พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อพิชิต IELTS แบบประก๊อบประกอบ

ผมได้อ่านกระทู้ที่มีคนมาเล่าเรื่องการเตรียมสอบ IELTS หรือ TOEFL ใน Pantip หลายกระทู้ ซึ่งมักมีลักษณะร่วมอยู่อย่างคือ จขกท ใช้เวลาเตรียมตัวไม่นานมากนัก แค่ประมาณ 2-3 เดือนก็สอบได้คะแนนสูงๆ กัน เช่น IELTS 6.5 หรือ 7.0 ขึ้นไป หรือ TOEFL ibt ได้เกิน 100 แต่จากข้อสังเกตุอื่นๆ ผมพบว่า จขกท เหล่านั้นมีพื้นฐานทักษะภาษาอังกฤษในระดับดีถึงดีมากอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อต้องเตรียมตัวสอบจึงใช้เวลาไม่นานก็สามารถทำคะแนนดีๆ ได้  ซึ่งแตกต่างจากคนทั่วไป คนส่วนมากที่อาจไม่ได้นึกถึงพื้นฐานเหล่านี้มาก่อน อ่านกระทู้ผ่านๆ ก็อาจเข้าใจได้ว่าการใช้เวลาเตรียมตัว 2-3 เดือนก็เพียงพอที่จะทำข้อสอบได้คะแนนภาษาอังกฤษได้ ซึ่งมันไม่จริงเลย


ในฐานะที่เคยต้องสอบ IELTS มาก่อน แต่มาจากพื้นฐานภาษาอังกฤษที่เรียกได้ว่าสูญ  คือเรียกได้ว่าไม่มีเลย ผมใช้เวลาประมาณ 1 ปีเศษๆ แบบไม่ต่อเนื่องในการพัฒนาทักษะจนสอบผ่านระดับที่ต้องการได้   เผอิญเมื่อวานนี้มีน้องคนนึงสอบถามเทคนิคในเตรียมสอบ IELTS แบบสุดๆ  เพราะได้เคยเข้าไปติดตามใน blog ส่วนตัวของผมที่เคยเขียนเล่าเรื่องการเตรียมตัวสอบของผมไว้หลายปีมาแล้ว  แต่คิดว่ายังคงใช้ได้แม้ในปัจจุบัน บวกกับรู้สึกว่าน่าจะเพิ่มเติมอะไรบางอย่าง รวมถึงการบอกเล่าเรื่องราวของผมเองที่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนอ่อนภาษาอังกฤษทั้งหลายมีแรงมุมานะเพิ่มขึ้น  รวมถึงเพื่อให้มีคนอ่านในวงกว้างกว่าแค่เขียนไว้ใน blog จึงต้องขอใช้พื้นที่ใน Pantip เล่าเรื่องการเตรียมตัวสอบของผมอีกครั้ง เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ บ้าง  โดยเอาเรื่องที่เคยเขียนไว้ใน blog มาเรียบเรียงใหม่  ดังนั้นกระทู้นี้น่าจะยาวมาก แต่หวังว่าจะเป็นประโยชน์ ก็ขอเริ่มเรื่องราว ณ บัดนี้
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 34
มีหลายคนถามเรื่อง file ภาษาอังกฤษที่ผมเคยโหลดมา ก็เลย upload ไว้ให้ ขนาด 776 MB ครับ เป็น zip ไฟล์

https://drive.google.com/file/d/0B5eiyNBn1djPelFrcGdFMDMzTjg/view?usp=sharing

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
ส่วนการฝึกพูด จริงๆ แล้วเป็นส่วนที่ผมฝึกน้อยที่สุด ส่วนนึงเพราะขี้เกียจและขี้อาย วิธีฝึกคือ ไปหาห้องเงียบๆ กับที่อัดเสียง สุ่มข้อสอบ IELTS speaking มาอันนึง จำลองตัวเองเป็นคนถามและตอบ อัดเสียงไว้ เอามาเปิดซ้ำฟังข้อผิดพลาดของเรา ปัญหากับการฝึกแบบนี้สำหรับผมคือ พอฟังเสียงตัวเองแล้วรู้สึกว่าพูดห่วยมาก พาลหมดกำลังใจฝึกไปอีก 5 5 5


จริงๆ แล้วการพูด ส่วนสำคัญคือเรื่องของ Pronunciation คือการออกเสียงคำต่างๆ ให้ถูกต้อง เช่นเสียง S เสียง ED ต้องชัด ไม่จำเป็นต้องให้ Accent ดีเหมือนเจ้าของภาษา แต่เราต้องออกเสียงคำต่างๆ เน้นหนักเบาให้ถูก นอกจากนั้นในการพูด เราต้องใช้ tense ให้ถูกด้วย เช่นเล่าเรื่องในอดีต ก็ต้องใช้ประโยคเป็น Past tense สำหรับคนที่โอกาสฝึกฝนน้อย ผมว่าทักษะพูดนี่ฝึกยาก เพราะเราต้องฟังเวลาเค้าถาม คิดคำพูดในสมอง ก่อนที่จะพูดออกไป ซึ่งต้องใช้ทักษะหลายด้านประกอบกัน ส่วนนี้ผมฝึกน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับทักษะอื่นๆ กะว่าไปตายเอาดาบหน้า เพราะบางทีก็พูดดี ถ้าเป็นเรื่องที่เราสนใจหรือชอบ แต่บางเรื่องก็พูดห่วย ดังนั้นเรื่องฝึกพูดนี่อาจจะต้องรอคนอื่นมาแชร์ประกบการณ์


ผมใช้เวลาในการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษประมาณ 1 ปีเศษๆ จากระดับใช้การไม่ได้ มาจนถึงระดับสอบผ่านไปเรียนต่อต่างประเทศได้  ในเวลา 1 ปีนั้นผมไม่ได้ฝึกทุกวัน แต่ฝึกหนักเป็นช่วงๆ  เพียงแต่แต่ละช่วงกินเวลา 2-3 เดือน โดยเฉพาะช่วงก่อนสอบครั้งสุดท้ายผมลงทุนหยุดงานฝึกทุกวันวันละหลายๆ ชั่วโมงเพื่อเตรียมสอบเท่านั้น   ภาษาเป็นเรื่องของทักษะและการฝึกฝนไม่มีวิธีลัดในการพัฒนา ทุกอย่างมาจากการฝึกฝนและการใช้งาน รวมถึงต้องมีคนคอยแก้ไขถ้าเราใช้ผิดให้ด้วย เราจึงจะพัฒนาได้  


ดังนั้นจึงไม่มีโรงเรียนหรือสถาบันใดๆ ที่จะช่วยพัฒนาตัวเราได้โดยแค่การเข้าไปนั่งเรียน ทำการบ้านตามที่ครูสั่ง แต่ไม่ฝึกฝนทบทวนเองเพิ่มเติมมากๆ นอกเวลาเรียนได้   และไม่มีทางที่จะพัฒนาจากระดับแย่มากๆ จนถึงระดับ IELTS 7.0 ได้ในเวลา 2 เดือนครับ เพราะต้องใช้เวลามากกว่านั้น แต่ด้วยการฝึกฝนจริงๆ จัง ผมเชื่อว่าในเวลา 1 ปี เราสามารถพัฒนาทักษะภาษาจากระดับไม่เอาไหน จนกลายเป็นพอใช้งานได้ สอบผ่านตามเกณฑ์ขั้นต่ำของมหาวิทยาลัยต่างประเทศได้ครับ  


ผมได้พบคนไทยที่มาเรียนต่อต่างประเทศหลายคนมากที่ระดับภาษาอังกฤษดีมากถึงขั้นยอดเยี่ยม  ทุกคนที่พบไม่มีใครเคยมาเรียนภาษาที่ต่างประเทศก่อนเลย ไม่มีประเภทเคยมาเรียน summer ที่อังกฤษ แต่ทุกคนเก่งมาจากไทยแล้วและเก่งภาษาอังกฤษมาตั้งแต่สมัยมัธยม ส่วนคนที่เคยมาเรียนภาษาระยะสั้น 3- 6 เดือนที่ต่างประเทศทุกคนที่รู้จัก ทักษะภาษาอังกฤษธรรมดาครับ  ดังนั้นขอบอกว่าตามความเห็นส่วนตัว การมาเรียนภาษาที่ต่างประเทศไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้การเรียนภาษาประสบความสำเร็จครับ ไม่ใช่เรื่องจำเป็น แต่ถ้าทุนถึงจะทำผมก็ไม่ห้าม    รวมทั้งผมรู้จักพี่คนไทยที่แต่งงานกับฝรั่ง อยู่กับสามีมา 10 กว่าปี แต่จดบัดนี้ยังต้องใช้ภาษาใบ้ปนภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ คุยกับสามีอยู่เลยก็มีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่