วันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังครับ
เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว ผมเจอลูกศิษย์ที่เคยสอนมา
พึ่งจบ ป.ตรี บริหารธุรกิจ เข้ามาขอคำปรึกษา
ว่าตอนนี้กำลังสับสนกับชีวิต จะเอายังไงดีกับอนาคต
คือ ที่บ้านของเขา มีกิจการ ทำรับเหมากับเครือซิเมนต์ไทยอยู่
รายรับเดือนนึงก็หลักล้านอยู่เหมือนกัน
และด้วยความที่เป็นพี่ชายคนโต
พ่อจึงอยากให้เข้าไปช่วยกิจการ
แต่เมื่อเข้าไปทำแล้ว ก็ตามประสาคนหนุ่มไฟแรง
ก็เข้าไปรื้อระบบ ปรับเปลี่ยนทุกอย่างที่คิดว่าผิด
ทำให้คนงานที่อยู่มานานไม่ชอบ และไม่ยอมรับ
เกิดกระแสต่อต้าน ไม่ทำตามคำสั่ง
ก็เลยท้อ อยากจะหนีกลับไปทำงานกรุงเทพ
และกำลังจะไปสัมภาษณ์งาน กับธนาคารแห่งหนึ่งอยู่
ก็เลยลังเล ว่าควรจะทำอย่างไรดี
เรื่องนี้ปัญหาไม่ใหญ่ เลยให้คำปรึกษาไปคร่าวๆดังนี้ครับ
คือ ให้ลองถามตัวเอง ว่า ณ ตอนนี้อยากทำอะไร และทำอะไรได้มั้ง
แล้วอีกหนึ่งอาทิตย์ ค่อยเอาคำตอบนั้นมาคุยกัน
โดยที่ผมเน้นไปว่า ให้หาคำตอบมาให้เยอะที่สุด
และไม่ต้องคิดถึงเรื่องเงิน เอาความต้องการจริงๆ
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ลูกศิษย์ผมกลับมาพร้อมกระดาษในมือ
เขียนสิ่งที่เขาอยากทำมาเยอะแยะ แต่ที่ทำได้มีอยู่ไม่กี่อย่าง
ยกตัวอย่างนะครับ
เปิดร้านเหล้า ,เปิดร้านแต่งรถ ,เปิดบริษัทรับเหมาเอง ,เปิดขายอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงาน
กลับไปช่วยพ่อทำงาน , ไปทำงานธนาคาร ,ไปทำงานเครือซิเมนต์ ,ทำสนามฟุตบอลให้เช่า
นี่แค่ที่จำได้นะครับ คนเวลาไฟแรงนี่คิดอะไรได้เยอะจริงๆ
เมื่อได้คำตอบมามากมายแล้ว
เราก็เริ่มคุยกันถึงความต้องการ และความพร้อมที่แท้จริง
เพื่อให้เขามีความสุข กับการทำในสิ่งที่เขาจะเลือก
ซึ่งหลังจากนั่งคุยกันพักใหญ่ ก็ได้ออกมาเป็นตาราง ข้างท้ายกระทู้
ซึ่งถ้ามองจากความต้องการ และความพร้อมแล้ว
ก็จะเหลือตัวเลือกแค่ 2 อย่าง คือ
เปิดบริษัทใหม่ หรือกลับเข้าไปทำ ในหน้าที่เดิม
สู้ต่อไปเพื่อเอาชนะใจคนงานให้ได้
หาทางให้เขายอมทำตามแบบที่เราคิด
ว่ามันดี มันมีประโยชน์ กับบริษัทมากที่สุด
วันนั้นผมไม่ได้บอกว่าให้เขาตัดสินใจอย่างไร
เพียงแต่แนะนำไปว่า
ถ้าเลือกข้อแรก น่าจะเกิดอะไรขึ้น กับชีวิตเขา
และถ้าเลือกข้อสอง จะเกิดอะไรขึ้น
ให้เขาตัดสินใจเอง
เพราะผลจากการที่เขาเลือก ก็เกิดกับตัวเขาเองทั้งนั้น
ผ่านไปสองเดือน ลูกศิษย์ผมกลับมาพร้อมข่าวดี
ว่าหลังจากวันนั้น เขาก็ตัดสินใจเลือกข้อแรก
จึงเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพ่อ เพื่อที่จะขอเงินไปเปิดบริษัท
แต่พ่อไม่อนุมัติ แต่ให้คำตอบมาใหม่
ซึ่งทำให้คำตอบทั้ง ข้อหนึ่งและสอง รวมกันได้
คือ ตั้งแผนกขึ้นมาใหม่ ในบริษัทเดิม
แล้วให้ลูกศิษย์ผมบริหาร
บริหารแบบใหม่ กับคนงานชุดใหม่
เพื่อค่อยๆให้คนงานเก่า ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลง
และยอมรับในความสามารถของเขา
ซึ่งผลเป็นอย่างไร ก็คงต้องดูกันไปยาวๆ
บางทีคนเรา ก็มีจุดที่ต้องตัดสินใจกันบ้าง
ถ้ามองปัญหา และความต้องการจริงๆ ของเราออกแล้ว
ก็ไม่ยากที่จะแก้ไขปัญหานั้นเลย
ขอบคุณที่อ่าน
แวะไปกด Like ได้ที่ Facebook.com/teejote
ชีวิตของเรา เราเลือกเอง
เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว ผมเจอลูกศิษย์ที่เคยสอนมา
พึ่งจบ ป.ตรี บริหารธุรกิจ เข้ามาขอคำปรึกษา
ว่าตอนนี้กำลังสับสนกับชีวิต จะเอายังไงดีกับอนาคต
คือ ที่บ้านของเขา มีกิจการ ทำรับเหมากับเครือซิเมนต์ไทยอยู่
รายรับเดือนนึงก็หลักล้านอยู่เหมือนกัน
และด้วยความที่เป็นพี่ชายคนโต
พ่อจึงอยากให้เข้าไปช่วยกิจการ
แต่เมื่อเข้าไปทำแล้ว ก็ตามประสาคนหนุ่มไฟแรง
ก็เข้าไปรื้อระบบ ปรับเปลี่ยนทุกอย่างที่คิดว่าผิด
ทำให้คนงานที่อยู่มานานไม่ชอบ และไม่ยอมรับ
เกิดกระแสต่อต้าน ไม่ทำตามคำสั่ง
ก็เลยท้อ อยากจะหนีกลับไปทำงานกรุงเทพ
และกำลังจะไปสัมภาษณ์งาน กับธนาคารแห่งหนึ่งอยู่
ก็เลยลังเล ว่าควรจะทำอย่างไรดี
เรื่องนี้ปัญหาไม่ใหญ่ เลยให้คำปรึกษาไปคร่าวๆดังนี้ครับ
คือ ให้ลองถามตัวเอง ว่า ณ ตอนนี้อยากทำอะไร และทำอะไรได้มั้ง
แล้วอีกหนึ่งอาทิตย์ ค่อยเอาคำตอบนั้นมาคุยกัน
โดยที่ผมเน้นไปว่า ให้หาคำตอบมาให้เยอะที่สุด
และไม่ต้องคิดถึงเรื่องเงิน เอาความต้องการจริงๆ
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ลูกศิษย์ผมกลับมาพร้อมกระดาษในมือ
เขียนสิ่งที่เขาอยากทำมาเยอะแยะ แต่ที่ทำได้มีอยู่ไม่กี่อย่าง
ยกตัวอย่างนะครับ
เปิดร้านเหล้า ,เปิดร้านแต่งรถ ,เปิดบริษัทรับเหมาเอง ,เปิดขายอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงาน
กลับไปช่วยพ่อทำงาน , ไปทำงานธนาคาร ,ไปทำงานเครือซิเมนต์ ,ทำสนามฟุตบอลให้เช่า
นี่แค่ที่จำได้นะครับ คนเวลาไฟแรงนี่คิดอะไรได้เยอะจริงๆ
เมื่อได้คำตอบมามากมายแล้ว
เราก็เริ่มคุยกันถึงความต้องการ และความพร้อมที่แท้จริง
เพื่อให้เขามีความสุข กับการทำในสิ่งที่เขาจะเลือก
ซึ่งหลังจากนั่งคุยกันพักใหญ่ ก็ได้ออกมาเป็นตาราง ข้างท้ายกระทู้
ซึ่งถ้ามองจากความต้องการ และความพร้อมแล้ว
ก็จะเหลือตัวเลือกแค่ 2 อย่าง คือ
เปิดบริษัทใหม่ หรือกลับเข้าไปทำ ในหน้าที่เดิม
สู้ต่อไปเพื่อเอาชนะใจคนงานให้ได้
หาทางให้เขายอมทำตามแบบที่เราคิด
ว่ามันดี มันมีประโยชน์ กับบริษัทมากที่สุด
วันนั้นผมไม่ได้บอกว่าให้เขาตัดสินใจอย่างไร
เพียงแต่แนะนำไปว่า
ถ้าเลือกข้อแรก น่าจะเกิดอะไรขึ้น กับชีวิตเขา
และถ้าเลือกข้อสอง จะเกิดอะไรขึ้น
ให้เขาตัดสินใจเอง
เพราะผลจากการที่เขาเลือก ก็เกิดกับตัวเขาเองทั้งนั้น
ผ่านไปสองเดือน ลูกศิษย์ผมกลับมาพร้อมข่าวดี
ว่าหลังจากวันนั้น เขาก็ตัดสินใจเลือกข้อแรก
จึงเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพ่อ เพื่อที่จะขอเงินไปเปิดบริษัท
แต่พ่อไม่อนุมัติ แต่ให้คำตอบมาใหม่
ซึ่งทำให้คำตอบทั้ง ข้อหนึ่งและสอง รวมกันได้
คือ ตั้งแผนกขึ้นมาใหม่ ในบริษัทเดิม
แล้วให้ลูกศิษย์ผมบริหาร
บริหารแบบใหม่ กับคนงานชุดใหม่
เพื่อค่อยๆให้คนงานเก่า ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลง
และยอมรับในความสามารถของเขา
ซึ่งผลเป็นอย่างไร ก็คงต้องดูกันไปยาวๆ
บางทีคนเรา ก็มีจุดที่ต้องตัดสินใจกันบ้าง
ถ้ามองปัญหา และความต้องการจริงๆ ของเราออกแล้ว
ก็ไม่ยากที่จะแก้ไขปัญหานั้นเลย
ขอบคุณที่อ่าน
แวะไปกด Like ได้ที่ Facebook.com/teejote