หลังจากสังคมได้ตระหนักถึงพิษภัยและอันตรายที่เกิดจากแร่ใยหินมาแล้วในระดับหนึ่ง และกลายเป็นเรื่องยืดเยื้อในการยกเลิก จนนำไปสู่การปรับเปลี่ยนการขับเคลื่อนในการยกเลิกแร่ใยหินครั้งใหม่ ที่เปลี่ยนมิติจากการขับเคลื่อนให้รัฐบาลปฏิบัติตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2554 กลายมาเป็น “ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนแบบคู่ขนาน” คือการรณรงค์ให้ภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐได้ตระหนักถึงพิษภัยและอันตรายที่เกิดขึ้น
พร้อมๆ ไปกับการจุดชนวนกระแส CSR และการหันหน้าเข้าพึ่งพากระบวนการยุติธรรมเพื่อยุติตัวเลขของผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ท่ามกลางการวินิจฉัยที่อาจยังซุกซ่อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวเลขผู้ป่วยไว้อีกเป็นจำนวนมาก
ในปี พ.ศ.2555 รายงานล่าสุด จาก “นพ.สมเกียรติ ศิริรัตนพฤกษ์” อดีตผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อม ในฐานะผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า “ตัวเลขผู้ป่วยและแนวโน้มผู้ป่วยที่เกิดจาการกลุ่มผู้ประกอบอาชีพที่ตรวจพบเพิ่มจาก 4 เป็น 5 รายในปัจจุบัน แต่ตัวเลขเหล่านี้ ไม่ได้บอกว่านี่คือจำนวนจริง ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วตัวเลขผู้ป่วยอาจจะมีมากกว่านี้ ซึ่งคงต้องเข้าใจในปัจจัยของการเกิดโรคจากแร่ใยหินที่เป็นต้นเหตุของหลายโรคทั้งโรคปอดอักเสบ มะเร็ง ปอดและมะเร็งเยื่อหุ้มปอด ที่มีการฟักตัวนานราว 10-20 ปี
ดังนั้นประวัติการสัมผัสหรือการทำงานของกลุ่มผู้ป่วยมักไม่เชื่อมต่อเมื่อมีการย้ายการทำงาน หรือแม้แต่กลุ่มเสี่ยง ที่ว่างเว้นจากการสัมผัสแร่ใยหินเป็นเวลานานๆ
ซึ่งล่าสุดทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ข้อสรุป ที่ชัดเจนแล้วว่า แร่ใยหินมีอันตราย และกำลังจะมีการยกระดับการวางระบบเกี่ยวกับการวินิจฉัยในเร็วๆ นี้” นพ.สมเกียรติกล่าว
ขณะที่ “ศ.นพ.สุรศักดิ์ บูรณตรีเวทย์” ผู้แทนสมาคมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย ระบุว่า “ในประเทศไทยจะมีรายงานพบผู้ป่วยเพียง 4 รายในปัจจุบัน แต่เชื่อว่าน่าจะมีผู้ป่วยถึง 500-1,000 ราย เพราะที่ผ่านมาไม่มีระบบในการติดตามผู้ป่วย อีกทั้งการเกิดมะเร็งเยื่อหุ้มปอดจะต้องใช้เวลา 10-20 ปี ทำให้ขาดการบันทึกการเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงข้อมูลที่พบในต่างประเทศ ยังบ่งบอกถึงสถานะการลุกลามของกลุ่มผู้ป่วย ที่เริ่มต้นจากแรงงานที่เข้าไปสัมผัส กำลังจะลามเข้าสู่กลุ่มผู้อยู่อาศัยในครัวเรือน จากการต่อเติมและรื้อถอนเคหะสถาน และแร่ใยยินไม่ได้มีอยู่เพียงในกระเบื้องมุงหลังคาเท่านั้น หากแต่ยังอยู่ในท่อน้ำประปาหลายครั้งพบว่า ผลิตภัณฑ์ราคาถูกที่มีส่วนผสมของแร่ใยหินนั้นหลัง จากใช้งานนาน 10 ปีจะเกิดการเสื่อมสภาพ สารจากแร่ใยหินจะหลุดลอกออกมาปนเปื้อนกับน้ำที่เราใช้บริโภค เช่นเดียวกับกระเบื้องมุงหลังคาที่มีอายุการใช้งานเพียง 5 ปี ” นพ.สุรศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ข้อมูลจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จากสถิติที่พบ ในแต่ละปี มีผู้ป่วยอย่างน้อย 90,000 คนทั่วโลกที่เสียชีวิตจากโรคปอดที่มีสาเหตุมาจากแร่ใยหินจากการสัมผัสในงานโดยตรงและโดยอ้อมจากการฟุ้งกระจายในสิ่งแวดล้อม
โดยในประเทศไทย ได้ตรวจพบ ผู้ป่วยตั้งแต่ปี 2552-2555 พบผู้ป่วย 5 ราย และอยู่ระหว่างการวินิจฉัยอีก 7 ราย (ข้อมูลจาก สำนักโรคจากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อม) ในจำนวนนี้มีการวินิจฉัยสาเหตุแล้วว่าเกิดจากแร่ใยหิน 1 ราย ขณะที่ปี 2556 พบเพิ่มอีก 1 ราย ในขณะที่นักวิชาการหลายคนยืนยันตรงกันว่า ผลจากกระบวนการการวินิจฉัยที่ยังไม่มีความชัดเจนของหน่วยงานภาครัฐ ทำให้อาจพบจำนวนผู้ป่วยอีกนับร้อยรายที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการวินิจฉัยที่มีมาตรฐานชัดเจน
ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า หากประเทศไทยยังไม่มีการเลิกใช้แร่ใยหินในอีก 25-30 ปี ข้างหน้า จะพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้ประมาณ 1,137 คน / ปี!!
จากสถิติตัวเลขผู้ป่วยทั้งที่ตรวจพบ และแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วย เป็นที่มาสำคัญในการยกระดับการเคลื่อนไหวของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ และเครือข่ายรณรงค์ยกเลิกแร่ใยหินแห่งประเทศไทย หรือ ทีแบน ที่จะยกระดับยุทธศาสตร์ จากการเรียกร้องรัฐบาลให้ยกเลิก ที่ค้างเติ้งมานานกว่า 5 ปี
เข้าสู่กระบวนการการรณรงค์ให้ความรู้ และนำไปสู่การขอความร่วมมือ จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนมีการระบุการใช้กระบวนการทางกฏหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง
“นางสมบุญ สีคำดอกแค” ประธานสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย และเครือข่ายรณรงค์ยกเลิกแร่ใยหินแห่งประเทศไทย (ทีแบน) เปิดเผยว่า “มีแนวโน้มความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่พิษภัยจากแร่ใยหินซึ่งแต่เดิมจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบอาชีพ ก่อสร้าง หรืออาชีพที่เกี่ยวข้องกับการใช้วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง จะลุกลามเข้าสู่กลุ่มผู้อยู่อาศัยในครัวเรือน และแนวโน้มของตัวเลขผู้ป่วยจากงานวิจัยมีผลให้ทางทีแบนต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวต่อต้านการใช้แร่ใยหินในมิติใหม่ ซึ่งต้องการให้มีการยกเลิกการใช้วัสดุที่เกี่ยวข้องกับแร่ใยหินในทุกๆ โครงการ และการจัดซื้อจัดจ้าง ผ่านมาตรการทางด้านสังคม และกฏหมาย ให้กลายเป็นสำนึกแห่งความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมของภาคสังคม
โดยจะมีการใช้แนวทางจากจุดเริ่มต้นในการขอความร่วมมือ และใช้หลักธรรมาภิบาลในการเข้ามาเคลื่อนไหวในหน่วยงานภาคเอกชน โดยจะมีการประสานไปยังองค์กรภาคเอกชนสำคัญๆ อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้า และตลาดหลักทรัพย์แห่งปรเทศไทย เพื่อให้มีส่วนร่วมในการสร้างแนวทางการยกเลิกแร่ใยหิน ที่ชัดเจนแล้วว่ามีผลก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์
ขณะที่หน่วยงานภาครัฐ จะเน้นไปที่การขอความร่วมมือ และอาจมีการใช้อำนาจผ่านกระบวนการยุติธรรม ฟ้องร้องศาลปกครองให้มีการคุ้มครองชั่วคราว โดยการระงับโครงการการจัดซื้อจัดจ้างที่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน ซึ่งถือเป็นการขัดมติครม.ปี 2554 โดยตรง” สมบุญกล่าว
มาตรการทางด้านสังคม และกฏหมาย ที่เป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ เป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
“นางสุนี ไชยรส” รองประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ระบุว่า “กรณีแร่ใยหิน น่าเสียดายที่ในปัจจุบันมีการรณรงค์ที่กว้างขวางมาก และนำไปสู่องค์ความรู้ และข้อมูลที่เกิดจาการวิจัย จนพบว่าแนวโน้มของผู้ป่วยกำลังจะมีจำนวนเติบโตขึ้นมากอย่างน่าใจหาย โดยเฉพาะกลุ่มที่ประกอบอาชีพ ที่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง
โดยที่ผ่านมาการขับเคลื่อนของทีแบน และ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ที่มีมติ ไปถึงรัฐบาลให้ดำเนินการเพื่อให้กฏหมายมีผลบังคับใช้ กลับไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาวะอนามัยของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ เป็นเรื่องของสิทธิ์ในส่วนของประชาชนที่สามารถยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ โดยมีกฏหมายกองทุนเงินทดแทน และกฏหมายองค์อิสระคุ้มครองผู้บริโภค สองกฏหมายนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง
ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นการขับเคลื่อนในสองมิติ คือทั้งในส่วนของกระบวนการยุติธรรม และในส่วนของการขับเคลื่อนทางสังคม เพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบร่วมกันถึงสุขภาวะอนามัยของผู้ประกอบอาชีพ และผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายใหญ่ที่จะให้ภาครัฐเล็งเห็นความสำคัญ และหันกลับมาเดินหน้ายกเลิกการใช้แร่ใยหินในประเทศไทย”
และทั้งหมดนี้ คือความคืบหน้าครั้งสำคัญที่น่าจับตา ที่ทุกฝ่ายจะหันมา “ปฏิวัติยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว” เพื่อเป้าหมายให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่ปลอดจากแร่ใยหิน 100% ก้าวตามอีกกว่า 50 ประเทศทั่วโลกที่ยกเลิกไปแล้วก่อนหน้านี้
และเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ในอีกไม่ช้า ที่คนไทย สังคมไทย จะไม่ต้องมาเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอดที่มีสาเหตุมาจากแร่ใยหิน ...
อ้างอิง : เดลินิวส์ 20/10/2013
ปฏิวัติยุทธศาสตร์จัดการ“ใยหิน”
พร้อมๆ ไปกับการจุดชนวนกระแส CSR และการหันหน้าเข้าพึ่งพากระบวนการยุติธรรมเพื่อยุติตัวเลขของผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ท่ามกลางการวินิจฉัยที่อาจยังซุกซ่อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวเลขผู้ป่วยไว้อีกเป็นจำนวนมาก
ในปี พ.ศ.2555 รายงานล่าสุด จาก “นพ.สมเกียรติ ศิริรัตนพฤกษ์” อดีตผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อม ในฐานะผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า “ตัวเลขผู้ป่วยและแนวโน้มผู้ป่วยที่เกิดจาการกลุ่มผู้ประกอบอาชีพที่ตรวจพบเพิ่มจาก 4 เป็น 5 รายในปัจจุบัน แต่ตัวเลขเหล่านี้ ไม่ได้บอกว่านี่คือจำนวนจริง ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วตัวเลขผู้ป่วยอาจจะมีมากกว่านี้ ซึ่งคงต้องเข้าใจในปัจจัยของการเกิดโรคจากแร่ใยหินที่เป็นต้นเหตุของหลายโรคทั้งโรคปอดอักเสบ มะเร็ง ปอดและมะเร็งเยื่อหุ้มปอด ที่มีการฟักตัวนานราว 10-20 ปี
ดังนั้นประวัติการสัมผัสหรือการทำงานของกลุ่มผู้ป่วยมักไม่เชื่อมต่อเมื่อมีการย้ายการทำงาน หรือแม้แต่กลุ่มเสี่ยง ที่ว่างเว้นจากการสัมผัสแร่ใยหินเป็นเวลานานๆ
ซึ่งล่าสุดทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ข้อสรุป ที่ชัดเจนแล้วว่า แร่ใยหินมีอันตราย และกำลังจะมีการยกระดับการวางระบบเกี่ยวกับการวินิจฉัยในเร็วๆ นี้” นพ.สมเกียรติกล่าว
ขณะที่ “ศ.นพ.สุรศักดิ์ บูรณตรีเวทย์” ผู้แทนสมาคมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย ระบุว่า “ในประเทศไทยจะมีรายงานพบผู้ป่วยเพียง 4 รายในปัจจุบัน แต่เชื่อว่าน่าจะมีผู้ป่วยถึง 500-1,000 ราย เพราะที่ผ่านมาไม่มีระบบในการติดตามผู้ป่วย อีกทั้งการเกิดมะเร็งเยื่อหุ้มปอดจะต้องใช้เวลา 10-20 ปี ทำให้ขาดการบันทึกการเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงข้อมูลที่พบในต่างประเทศ ยังบ่งบอกถึงสถานะการลุกลามของกลุ่มผู้ป่วย ที่เริ่มต้นจากแรงงานที่เข้าไปสัมผัส กำลังจะลามเข้าสู่กลุ่มผู้อยู่อาศัยในครัวเรือน จากการต่อเติมและรื้อถอนเคหะสถาน และแร่ใยยินไม่ได้มีอยู่เพียงในกระเบื้องมุงหลังคาเท่านั้น หากแต่ยังอยู่ในท่อน้ำประปาหลายครั้งพบว่า ผลิตภัณฑ์ราคาถูกที่มีส่วนผสมของแร่ใยหินนั้นหลัง จากใช้งานนาน 10 ปีจะเกิดการเสื่อมสภาพ สารจากแร่ใยหินจะหลุดลอกออกมาปนเปื้อนกับน้ำที่เราใช้บริโภค เช่นเดียวกับกระเบื้องมุงหลังคาที่มีอายุการใช้งานเพียง 5 ปี ” นพ.สุรศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ข้อมูลจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จากสถิติที่พบ ในแต่ละปี มีผู้ป่วยอย่างน้อย 90,000 คนทั่วโลกที่เสียชีวิตจากโรคปอดที่มีสาเหตุมาจากแร่ใยหินจากการสัมผัสในงานโดยตรงและโดยอ้อมจากการฟุ้งกระจายในสิ่งแวดล้อม
โดยในประเทศไทย ได้ตรวจพบ ผู้ป่วยตั้งแต่ปี 2552-2555 พบผู้ป่วย 5 ราย และอยู่ระหว่างการวินิจฉัยอีก 7 ราย (ข้อมูลจาก สำนักโรคจากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อม) ในจำนวนนี้มีการวินิจฉัยสาเหตุแล้วว่าเกิดจากแร่ใยหิน 1 ราย ขณะที่ปี 2556 พบเพิ่มอีก 1 ราย ในขณะที่นักวิชาการหลายคนยืนยันตรงกันว่า ผลจากกระบวนการการวินิจฉัยที่ยังไม่มีความชัดเจนของหน่วยงานภาครัฐ ทำให้อาจพบจำนวนผู้ป่วยอีกนับร้อยรายที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการวินิจฉัยที่มีมาตรฐานชัดเจน
ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า หากประเทศไทยยังไม่มีการเลิกใช้แร่ใยหินในอีก 25-30 ปี ข้างหน้า จะพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้ประมาณ 1,137 คน / ปี!!
จากสถิติตัวเลขผู้ป่วยทั้งที่ตรวจพบ และแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วย เป็นที่มาสำคัญในการยกระดับการเคลื่อนไหวของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ และเครือข่ายรณรงค์ยกเลิกแร่ใยหินแห่งประเทศไทย หรือ ทีแบน ที่จะยกระดับยุทธศาสตร์ จากการเรียกร้องรัฐบาลให้ยกเลิก ที่ค้างเติ้งมานานกว่า 5 ปี
เข้าสู่กระบวนการการรณรงค์ให้ความรู้ และนำไปสู่การขอความร่วมมือ จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนมีการระบุการใช้กระบวนการทางกฏหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง
“นางสมบุญ สีคำดอกแค” ประธานสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย และเครือข่ายรณรงค์ยกเลิกแร่ใยหินแห่งประเทศไทย (ทีแบน) เปิดเผยว่า “มีแนวโน้มความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่พิษภัยจากแร่ใยหินซึ่งแต่เดิมจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบอาชีพ ก่อสร้าง หรืออาชีพที่เกี่ยวข้องกับการใช้วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง จะลุกลามเข้าสู่กลุ่มผู้อยู่อาศัยในครัวเรือน และแนวโน้มของตัวเลขผู้ป่วยจากงานวิจัยมีผลให้ทางทีแบนต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวต่อต้านการใช้แร่ใยหินในมิติใหม่ ซึ่งต้องการให้มีการยกเลิกการใช้วัสดุที่เกี่ยวข้องกับแร่ใยหินในทุกๆ โครงการ และการจัดซื้อจัดจ้าง ผ่านมาตรการทางด้านสังคม และกฏหมาย ให้กลายเป็นสำนึกแห่งความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมของภาคสังคม
โดยจะมีการใช้แนวทางจากจุดเริ่มต้นในการขอความร่วมมือ และใช้หลักธรรมาภิบาลในการเข้ามาเคลื่อนไหวในหน่วยงานภาคเอกชน โดยจะมีการประสานไปยังองค์กรภาคเอกชนสำคัญๆ อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้า และตลาดหลักทรัพย์แห่งปรเทศไทย เพื่อให้มีส่วนร่วมในการสร้างแนวทางการยกเลิกแร่ใยหิน ที่ชัดเจนแล้วว่ามีผลก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์
ขณะที่หน่วยงานภาครัฐ จะเน้นไปที่การขอความร่วมมือ และอาจมีการใช้อำนาจผ่านกระบวนการยุติธรรม ฟ้องร้องศาลปกครองให้มีการคุ้มครองชั่วคราว โดยการระงับโครงการการจัดซื้อจัดจ้างที่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน ซึ่งถือเป็นการขัดมติครม.ปี 2554 โดยตรง” สมบุญกล่าว
มาตรการทางด้านสังคม และกฏหมาย ที่เป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ เป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
“นางสุนี ไชยรส” รองประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ระบุว่า “กรณีแร่ใยหิน น่าเสียดายที่ในปัจจุบันมีการรณรงค์ที่กว้างขวางมาก และนำไปสู่องค์ความรู้ และข้อมูลที่เกิดจาการวิจัย จนพบว่าแนวโน้มของผู้ป่วยกำลังจะมีจำนวนเติบโตขึ้นมากอย่างน่าใจหาย โดยเฉพาะกลุ่มที่ประกอบอาชีพ ที่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง
โดยที่ผ่านมาการขับเคลื่อนของทีแบน และ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ที่มีมติ ไปถึงรัฐบาลให้ดำเนินการเพื่อให้กฏหมายมีผลบังคับใช้ กลับไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาวะอนามัยของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ เป็นเรื่องของสิทธิ์ในส่วนของประชาชนที่สามารถยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ โดยมีกฏหมายกองทุนเงินทดแทน และกฏหมายองค์อิสระคุ้มครองผู้บริโภค สองกฏหมายนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง
ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นการขับเคลื่อนในสองมิติ คือทั้งในส่วนของกระบวนการยุติธรรม และในส่วนของการขับเคลื่อนทางสังคม เพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบร่วมกันถึงสุขภาวะอนามัยของผู้ประกอบอาชีพ และผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายใหญ่ที่จะให้ภาครัฐเล็งเห็นความสำคัญ และหันกลับมาเดินหน้ายกเลิกการใช้แร่ใยหินในประเทศไทย”
และทั้งหมดนี้ คือความคืบหน้าครั้งสำคัญที่น่าจับตา ที่ทุกฝ่ายจะหันมา “ปฏิวัติยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว” เพื่อเป้าหมายให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่ปลอดจากแร่ใยหิน 100% ก้าวตามอีกกว่า 50 ประเทศทั่วโลกที่ยกเลิกไปแล้วก่อนหน้านี้
และเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ในอีกไม่ช้า ที่คนไทย สังคมไทย จะไม่ต้องมาเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอดที่มีสาเหตุมาจากแร่ใยหิน ...
อ้างอิง : เดลินิวส์ 20/10/2013