[๓๘๕] พระอธิมุตตเถระถูกพวกโจรจับไว้ มิได้มีความกลัวหวาดเสียว มีหน้าผ่องใส
เมื่อหัวหน้าโจรเห็นดังนั้น เกิดความอัศจรรย์ใจ จึงได้กล่าวคาถาสรรเสริญ ๒ คาถาว่า
เมื่อก่อน เราจะฆ่าสัตว์เหล่าใดหรือ เพื่อบูชายัญ หรือเพื่อทรัพย์ ความสะดุ้งกลัว
ก็ย่อมเกิดแก่สัตว์เหล่านั้นทั้งสิ้น สัตว์เหล่านั้นย่อมพากันหวาดหวั่น
และบ่นเพ้อ แต่ความกลัวมิได้มีแก่ท่านเลย สีหน้าของท่านผ่องใสยิ่งนัก
เมื่อภัยใหญ่เห็นปานนี้ปรากฏแล้ว ไรท่านจึงไม่คร่ำครวญเล่า.
พระเถระนั้น จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ความว่า
ดูก่อนนายโจร ทุกข์ทางใจย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ห่วงใยในชีวิต ความกลัวทั้งปวง
อันเราผู้สิ้นสังโยชน์ล่วงพ้นได้แล้ว เมื่อตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพสิ้นไปแล้ว
ความกลัวตายในปัจจุบันมิได้มีด้วยประการใดประการหนึ่งเลย
ดุจบุรุษไม่กลัวความหนัก เพราะวางภาระลงแล้วฉะนั้น พรหมจรรย์เรา
ประพฤติดีแล้ว แม้มรรคเราก็อบรมดีแล้ว เราไม่มีความกลัวตายเหมือน
บุคคลไม่กลัวโรคเพราะโรคสิ้นไปแล้วฉะนั้น พรหมจรรย์เราประพฤติดีแล้ว
แม้มรรคเราก็อบรมดีแล้ว ภพทั้งหลายอันไม่น่ายินดีเราได้เห็นแล้ว
เหมือนบุคคลดื่มยาพิษแล้วคายทิ้งฉะนั้น บุคคลผู้ถึงฝั่งแห่งภพ
ไม่มีความถือมั่น เสร็จกิจแล้ว หมดอาสวะ ย่อมยินดีต่อความสิ้นอายุเหมือน
บุคคลพ้นแล้วจากการถูกประหารฉะนั้น บุคคลผู้บรรลุธรรมอันสูงสุดแล้ว
ไม่มีความต้องการอะไรในโลกทั้งหมด ย่อมไม่เศร้าโศกในเวลาตาย
ดุจบุคคลออกจากเรือนที่ถูกไฟไหม้ ฉะนั้น
สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมีอยู่ในโลกนี้ก็ดี ภพที่สัตว์ย่อมได้ในโลกนี้ก็ดี
พระสุคตแสวงหาคุณอันใหญ่ยิ่งได้ตรัสไว้แล้วว่า สิ่งทั้งหมดนี้ไม่เป็นอิสระ
ผู้ใดรู้แจ้งธรรมข้อนั้น เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ผู้นั้นย่อมไม่ยึดถือภพอะไร
ดังบุคคลผู้ไม่จับก้อนเหล็กแดงอันร้อนโชน ฉะนั้น เราไม่มีความคิดว่าได้เป็นมาแล้ว
จักเป็นต่อไป จะไม่เป็น หรือสังขารจัก

ไป จะคร่ำครวญไปทำไมในเพราะสังขาร
อันเปื่อยเน่านั้นเล่า
ดูก่อนนายโจร ความกลัวย่อมไม่มีแก่ผู้พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง
ซึ่งความเกิดขึ้นแห่งธรรมอันบริสุทธิ์ และความสืบต่อแห่งสังขารอันบริสุทธิ์ เมื่อใดบุคคล
พิจารณาเห็นโลกเสมอด้วยหญ้าและต้นไม้นั้นด้วยปัญญา เมื่อนั้น บุคคลนั้น
ย่อมไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา ย่อมไม่เศร้าโศกว่า ของเราไม่มี เรากลัดกลุ้มด้วยสรีระนั้น
ไม่ต้องการด้วยภพ ร่างกายนี้จักแตกไป และจักไม่มีร่างกายอื่น
ถ้าท่านทั้งหลายปรารถนาจะทำกิจใดด้วยร่างกายของเรา จักถวายร่างกายนั้น
ก็จงทำกิจนั้นเถิด ความขัดเคืองและความรักใคร่ในสรีระนั้น จักไม่มีแก่เรา
เพราะเหตุที่ท่านทั้งหลาย ทำกิจตามปรารถนาด้วยร่างกายของเรานั้น.
โจรทั้งหลายได้ฟังคำของท่าน ...........
แล้วกล่าวดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ความไม่เศร้าโศกที่ท่านได้นี้
เพราะท่านได้ทำกรรมอะไรไว้ หรือใครเป็นอาจารย์ของท่าน
หรือเพราะอาศัยคำสั่งสอนของใคร?
พระเถระได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงได้กล่าวตอบว่า
พระศาสดาผู้เป็นสัพพัญญู รู้เห็นธรรมทั้งปวง ผู้พิชิตหมู่มาร
มีพระกรุณาใหญ่ ผู้รักษาพยาบาลชาวโลกทั้งปวง เป็นอาจารย์ของเรา
ธรรมเครื่องให้ถึงความสิ้นอาสวะอันยอดเยี่ยมนี้ พระองค์ทรงแสดงไว้แล้ว
ความไม่เศร้าโศก เราได้เพราะอาศัยคำสั่งสอนของพระองค์
คือ...................ถึงซึ่งนิพพานอันหาปัจจัยปรุงแต่งมิได้.
เถรคาถา วีสตินิบาต
๑. อธิมุตตเถรคาถา
ว่าด้วยพระอธิมุตตเถระถูกพวกโจรจับไว้
เมื่อหัวหน้าโจรเห็นดังนั้น เกิดความอัศจรรย์ใจ จึงได้กล่าวคาถาสรรเสริญ ๒ คาถาว่า
เมื่อก่อน เราจะฆ่าสัตว์เหล่าใดหรือ เพื่อบูชายัญ หรือเพื่อทรัพย์ ความสะดุ้งกลัว
ก็ย่อมเกิดแก่สัตว์เหล่านั้นทั้งสิ้น สัตว์เหล่านั้นย่อมพากันหวาดหวั่น
และบ่นเพ้อ แต่ความกลัวมิได้มีแก่ท่านเลย สีหน้าของท่านผ่องใสยิ่งนัก
เมื่อภัยใหญ่เห็นปานนี้ปรากฏแล้ว ไรท่านจึงไม่คร่ำครวญเล่า.
พระเถระนั้น จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ความว่า
ดูก่อนนายโจร ทุกข์ทางใจย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ห่วงใยในชีวิต ความกลัวทั้งปวง
อันเราผู้สิ้นสังโยชน์ล่วงพ้นได้แล้ว เมื่อตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพสิ้นไปแล้ว
ความกลัวตายในปัจจุบันมิได้มีด้วยประการใดประการหนึ่งเลย
ดุจบุรุษไม่กลัวความหนัก เพราะวางภาระลงแล้วฉะนั้น พรหมจรรย์เรา
ประพฤติดีแล้ว แม้มรรคเราก็อบรมดีแล้ว เราไม่มีความกลัวตายเหมือน
บุคคลไม่กลัวโรคเพราะโรคสิ้นไปแล้วฉะนั้น พรหมจรรย์เราประพฤติดีแล้ว
แม้มรรคเราก็อบรมดีแล้ว ภพทั้งหลายอันไม่น่ายินดีเราได้เห็นแล้ว
เหมือนบุคคลดื่มยาพิษแล้วคายทิ้งฉะนั้น บุคคลผู้ถึงฝั่งแห่งภพ
ไม่มีความถือมั่น เสร็จกิจแล้ว หมดอาสวะ ย่อมยินดีต่อความสิ้นอายุเหมือน
บุคคลพ้นแล้วจากการถูกประหารฉะนั้น บุคคลผู้บรรลุธรรมอันสูงสุดแล้ว
ไม่มีความต้องการอะไรในโลกทั้งหมด ย่อมไม่เศร้าโศกในเวลาตาย
ดุจบุคคลออกจากเรือนที่ถูกไฟไหม้ ฉะนั้น
สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมีอยู่ในโลกนี้ก็ดี ภพที่สัตว์ย่อมได้ในโลกนี้ก็ดี
พระสุคตแสวงหาคุณอันใหญ่ยิ่งได้ตรัสไว้แล้วว่า สิ่งทั้งหมดนี้ไม่เป็นอิสระ
ผู้ใดรู้แจ้งธรรมข้อนั้น เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ผู้นั้นย่อมไม่ยึดถือภพอะไร
ดังบุคคลผู้ไม่จับก้อนเหล็กแดงอันร้อนโชน ฉะนั้น เราไม่มีความคิดว่าได้เป็นมาแล้ว
จักเป็นต่อไป จะไม่เป็น หรือสังขารจัก
อันเปื่อยเน่านั้นเล่า
ดูก่อนนายโจร ความกลัวย่อมไม่มีแก่ผู้พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง
ซึ่งความเกิดขึ้นแห่งธรรมอันบริสุทธิ์ และความสืบต่อแห่งสังขารอันบริสุทธิ์ เมื่อใดบุคคล
พิจารณาเห็นโลกเสมอด้วยหญ้าและต้นไม้นั้นด้วยปัญญา เมื่อนั้น บุคคลนั้น
ย่อมไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา ย่อมไม่เศร้าโศกว่า ของเราไม่มี เรากลัดกลุ้มด้วยสรีระนั้น
ไม่ต้องการด้วยภพ ร่างกายนี้จักแตกไป และจักไม่มีร่างกายอื่น
ถ้าท่านทั้งหลายปรารถนาจะทำกิจใดด้วยร่างกายของเรา จักถวายร่างกายนั้น
ก็จงทำกิจนั้นเถิด ความขัดเคืองและความรักใคร่ในสรีระนั้น จักไม่มีแก่เรา
เพราะเหตุที่ท่านทั้งหลาย ทำกิจตามปรารถนาด้วยร่างกายของเรานั้น.
โจรทั้งหลายได้ฟังคำของท่าน ...........
แล้วกล่าวดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ความไม่เศร้าโศกที่ท่านได้นี้
เพราะท่านได้ทำกรรมอะไรไว้ หรือใครเป็นอาจารย์ของท่าน
หรือเพราะอาศัยคำสั่งสอนของใคร?
พระเถระได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงได้กล่าวตอบว่า
พระศาสดาผู้เป็นสัพพัญญู รู้เห็นธรรมทั้งปวง ผู้พิชิตหมู่มาร
มีพระกรุณาใหญ่ ผู้รักษาพยาบาลชาวโลกทั้งปวง เป็นอาจารย์ของเรา
ธรรมเครื่องให้ถึงความสิ้นอาสวะอันยอดเยี่ยมนี้ พระองค์ทรงแสดงไว้แล้ว
ความไม่เศร้าโศก เราได้เพราะอาศัยคำสั่งสอนของพระองค์
คือ...................ถึงซึ่งนิพพานอันหาปัจจัยปรุงแต่งมิได้.
เถรคาถา วีสตินิบาต
๑. อธิมุตตเถรคาถา