'วรวรรณ'ชี้บ้านเมืองถึงจุดต่อสู้ครั้งสุดท้าย

กระทู้สนทนา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วรวรรณ ธาราภูมิ,องค์การต่อต้านคอร์รัปชั่น

           
"วรวรรณ" ชี้ บ้านเมืองถึงจุดเริ่มต้นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย แนะทุกฝ่ายสู้กับความมืดดำในใจก่อนสู้กับผู้อื่น

นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการกลยุทธ์ องค์การต่อต้านคอร์รัปชั่น โพสต์เฟสบุ๊ค ระบุ จุดเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ว่า คุณทักษิณเองนั้นแม้จะมีการติดต่อกับคนในประเทศ หรือมีคนไปหา มีคนส่งข่าวตลอด แต่การอยู่ไกล ไม่ได้เข้ามาสัมผัสของจริงในบ้านเราด้วยตนเอง ก็ประเมินคน ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดได้

เพราะคนที่ไปพบ ไปหา ไปกอดแข้งกอดขาแผล่บบๆๆๆ นั้น จะมีสักกี่คนที่เขารักและคิดถึงหัวใจของคุณทักษิณจริงๆ หากมีใครไปหาโดยไม่ได้จะเอาประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ก็ถือว่าเขาเป็นกัลยาณมิตรอันหาได้ยากยิ่งของคุณทักษิณเถิดแล้วอยู่ดีๆ ร่างกฏหมายคาซอยนี้ก็จะมาขโมยเวลาในชีวิตทุกคนให้หายไปเฉยๆ ถึง 9 ปี 7 เดือน 8 วัน ทั้งๆ ที่หน้าตาฉันมันร่วงโรยไปกับเวลาแล้ว จะกลับมาเป็นสาวเท่ากับเมื่อ 10 ปีก่อนอีกไม่ได้

ก็รัฐประหารเกิดขึ้นวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่ทำไมร่าง พรบ.นี้ จะให้มีผลครอบคลุมช่วงเวลา 9 ปี 7 เดือน 8 วัน (1 มค 2547 - 8 สค 2556) ไปขยายความขนาดนี้เพื่ออะไร แถมยังลากยาวเลยกลางปี 2553 ที่เป็นช่วงที่คนโกรธแค้นรัฐบาลในช่วงนั้นทำการเผาเมืองมาตั้ง 3 ปีกว่า

หรือก่อนหน้าและหลังจากช่วงเวลาที่ควรนิรโทษนั้น มีอะไรที่ขึ้นศาลแล้วมันจะออกมาไม่สวย

หลายคนเขาประชดว่า ทำไมไม่ขยายเวลาไปถึงชาติหน้า เพื่อให้ผู้ “จะ” กระทำผิดต่อ ได้พ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง ทั้งชาตินี้และชาติหน้าเล่า

อีกอย่างหนึ่งคือ จะคิดให้หัวแทบแตกอย่างไร ก็คิดไม่ออก ว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเกี่ยวอย่างไรกับการชุมนุมทางการเมือง ดังนั้น จะอภัยทางการเมืองอย่างไรก็ตกลงกันไป แต่เรื่องคอร์รัปชั่นมันต้องพิสูจน์กันให้จบ

เพราะถ้าเรายอมให้ร่างกฏหมายนี้คลอดออกมา แล้วลบล้างเรื่องคอร์รัปชั่นออกไปเฉยๆ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น จะยิ่งเป็นปัจจัยด้านลบต่อภาพลักษณ์คอร์รัปชันของไทย เนื่องจากเราจะเป็นประเทศเดียวที่คอร์รัปชั่นได้รับการยอมรับจาก Law Makers ในสภาฯ แล้วคนดีๆ ที่ไหนเขาจะอยากลงทุนในประเทศที่ไร้ความโปร่งใส และมี Law Makers ที่แสดงตนอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนการคอร์รัปชั่นด้วยความกะตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ประเทศไทยก็จะเสื่อมเกียรติในเวทีโลกที่สุด แม้เขาจะต้อนรับขับสู้ยิ้มแย้ม แต่ในใจเขาก็จะดูถูก ดูหมิ่นคนไทย รัฐบาลไทย นิติบัญญัติไทย ว่าต่ำชั้น ไม่มีดีอะไร ซึ่งจะทำให้แผ่นดินไทยอันสะอาดภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ต้องมัวหมองไปด้วย

คุณประเสริฐ นาสกุล อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ล่วงลับไปแล้ว เคยบอกว่า "หัวใจการเมืองคือความไม่เห็นแก่ตัว เพราะถ้าเห็นแก่ตัวและเห็นแก่พรรคของตัวแล้ว จะไปเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร"

Plato บอกว่า “หนึ่งในการถูกลงโทษเพราะเราปฏิเสธการมีส่วนร่วมทางการเมือง คือการถูกปกครองโดยคนชั้นเลว”

เราไม่อยากถูกปกครองโดยคนชั้นเลวอย่างที่ Plato ว่า อยากให้คุณทักษิณคัดเอาคนมีฝีมือจริงๆ ไม่ใช่ฝีปาก มาทำงานเสียที ไม่งั่นก็กลับมาเป็นนายกฯ เองเลยน่าจะดีกว่า และเราไม่อยากให้พรรคการเมืองมวลชนเห็นแก่ตัว เราถึงต้องออกมายืนต่อต้านแนวคิดนิรโทษคอร์รัปชั่นแบบ Set Zero เพราะเราเห็นว่ามันจะกลายเป็น Set C-4

ก็มันดีตรงไหนหรือ ที่จะต้องเลือดนองพื้นกันอีกด้วยฝีมือของคนไทยด้วยกัน แม้จะมีบางคนทั้ง 2 ฝ่าย แอบสะใจอยู่บ้างก็ตาม

พวกเราไม่ได้ถือหางข้างการเมืองเลย แต่ทำไมต้องมาผลักเราออกจากจุดยืนตรงกลาง ให้ไปเข้าข้างใดข้างหนึ่งเพื่อดำรงไว้ซึ่งหลักของบ้านเมือง เรื่องไม่เอาคอร์รัปชั่น

แต่ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ ก็ขอให้ต่างยึดมั่นในความมีจิตใจใสสะอาดเอาไว้ ชนะก็อย่าฮึกเหิมลำพองคิดว่าเราเก่งเป็นฮีโร่ ทำตัวกร่าง ไปรังแกคนแพ้ เพราะสุดท้ายก็ไม่มีใครรอด และถ้าแพ้ก็อย่าท้อถอยหมดหวังจนไม่เชื่อในความดีกันอีก

บ้านเมืองในขณะนี้คือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว แต่สิ่งที่เราสู้ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ระบอบอะไร ไม่ใช่ไพร่ ไม่ใช่อำมาตย์ แต่เป็นความมืดดำ ความมีโมหะ โทสะ โลภะ ในหัวใจของชนชั้นบน 2 ฝ่ายที่แย่งชิงอำนาจกัน ไม่ใช่ประชาชนอย่างเราๆ ไม่ว่าจะสีไหน

ที่จริงอยากจะบอกว่า เราต้องชนะตนเองก่อนถึงจะชนะผู้อื่นได้ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่