตจบใหม่ที่ไม่มีความสามารถทางด้าน Programming ก็มีทางเลือกไม่มากนะเพื่อหนีการเขียนโปรแกรมโดยงานหลักๆ ก็จะตกไปอยู่ที่ IT Support เนื้องานหลักๆก็จะเป็น ทำหน้าที่ซ่อมคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา แก้ปัญหาทุกอย่างตามแต่ user อยากจะเรียกใช้โดยที่เนื้อหาการซ่อมเครื่องเหล่านี้ไม่เคยได้อยู่ในหลักสูตรของการเรียนสายงาน IT เลยบวกกับเงินเดือนที่น้อยนิด ทำให้ผู้ที่อยากทำงานเฉพาะทางจำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เพื่อถีบตัวเองให้พ้นจากงาน กรรมกรIT โดยการสอบเซอร์ หรือ Certified ในวงการของงาน IT เรื่องของ Certified เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นตัวบ่งบอกระดับความสามารถในการทำงาน(อาจจะไม่100%) และมีผลอย่างยิ่งในการเลือกเข้าทำงานของหลายองค์กร และ Certified ก็มีหลากหลายขึ้นอยู่ตามชนิดของงาน ผลิตภัณฑ์ และ เทคโนโลยี โดยที่นิยมหลักๆสำหรับผู้ที่ทำงาน Non-Programming จะมีสองทางคือ งานระบบ(System) ไม่ว่าจะเป็น windows/non-windows หรือ งานเน็ตเวิร์ค(Network)
Network Engineer/Network Admin/NOC
สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ขึ้นมาอีกระดับ มีความเข้าใจในการแก้ปัญหาเครือข่าย และดูแลระบบเครือข่ายได้ โดยจะแบ่งเป็นสองฝั่งหลักๆคือ ฝั่งที่เป็น Admin คือตัวองค์กรไม่ได้ดำเนินธุรกิจ IT โดยตรงแต่ต้องใช้ระบบ Network ที่ซับซ้อนเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ โดยจะต้องเป็นองค์กรที่ใหญ่ถึงจะมีการจ้าง admin ที่ดูแลเฉพาะทางมาทำงาน ตัวอย่างเช่น ธนาคารพาณิชย์ หน่วยงานภาครัฐ ฯลฯ และอีกฝั่งคือฝั่งของผู้ขาย หรือ บริษัท SI ต่างๆที่ดำเนินธุจกิจในการขายระบบ IT โดยตรงรวมถึงให้บริการ Outsourcing ด้วย ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาเพื่อให้คำปรึกษา ออกแบบและแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนให้กับลูกค้า
Network Consultant/Solution Architecture
จะอยู่ในทั้งกลุ่มของฝั่งผู้ขายและองค์กรขนาดใหญ่ ในฝั่งผู้ขายก็ต้องการบุคคลที่มีความสามารถให้การออกแบบระบบที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าพร้อมทั้งแก้ปัญหาในเชิงลึก โดยผู้ที่ทำงานในตำแหน่งนี้จะถูกคาดหวังให้ตอบคำถามได้ทุกอย่างและแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง ส่วนในฝั่งขององค์กรเองก็ต้องการผู้ที่มีความเข้าใจระบบมาบริหารจัดการ vendor อีกทีหนึ่งหรืออีกความหมายหนึ่งก็เพื่อไม่ให้ถูกหลอก
โดยระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ในปัจจุบัน จะมาจากการออกแบบร่วมกันของกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น ระบบของธนาคาร หรือระบบของ ISP เอง
เกริ่นซะยาว....
หลังจาก อ่านข้อมูลเบื้องต้น มันทำให้ผมมีแรงบันดาลใจและจุดมุ่งหมายทันทีเพื่อที่จะก้าวไปให่ถึงระดับสูงสุดพร้อมทั้งค่าตอบแทนที่ใครๆก็บอกว่า ไม่น้อยหน้าใครในสายงาน IT ถ้าคุณเคยเล่นเกมส์ MMORPG อย่าง Ragnarok มาก่อนก็พอจะเข้าใจความหมายว่า อาชีพ Hi-Class มันเป็นยังไง พวกที่มาสายงานนี้เค้าไปเก็บเลเวลกันที่ไหน ถ้าคุณเคยเล่นเกมพวกนี้แล้วสักเกตดีๆ พวกที่มีไฟใต้เท้าหรือเลเวล 99 เค้าจะมีสังคมของเค้าเอง จะรู้จักกันเองไม่ว่าจะอยู่กิลไหนหรือแคลนไหน หรือ บริษัทไหน ทางที่จะไปให้ถึงพวกเค้าก็คือศึกษาว่าเค้าทำกันยังไงเก็บเลเวลที่ไหน เรียนรู้กันยังไง และถ้ามีโอกาสก็จงเลือกไปอยู่ ที่ๆคนระดับ Hi-Class อยู่ เพราะเราจะได้มีโอกาสใกล้ชิดเกาะติดเรียนรู้วิธีทำงาน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า กิล แคลน หรือ บริษัทพวกนี้จะจำกัด เลเวลขั้นต่ำ หรือ ความสามารถขั้นต่ำ หรือ certified ขั้นต่ำ
ทีนี้เราก็มาดูกันว่าจะก้าวไปถึงตรงนั้นได้อย่างไร....