พรบ.นิรโทษกรรม ตัดตอนการเรียนรู้ของสังคมไทย ไม่ต่างอะไรกับการปฏิวัติ

กระทู้สนทนา
ผมอยากเห็นการเรียนรู้ของสังคมไทยที่เมื่อผ่านวันเวลาไปนานๆจะสั่งสมประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อเกิดเป็นความรู้ความเข้าใจในสังคม
การปฏิวัติที่ผ่านมาเป็นการตัดตอนกระบวนการในการเรียนรู้ ไม่ต่างอะไรกับพวกเรียกร้องให้ปฏิวัติที่ดูเหมือนไม่อยากให้สังคมไทยเรียนรู้มากขึ้นๆ

การออกพรบ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ก็เช่นกัน(ในมุมมองของผม) หากสามารถออกพรบ.นี้ได้ เรา(คนไทย)จะไม่มีวันรู้เลยจริงๆว่า การกระทำของคนหลายๆกลุ่มที่เป็นแกนนำทั้งหลาย รัฐบาลที่สั่งสลายการชุมนุม จริงๆแล้วผิดหรือถูก
หากแกนนำที่ชักชวนคนให้มาร่วมชุมนุมแล้วกระทำผิดกฏหมายมีความผิด โทษจะเป็นอย่างไร หนักหนาแค่ไหน จำคุกกี่ปี ครั้งต่อๆไปใครที่จะมาเป็นแกนนำจะได้ตรึกตรองให้มากกว่านี้ ไม่ใช้แค่รวมกลุ่มกันมาเยอะๆก่อความเดือดร้อนแล้วลอยหน้าลอยตาในสังคมอย่างปัจจุบัน
หากรัฐบาลที่สั่งสลายการชุมนุมก็เช่นกัน หากไม่ผิด สามารถเอากระสุนจริงมาไล่ยิงคนชุมนุมได้เมื่อผู้ชุมนุมทั้งหลายทำผิดกฏหมายร้ายแรง คนที่จะมาชุมนุมในครั้งต่อๆไปจะได้เกรงกลัว

ผมไม่สนใจหรอกครับว่าใครผิดใครถูก มันแล้วแต่มุมมอง สิ่งที่สังคมได้รับจากการกระทำที่เกิดขึ้นต่างหากเป็นสิ่งที่ทุกๆคนจะต้องเก็บเอามาเรียนรู้

สิ่งสำคัญที่สุดของประการทั้งปวง กลไกของกระบวนการยุติธรรม(ดีเอสไอ ตำรวจ ศาล ผู้พิพากษาฯลฯ) ที่ล่าช้าและขัดสายตาก็เป็นชนวนก่อให้เกิดปัญหา หากตัดสินเร็วๆตั้งแต่เสื้อเหลืองปิดสนามบินว่าแกนนำผิดเข้าคุกทุกคนในตอนนั้น คงไม่มีเสื้อแดงเผายางในวันนี้ ผมถือว่าเป็นความผิดของกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่กล้าตัดสินคดีความทำให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่นๆ
ความล่าช้าของกระบวนการยุติธรรมก็เป็นความไม่ยุติธรรมอย่างนึงแล้วเช่นกัน

ปล.ผมไม่เข้าใจความซับซ้อนของคุณมาร์คหนีทหารมากนัก เอกสารหลักฐานทุกอย่างก็มี ทำไมถึงตัดสินช้าจัง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่