สถาบันครอบครัวของ ชาวหุย วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2556 โดย : นิสรีน หวังตักวาดีน
สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันมีความสำคัญมากในสังคม และหน้าที่อันสำคัญยิ่งของสถาบันครอบครัวนั้นคือ “การสร้างคน” เพื่อให้ “คน” ที่สร้างนั้นเป็น “คน” ที่สามารถดำรงอยู่ในสังคมได้ มาตรฐานในการ “สร้าง” ของแต่ละกลุ่มนั้นมีความแตกต่างกันตามเบื้องหลังของครอบครัว เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เป็นต้น แล้วมาตรฐานของชาวหุยซึ่งเป็นกลุ่มชนชาติที่นับถือศาสนาอิสลามในประเทศจีน เป็นเช่นไรล่ะ
หลังจากที่ศาสนาอิสลามเข้าสู่ประเทศจีนตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 7 การเข้ามาของชาวเปอร์เซียในสถานภาพต่างๆ เช่นพ่อค้า นักการทูต เป็นต้น กรเข้าสู่จีนของพวกเขา ทำให้เกิดปรากฏการณ์การสมรสระหว่างผู้ชายชาวเปอร์เซียและผู้หญิงชาวหุย สังคมชาวหุยในอดีตจึงนิยมพูดกันว่า“คุณปู่หุย คุณย่าฮั่น” (หุยปาปา ฮั่นน่ายนาย) และปรากฏการณ์ที่น่าสังเกตก็คือ สถานการณ์ของการ “เข้ารีต” นั้น ส่วนมากจะเป็นการแต่งเข้าของสาวฮั่น ส่วนน้อยที่ผู้หญิงชาวหุยจะแต่งงานกับผู้ชายชาวฮั่น
ดังนั้นพื้นฐานการดำรงชีวิตของชาวหุย จึงสามารถคงความศรัทธาตามแนวทางของอัล-อิสลามที่มีความเป็นหนึ่งเดียวได้ และรูปแบบการศึกษาภายในครอบครัวของชาวหุย จึงเป็นแบบพ่อ สอนลูก
เมื่อจำนวนของชาวหุยมากขึ้น ชาวหุยจึงกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มชนชาติอย่างเป็นทางการของจีนในที่สุด ระหว่างนั้นได้เกิดชุมชนชาวหุยขนาดเล็กและใหญ่ขึ้น โดยชุมชนต่างๆ ได้กระจายอยู่ทั่วประเทศจีน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือมัสยิดขนาดน้อยใหญ่ตามชุมชนต่างๆ ของชาวหุย
ซึ่งมัสยิดนอกจากจะเป็นที่ปฎิบัติศาสนกิจแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางการพบปะแลกเปลี่ยนของชาวหุย บุตรหลานชาวหุยจึงมีโอกาสใกล้ชิดกับศาสนามากขึ้น นอกจากการติดตามผู้ปกครองเพื่อไปปฎิบัติศาสนกิจแล้ว ชาวหุยยังได้ให้บุตรหลานเรียนความรู้พื้นฐานทางด้านศาสนาอิสลามในมัสยิดตั้งแต่อายุ 4 ขวบ 4 เดือน ในอดีตเยาวชน ชาวหุยจึงมีโอกาสใกล้กับศาสนาอิสลามมาก
“ชาวหุยใต้หล้าครอบครัวเดียวกัน” “ก่อนพบกันใยต้องรู้จักกัน ‘สลาม’ คำเดียวก็สนิทได้” เป็นสโลแกนที่ชาวหุยคุ้นเคยกันดี ด้วยหลักคำสอนของศาสนาอิสลามนั้นเป็นหลักคำสอนที่เน้นการปฏิบัติตนในการดำเนินชีวิต ชาวหุยจึงมักจะมีจารีต ข้อควรใช้ข้อควรห้ามตามหลักเกณฑ์ของศาสนา
ตั้งแต่ธรรมเนียมในการบริโภค ชาวหุยจะรับประทานเฉพาะอาหารฮาลาล งดบริโภคอาหารที่ฮารอม บุตรหลานของชาวหุยยังได้มีการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานให้มีความเข้มแข็ง อดทน ตามศาสนบัญญัติของศาสนาอิสลาม โดยมีการฝึกการถือศีลอดตั้งแต่วันเยาว์
ผู้ชายชาวหุยยังถูกฝึกให้มีสุขภาพที่แข็งแรงและมีวิชาการป้องกันตัว โดยที่ผู้ชายชาวหุยจะต้องถูกฝึก “กังฟู” ตั้งแต่เด็ก และชาวหุยได้สร้างนักกังฟูที่มีชื่อเสียงแล้วจำนวนไม่น้อย ครอบครัวชาวหุยยังให้ความสำคัญในการสืบทอดความรู้และเทคนิคทางด้านอาชีพต่างๆ โดยเฉพาะอาชีพการค้า ไม่ว่าจะเป็นการค้าเร่และฝีมือในการสร้างงาน (อาชีพ) จนทำให้ชาวหุยสามารถผูกขาดบางอาชีพในสังคมได้
เช่น เมื่อกล่าวถึงบะหมี่เนื้อวัว ทุกคนต้องคิดถึงบะหมี่เนื้อวัวของชาวหุย เป็นต้น
ปัจจุบันนี้นักวิชาการจีนมีความเห็นว่า วัฒนธรรมของชาวหุยนั้นเป็นการผสมผสานสองวัฒนธรรมหลัก นั่นก็คือการผสมผสานกันของวัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมอิสลาม ดังนั้นหลังจากที่ศาสนาอิสลามเข้าสู่จีน จึงเกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกันและเนื้อหาต่างๆ ก็ผสมผสานกัน
ในช่วงปลายราชวงค์หมิงถึงช่วงต้นราชวงค์ชิง (ค.ศ. 1600-1690) ได้มีนักวิชาการชาวหุย ที่มีความรู้ทั้งภาษาอาหรับ ภาษาเปอร์เซีย และมีความรู้เกี่ยวกับปรัชญาอย่างดี นักวิชาการกลุ่มนี้ได้นำเรื่องราวคุณธรรมแนวความคิดของขงจื่อ ผสานกับการอธิบายหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีอิทธิพลต่อคุณธรรมและจริยธรรมของชาวหุยมาก แนวความคิดของการผสานกันนี้ให้เห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัวมากขึ้น
โดยมีข้อสรุปว่าความสำคัญของสามีและภรรยามีพื้นฐานความสำคัญที่เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามีหน้าที่ที่แตกต่างกัน ความสำคัญของพ่อลูก เน้นความสำคัญของลูกที่จะต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ และผู้ปกครองก็จะต้องอบรมเลี้ยงดูบุตร
นักวิชาการชาวหุยที่ชื่อว่าหม่าจู้ในสมัยนั้นระบุอย่างชัดเจนว่า “เลี้ยงบุตรแต่ไม่อบรม สู้ไม่เลี้ยงดีกว่า ถ้าสอนในสิ่งที่ไม่เที่ยงตรง ก็เสมือนกับไม่ได้สอน”
ส่วนนักวิชาการที่ชื่อว่าหลิวจื้อนั้นมีความเห็นว่า “ให้ความสำคัญตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ตั้งชื่อที่สวยงาม ทำอากีเกาะฮ์ เฝ้าระวังโรคภัย รักษาความอนามัย ให้ความสำคัญเรื่องการอบรม เลือกครูที่ดีให้ ถ้าเติบโตแล้ว จะต้องครองเรือน”
นักวิชาการชาวหุยมีบทบาทต่อชีวิตของชาวหุยมากตั้งแต่อดีต ครั้งหนึ่งผู้เขียนมีโอกาสพบครอบครัวชาวหุยในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง มีโอกาสได้รู้จักหญิงชราคนหนึ่ง ชื่อว่ายายหู ซึ่งมีอายุ 70 กว่า ยายหูมีสุขภาพที่แข็งแรง พูดจาฉะฉาน ยายหูมีลูกทั้งหมด 7 คน สามียายหูเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนี้ยายหูจึงต้องอาศัยอยู่กับลูกสาว 2 คน คนหนึ่งเป็นลูกลำดับที่ 6 และลูกคนสุดท้อง ทั้งสองคนไม่ค่อยสมประกอบตั้งแค่กำเนิด คนที่หกอายุ 33 ปี มีความพิการทางสมอง ที่ผ่านมาได้แต่งงานกับผู้ชายในหมู่บ้านแล้วมีลูกสาวคนหนึ่ง สุดท้ายสามีทนไม่ได้จึงทอดทิ้งเขาและลูก
ส่วนน้องคนสุดท้องอายุ 29 ปี ป่วยเป็นโรคโปลิโอชนิดรุนแรงที่มีผลกระทบต่อสมอง ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาสติไม่ค่อยดี สามารถพูดคุยได้เพียงเล็กน้อย เขาไม่สามารถเดินได้เวลาจะเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งต้องใช้เก้าอี้เล็กๆ ยันกับพื้น เขาไม่สามารถช่วยงานใดๆ ในบ้านได้เลย ส่วนพี่สาวของเขาสามารถช่วยงานบ้านได้เพียงเล็กน้อย รายได้ของทั้งสองนั้นมาจากรายเดือนของพี่ๆ ทั้งห้า
แม้ว่าทั้งสองพี่น้องจะไม่สมประกอบ แต่เวลาที่ทั้งสอง ได้ยินเสียงอะซานจากมัสยิดของหมู่บ้าน ไม่ว่าทั้งสองกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ทั้งสองพี่น้องก็จะกุลีกุจอไปทำน้ำละหมาด เพื่อที่จะได้ละหมาดทันเวลา เมื่อเห็นภาพเช่นนี้แล้ว ผู้เขียนก็รู้สึกประทับใจมาก
หลายๆ ครั้งที่ได้พูดคุยกับยายหู ยายหูเล่าว่า “สำหรับลูกสาวทั้งสองนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยายก็หวังแต่เพียงว่าขออัลลอฮ์ (ซ.บ.) เปิดใจให้ลูกสองคนนี้ต้องรู้จักอิสลามมากขึ้น ยายก็อัลฮัมดุลิลลาฮ์” ยายหูเป็นผู้หญิงชาวหุย ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองมาค่อนข้างมาก
แต่อย่างไรก็ตามยายหูนั้นเป็นผู้ที่มีความขยันและมั่งมั่นต่อการงานของศาสนา เป็นเพราะว่ายายหูอายุมากแล้ว ไม่สะดวกในการประกอบอาชีพต่างๆ แล้ว ยายหูใช้เวลาว่างไปศึกษาหาความรู้ทางด้านศาสนาจากครูตามมัสยิดต่างๆ และเข้าร่วมงานองกลุ่มแม่บ้านชาวหุยในหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตาม หน้าที่ที่ยายชาวหุยคนนี้ประสบความสำเร็จนั้น ก็ต้องยกนิ้วให้กับการดูแลบุตรสาวทั้งสองให้รู้จักและปฎิบัติตามหลักคำสอนของอัลอิสลาม
http://www.publicpostonline.com/main/content.php?page=sub&category=6&id=802
สถาบันครอบครัวของ ชาวหุย
สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันมีความสำคัญมากในสังคม และหน้าที่อันสำคัญยิ่งของสถาบันครอบครัวนั้นคือ “การสร้างคน” เพื่อให้ “คน” ที่สร้างนั้นเป็น “คน” ที่สามารถดำรงอยู่ในสังคมได้ มาตรฐานในการ “สร้าง” ของแต่ละกลุ่มนั้นมีความแตกต่างกันตามเบื้องหลังของครอบครัว เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เป็นต้น แล้วมาตรฐานของชาวหุยซึ่งเป็นกลุ่มชนชาติที่นับถือศาสนาอิสลามในประเทศจีน เป็นเช่นไรล่ะ
หลังจากที่ศาสนาอิสลามเข้าสู่ประเทศจีนตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 7 การเข้ามาของชาวเปอร์เซียในสถานภาพต่างๆ เช่นพ่อค้า นักการทูต เป็นต้น กรเข้าสู่จีนของพวกเขา ทำให้เกิดปรากฏการณ์การสมรสระหว่างผู้ชายชาวเปอร์เซียและผู้หญิงชาวหุย สังคมชาวหุยในอดีตจึงนิยมพูดกันว่า“คุณปู่หุย คุณย่าฮั่น” (หุยปาปา ฮั่นน่ายนาย) และปรากฏการณ์ที่น่าสังเกตก็คือ สถานการณ์ของการ “เข้ารีต” นั้น ส่วนมากจะเป็นการแต่งเข้าของสาวฮั่น ส่วนน้อยที่ผู้หญิงชาวหุยจะแต่งงานกับผู้ชายชาวฮั่น
ดังนั้นพื้นฐานการดำรงชีวิตของชาวหุย จึงสามารถคงความศรัทธาตามแนวทางของอัล-อิสลามที่มีความเป็นหนึ่งเดียวได้ และรูปแบบการศึกษาภายในครอบครัวของชาวหุย จึงเป็นแบบพ่อ สอนลูก
เมื่อจำนวนของชาวหุยมากขึ้น ชาวหุยจึงกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มชนชาติอย่างเป็นทางการของจีนในที่สุด ระหว่างนั้นได้เกิดชุมชนชาวหุยขนาดเล็กและใหญ่ขึ้น โดยชุมชนต่างๆ ได้กระจายอยู่ทั่วประเทศจีน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือมัสยิดขนาดน้อยใหญ่ตามชุมชนต่างๆ ของชาวหุย
ซึ่งมัสยิดนอกจากจะเป็นที่ปฎิบัติศาสนกิจแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางการพบปะแลกเปลี่ยนของชาวหุย บุตรหลานชาวหุยจึงมีโอกาสใกล้ชิดกับศาสนามากขึ้น นอกจากการติดตามผู้ปกครองเพื่อไปปฎิบัติศาสนกิจแล้ว ชาวหุยยังได้ให้บุตรหลานเรียนความรู้พื้นฐานทางด้านศาสนาอิสลามในมัสยิดตั้งแต่อายุ 4 ขวบ 4 เดือน ในอดีตเยาวชน ชาวหุยจึงมีโอกาสใกล้กับศาสนาอิสลามมาก
“ชาวหุยใต้หล้าครอบครัวเดียวกัน” “ก่อนพบกันใยต้องรู้จักกัน ‘สลาม’ คำเดียวก็สนิทได้” เป็นสโลแกนที่ชาวหุยคุ้นเคยกันดี ด้วยหลักคำสอนของศาสนาอิสลามนั้นเป็นหลักคำสอนที่เน้นการปฏิบัติตนในการดำเนินชีวิต ชาวหุยจึงมักจะมีจารีต ข้อควรใช้ข้อควรห้ามตามหลักเกณฑ์ของศาสนา
ตั้งแต่ธรรมเนียมในการบริโภค ชาวหุยจะรับประทานเฉพาะอาหารฮาลาล งดบริโภคอาหารที่ฮารอม บุตรหลานของชาวหุยยังได้มีการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานให้มีความเข้มแข็ง อดทน ตามศาสนบัญญัติของศาสนาอิสลาม โดยมีการฝึกการถือศีลอดตั้งแต่วันเยาว์
ผู้ชายชาวหุยยังถูกฝึกให้มีสุขภาพที่แข็งแรงและมีวิชาการป้องกันตัว โดยที่ผู้ชายชาวหุยจะต้องถูกฝึก “กังฟู” ตั้งแต่เด็ก และชาวหุยได้สร้างนักกังฟูที่มีชื่อเสียงแล้วจำนวนไม่น้อย ครอบครัวชาวหุยยังให้ความสำคัญในการสืบทอดความรู้และเทคนิคทางด้านอาชีพต่างๆ โดยเฉพาะอาชีพการค้า ไม่ว่าจะเป็นการค้าเร่และฝีมือในการสร้างงาน (อาชีพ) จนทำให้ชาวหุยสามารถผูกขาดบางอาชีพในสังคมได้
เช่น เมื่อกล่าวถึงบะหมี่เนื้อวัว ทุกคนต้องคิดถึงบะหมี่เนื้อวัวของชาวหุย เป็นต้น
ปัจจุบันนี้นักวิชาการจีนมีความเห็นว่า วัฒนธรรมของชาวหุยนั้นเป็นการผสมผสานสองวัฒนธรรมหลัก นั่นก็คือการผสมผสานกันของวัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมอิสลาม ดังนั้นหลังจากที่ศาสนาอิสลามเข้าสู่จีน จึงเกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกันและเนื้อหาต่างๆ ก็ผสมผสานกัน
ในช่วงปลายราชวงค์หมิงถึงช่วงต้นราชวงค์ชิง (ค.ศ. 1600-1690) ได้มีนักวิชาการชาวหุย ที่มีความรู้ทั้งภาษาอาหรับ ภาษาเปอร์เซีย และมีความรู้เกี่ยวกับปรัชญาอย่างดี นักวิชาการกลุ่มนี้ได้นำเรื่องราวคุณธรรมแนวความคิดของขงจื่อ ผสานกับการอธิบายหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีอิทธิพลต่อคุณธรรมและจริยธรรมของชาวหุยมาก แนวความคิดของการผสานกันนี้ให้เห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัวมากขึ้น
โดยมีข้อสรุปว่าความสำคัญของสามีและภรรยามีพื้นฐานความสำคัญที่เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามีหน้าที่ที่แตกต่างกัน ความสำคัญของพ่อลูก เน้นความสำคัญของลูกที่จะต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ และผู้ปกครองก็จะต้องอบรมเลี้ยงดูบุตร
นักวิชาการชาวหุยที่ชื่อว่าหม่าจู้ในสมัยนั้นระบุอย่างชัดเจนว่า “เลี้ยงบุตรแต่ไม่อบรม สู้ไม่เลี้ยงดีกว่า ถ้าสอนในสิ่งที่ไม่เที่ยงตรง ก็เสมือนกับไม่ได้สอน”
ส่วนนักวิชาการที่ชื่อว่าหลิวจื้อนั้นมีความเห็นว่า “ให้ความสำคัญตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ตั้งชื่อที่สวยงาม ทำอากีเกาะฮ์ เฝ้าระวังโรคภัย รักษาความอนามัย ให้ความสำคัญเรื่องการอบรม เลือกครูที่ดีให้ ถ้าเติบโตแล้ว จะต้องครองเรือน”
นักวิชาการชาวหุยมีบทบาทต่อชีวิตของชาวหุยมากตั้งแต่อดีต ครั้งหนึ่งผู้เขียนมีโอกาสพบครอบครัวชาวหุยในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง มีโอกาสได้รู้จักหญิงชราคนหนึ่ง ชื่อว่ายายหู ซึ่งมีอายุ 70 กว่า ยายหูมีสุขภาพที่แข็งแรง พูดจาฉะฉาน ยายหูมีลูกทั้งหมด 7 คน สามียายหูเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนี้ยายหูจึงต้องอาศัยอยู่กับลูกสาว 2 คน คนหนึ่งเป็นลูกลำดับที่ 6 และลูกคนสุดท้อง ทั้งสองคนไม่ค่อยสมประกอบตั้งแค่กำเนิด คนที่หกอายุ 33 ปี มีความพิการทางสมอง ที่ผ่านมาได้แต่งงานกับผู้ชายในหมู่บ้านแล้วมีลูกสาวคนหนึ่ง สุดท้ายสามีทนไม่ได้จึงทอดทิ้งเขาและลูก
ส่วนน้องคนสุดท้องอายุ 29 ปี ป่วยเป็นโรคโปลิโอชนิดรุนแรงที่มีผลกระทบต่อสมอง ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาสติไม่ค่อยดี สามารถพูดคุยได้เพียงเล็กน้อย เขาไม่สามารถเดินได้เวลาจะเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งต้องใช้เก้าอี้เล็กๆ ยันกับพื้น เขาไม่สามารถช่วยงานใดๆ ในบ้านได้เลย ส่วนพี่สาวของเขาสามารถช่วยงานบ้านได้เพียงเล็กน้อย รายได้ของทั้งสองนั้นมาจากรายเดือนของพี่ๆ ทั้งห้า
แม้ว่าทั้งสองพี่น้องจะไม่สมประกอบ แต่เวลาที่ทั้งสอง ได้ยินเสียงอะซานจากมัสยิดของหมู่บ้าน ไม่ว่าทั้งสองกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ทั้งสองพี่น้องก็จะกุลีกุจอไปทำน้ำละหมาด เพื่อที่จะได้ละหมาดทันเวลา เมื่อเห็นภาพเช่นนี้แล้ว ผู้เขียนก็รู้สึกประทับใจมาก
หลายๆ ครั้งที่ได้พูดคุยกับยายหู ยายหูเล่าว่า “สำหรับลูกสาวทั้งสองนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยายก็หวังแต่เพียงว่าขออัลลอฮ์ (ซ.บ.) เปิดใจให้ลูกสองคนนี้ต้องรู้จักอิสลามมากขึ้น ยายก็อัลฮัมดุลิลลาฮ์” ยายหูเป็นผู้หญิงชาวหุย ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองมาค่อนข้างมาก
แต่อย่างไรก็ตามยายหูนั้นเป็นผู้ที่มีความขยันและมั่งมั่นต่อการงานของศาสนา เป็นเพราะว่ายายหูอายุมากแล้ว ไม่สะดวกในการประกอบอาชีพต่างๆ แล้ว ยายหูใช้เวลาว่างไปศึกษาหาความรู้ทางด้านศาสนาจากครูตามมัสยิดต่างๆ และเข้าร่วมงานองกลุ่มแม่บ้านชาวหุยในหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตาม หน้าที่ที่ยายชาวหุยคนนี้ประสบความสำเร็จนั้น ก็ต้องยกนิ้วให้กับการดูแลบุตรสาวทั้งสองให้รู้จักและปฎิบัติตามหลักคำสอนของอัลอิสลาม
http://www.publicpostonline.com/main/content.php?page=sub&category=6&id=802