คือบ้านหนูพ่อแม่มีลูก3คนเป็นลูกสาวหมดเลยและหนูเป็นน้องคนสุดท้อง พ่อแม่ก็เหมือนจะห่วงเราเป็นพิเศษอยู่แล้ว นั่นเป็นเรื่องดีสำหรับหนูนะคะ แต่พอหนูเริ่มโตขึ้นจนเริ่มเข้าสู่อายุ17ปีแล้ว พ่อแม่ก็ดูจะห่วงหนูเหมือนเดิมนะคะแต่ความรู้สึกที่เรามีให้พวกเขามันเริ่มไม่เหมือนเดิม เราเริ่มเป็นคนที่มองโลกในหลายด้านมากขึ้นจึงทำให้ได้รู้ว่าพ่อแม่ห่วงเรามากเกินไป ซึ่งที่จริงมันก็เป็นแบบนี้มานานตั้งแต่เราอยู่อนุบาล2แล้ว พวกท่านก็จะชอบเลี้ยงเราเหมือนไข่ในหินเลย ทำอะไรก็ทำให้เราทุกอย่าง และแบบถ้าวันไหนไม่ไปโรงเรียนก็ให้อยู่แต่ในบ้านเนี่ยแหละเพราะข้างนอกมันมีอันตรายจึงไม่อยากให้ไปไหนทั้งคนเดียวและกับเพื่อนสนิทก็ตาม ในชีวิตนี้หนูจึงได้อยู่แต่ที่โรงเรียนและบ้าน เวลาไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้ไปกับเพื่อนหรือคนอื่นเลยนอกจากครอบครัวตัวเองแม้จะเป็นที่ใกล้บ้านก็ตาม ไม่แชท คือท่านเลี้ยงเราเหมือนเด็กสมัยก่อนหมดเลยค่า คือคลาดสายตาไปไหนไม่ได้ ขนาดตอนเข้าค่ายม.3ที่ต่างจังหวัดพ่อยังตามไปด้วยเลย เวลาเลิกเรียนจะไปไหนท่านก็จะจำกัดบริเวณเราแค่ข้างหน้าฝั่งเดียวกับโรงเรียนเท่านั้น ห้ามข้ามถนนไปอีกฝั่งเด็ดขาดเลย แล้วพวกท่านก็สอนให้เราเป็นคนดี พูดจากับเพื่อนและทุกคนให้ไพเราะ ห้ามพูดคำหยาบเด็ดขาด อืมตอนเด็กหนูก็รู้สึกดีนะที่มีพ่อแม่ห่วงเราแบบนี้เวลาทำอะไรจะได้สบายใจแต่ตอนนี้อยู่ม.5 หนูโตแล้วนะ พวกท่านยังเหมือนเดิมอยู่จนเราไม่ได้มีโอกาสทำตามใจตัวเองบ้างเลย เพื่อนชวนไปดูหนังก็ไม่ให้ไป จะไปกินหมูกะทะกับเพื่อนก็ไม่พอใจ สรุปไม่ได้ไรสักอย่าง จนตอนนี้หนูโดนเพื่อนล้อทั้งหญิง-ชายหมดแล้วว่ายัยลูกคุณหนู หนูติ๋ม เรียบร้อย เด็กเรียน มุตา ตัวเองเริ่มอายจนร้องไห้ทุกวันเงียบๆเลย ตั้งแต่เด็กแล้วหนูไม่ค่อยมีเพื่อนเลยค่ะเพราะจะเปนคนเงียบมาก โลกส่วนตัวสูง ไม่พูดหยาบ ที่สำคัญคืออ่อนต่อโลก เราเลยคิดว่าที่เปนแบบนี้เพราะพวกท่านไม่เคยให้เราออกไปไหนหรือทำอะไรเองรึป่าว ไปไหนก็ต้องมีพวกท่าน ล่าสุดหนูขอไปดูหนังกับรุ่นน้องดีๆก็ถูกดุเกินแล้วบอกว่า'มันมากเกินไปแล้วที่ขอน่ะ ถ้าคิดจะทำแบบนี้อีกม.6จะให้อยู่มันแต่ที่นี่แหละ ไม่ต้องไปเรียนที่ต่างจังหวัดเลย พ่อแม่ไม่เคยพาลูกไปเที่ยวเลยรึไงฮะ' ขนาดทัศนศึกษายังไม่อยากให้ไปมากและเวลาไปได้ก็โทรมาถามสารทุกสุขดิบแทบทุกชั่วโมงจนเพื่อนหลายคนหมั่นไส้เลยหนูก็คิดนะว่าท่านเห็นเราเป็นเด็กอยู่เหรอ ม.5แล้วนะ เรียนอีกปีก็จะเข้ามหาลัยแล้ว ถ้าแค่ไปดูหนังยังไม่ให้แล้วเราจะมีโอกาสได้ออกไปฝึกประสบการณ์ใหม่ข้างนอกมั้ย บอกว่าเราอ่อนต่อโลก ตามเล่ห์คนไม่ทัน ทำไรไม่เป็น นั่นก็เพราะพวกท่านไม่เคยฝึกเราให้ออกสู่โลกภายนอก ต่อสู้ชีวิตลำพังแบบลูกคนอื่นเลยไม่ใช่หรอแล้วมันก็ทำให้พวกท่านไม่เชื่อมั่นในตัวเราอีกแหละ แบบนี้เวลาหนูเข้ามหาลัยไปต่างจังหวัดไกลๆจะอยู่คนเดียวได้ไง ไม่ร้องไห้เลยหรอ ใช้ชีวิตประจำวันที่หอจะทำไง พวกท่านทำให้เราผูกพันธ์มากเกินไปแล้ว พวกท่านคิดว่าเราเป็นเด็กไร้เดียงสาคนนึงเวลาพวกท่านเข้าใจไรเราผิดเราก็จะบอกเหตุผลไปแต่ก็จะโดนหาว่าเถียงตลอด ไม่ใช่แค่พวกท่านอย่างเดียวแต่ทุกคนในครอบครัวเลยแหละ พวกลูกพี่ลูกน้องที่อายุห่างกัน1ปีเองยังใช้ให้ไปยกน้ำมาให้แขกทุกคนดื่มกันเลย มีแต่เราได้แต่นั่งที่ไม่มีโอกาสได้ช่วยไรเค้ามั่งเพราะเนื่องจากไม่ถูกฝึกมากจึงบริการใครไม่ค่อยเก่งและซุ่มซ่าม ทุกคนก็ไม่ไว้ใจและเชื่อในตัวเรา จนหนูกลายเป็นมีโลกส่วนตัวสูงด้วยเพราะเหตุนี้แหละ สุดท้ายตอนนี้หนูก็ยังกลัวตัวเองอยู่เลยว่าท่านจะให้เราไปเรียนมหาลัยต่างจังหวัดจริงรึเปล่านะ ถึงยอมท่านก็จะตามไปอยู่กับเราด้วยรึเปล่า และจบมาถ้าหนูเป็นพวกช่างภาพนิตยสารท่องเที่ยวไรงี้ก็ต้องไปตามที่เที่ยวต่างๆ พ่อจะตามไปดูแลหนูด้วยรึเปล่า แบบเค้าให้ช่างภาพขึ้นรถของบริษัทไปด้วยกันแต่พ่อบังคับให้เราขึ้นรถไปกับตัวเค้าเองประมาณนี้อ่ะ แล้วเรื่องชีวิตคู่ตัวเองอีกล่ะจะยอมให้มีมั้ย หนูกลัวจังว่าชีวิตตัวเองจะมีโอกาสได้ออกจากกรงทองแบบคนอื่นบ้างมั้ยนะ นี่จนถึงตอนนี้พ่อแม่เองก็ยังไม่รู้ว่าหนูเป็นคนยังไงเวลาอยู่โรงเรียนและแทบไม่มีเพื่อน ตอนจะขอดูหนังก็ยังบ่นว่าเดี๋ยวนี้ทำไมลูกคบกับรุ่นน้องมากเกินไปล่ะ แล้วเพื่อนตัวเองเล่าา หนูก็ไม่ได้พูดเพราะกลัวท่านเทศยาว มันแปลกมั้ยที่อยู่โรงเรียนหนูจะเป็นคนที่เงียบ เหมือนโกรธใครไม่เป็น บางครั้งเศร้าที่ไม่มีเพื่อนคุยด้วยบางครั้งรู้สึกดีในใจที่มีเพื่อนมาทำให้เราหัวเราะ แต่พออยู่ที่บ้านหนูจะร่าเริงสดใส ในใจเศร้าทุกครั้งที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่ช่วงนี้แทบทุกวันที่กลับมาหนูจะหงุดหงิดแบบไม่มีสาเหตุตลอดไม่รู้เป็นไร อยู่ที่โรงเรียนถึงจะเงียบแต่ก็รู้สึกดีนะแต่กลับมาถึงบ้านแค่นั้นทำไมหงุดหงิดทุกทีนะ นี่หนูจะทำไงเรื่องชีวิตตัวเองดีคะ หนูกลัวเหลือเกินว่าจะไม่มีคำว่าอิสระเสรีในชาตินี้เลย
เสียใจค่ะ พ่อแม่ไม่เคยเข้าใจเราเลย