องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ยื่นหนังสือต่อสหประชาชาต จับตาแก้ไข พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มาตรา 3 & นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลังไทย สนับสนุน
วันที่ 29 ตุลาคม 2556 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ร่วมกับสมาชิกองค์กรในภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุน ได้เข้ายื่นหนังสือแถลงการณ์ต่อองค์การสหประชาชาติ เพื่อเรียกร้องให้ตระหนักถึงกรณี ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตร 3 มีเจตนาและมุ่งหมายที่จะลบล้างให้คดีทุจริตคอร์รัปชั่นถูกเพิกถอนไปทั้งหมด พร้อมกับร่วมส่งสัญญาณเตือนให้รัฐบาลปฏิบัติตามอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต (United Convention against Corruption : UNCAC 2003) ที่รัฐบาลเคยให้สัตยาบันไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียในสายตาของประชาคมโลก
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวถึงการยื่นหนังสือแถลงการณ์ต่อองค์การสหประชาชาติในครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ คือ
ประการที่หนึ่ง ต้องการให้สังคมนานาชาติรับรู้ว่า องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน พร้อมด้วยสมาชิกองค์กรในภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุน รวมทั้งภาคประชาชน ให้ความสนใจอย่างมากต่อการต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทย
ประการที่สอง ต้องการให้สังคมนานาชาติจับตามองท่าทีของรัฐบาลไทย กรณีร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตร 3 เพื่อล้างผิดคดีทุจริตทั้งหมด แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยกำลังดำเนินการขัดต่ออนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (UNCAC 2003) ซึ่งจะส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการต่อสู้คอร์รัปชันของทุกภาคส่วนในสังคมไทย
นายประมนต์ กล่าวอีกว่า การที่กรรมาธิการเสียงข้างมากของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีมติเห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อความพยามยามของสหประชาชาติในการต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชัน ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้เล็งเห็นถึงความร้ายแรงของปัญหาและการคุกคาม จนนำมาสู่การมีมติให้พิจารณากำหนดเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นที่มาของอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (UNCAC 2003) มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2548 และรัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 ซึ่งรัฐบาลไทยจะต้องจัดให้มีมาตรการที่จำเป็น รวมทั้งมาตรการทางกฎหมายและทางบริหารเพื่อให้มีการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันเป็นรูปธรรมอย่างจริงจังและน่าเชื่อถือ
“องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ และสมาชิกองค์กรในภาคธุรกิจ การเงินและตลาดทุน จะแลกเปลี่ยนทัศนะและข้อคิดเห็นกับผู้แทนขององค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทยเพิ่มเติมในประเด็นผลกระทบของร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตร 3 ที่อาจจะส่งผลเชิงลบต่อถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทย รวมถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมและความเชื่อมั่นของประชาคมโลกในอนาคต”
อย่างไรก็ตาม
สำหรับดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันที่จัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติเมื่อ พ.ศ. 2555 พบว่า ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 88 จาก 176 ประเทศ ด้วยคะแนนเพียง 37 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ต่ำกว่าประเทศซาอุดิอาระเบีย อันดับที่ 66 และประเทศจีน อันดับที่ 80 ชี้ให้เห็นว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ที่ประเทศไทยต้องเร่งแก้ไข
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน กล่าวว่า ดังนั้น หากมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ จะยิ่งซ้ำเติมให้ภาพลักษณ์คอร์รัปชันของประเทศไทยตกต่ำ ประเทศไทยอาจจะถูกประณามจากประชาคมโลก เนื่องจากได้ดำเนินการที่สุ่มเสี่ยงว่าขัดแย้งหรือเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติตามอนุสัญญา และเป็นประเทศเดียวในโลกที่ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับฐานความผิดในคดีคอร์รัปชัน
อดีตขุนคลังหนุน ค้านกฎหมายล้างผิดคนโกง
ขณะที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความลงเฟชบุคล่าสุด สนับสนุน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ออกแถลงการณ์คัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรม โดยชี้แจงเหตุผลต่อไปนี้
1. สถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศไทย มีความรุนแรงมากขึ้น ในทุกระดับ ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
ขณะนี้ ประเทศไทยสูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปกับการทุจริตมากกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี แทนที่จะนำไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างความแข็งแกร่ง และศักยภาพการแข่งขันของประเทศ
2. กฎหมายนี้ เป็นการส่งเสริมการกระทำทุจริต ส่งผลให้ผู้มีส่วนร่วมคิด ทั้งตัวการ ผู้สนับสนุน และผู้ถูกใช้ให้กระทำ ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งจะทำให้คอร์รัปชัน ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จนมิอาจประมาณความสูญเสียได้
3. การล้างผิดในคดีทุจริต ทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรง
และคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนชาติ จะมีค่านิยมใหม่ว่า โกงแล้วไม่มีความผิด โกงแล้วล้วนได้แต่ผลดี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวทางสังคมอย่างใหญ่หลวง เกินกว่าจะแก้ไขได้
4. กฎหมายดังกล่าว จะตัดโอกาสที่ผู้ถูกกล่าวหา จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด จะไม่สามารถลบล้างความระแวงแคลงใจของคนในสังคม
ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมของประเทศก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่สามารถทำให้สังคมเชื่อในคำตัดสิน และไม่สามารถนำตัวคนผิดมาลงโทษตามครรลองของกฎหมาย เพื่อชดใช้และรับผิดต่ออาชญากรรมร้ายแรง ที่กระทำต่อแผ่นดินและคนไทยทั้งประเทศได้
5. รัฐบาลนี้ได้เคยประกาศเจตนารมณ์ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ให้คำมั่นว่าการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันถือเป็นภารกิจหน้าที่ และนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลและข้าราชการทุกคน
แต่กฎหมายนี้ ขัดแย้งอย่างชัดแจ้งต่อคำประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาล ซึ่งส่งจะผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความพยายามต่างๆ ของรัฐบาลนี้ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่ควรเกิดขึ้น
6. รัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบัน เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 แต่ทว่า กฎหมายนี้ มีเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงว่าจะขัดแย้งและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ
กฎหมายนี้ จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรก และประเทศเดียวในโลก ที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคดีอันเป็นความผิดฐานคอร์รัปชันภายหลังลงนามให้สัตยาบัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียในสายตาของประชาคมโลก
credit ;
http://www.isranews.org/thaireform-news-make-sense/item/24719-act_24719.html
===========================================================================
มีคนถามว่าทักษิณโดนคดีทุจริตอะไรบ้าง ผมเอาเท่าที่หามาได้มา post ในกระทู้ เพื่อให้เห็นกันชัดๆ นะครับ
1. คดีทุจริตที่ดินรัชดาภิเษก ซึ่งอัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ร่วมกันเป็นจำเลย โดย พ.ต.ท. ทักษิณ ถูกยื่นฟ้องว่ากระทำผิด พ.ร.บ.ปปช. พ.ศ. 2542 และข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ส่วนคุณหญิงพจมาน มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด กรณีคุณหญิงพจมาน ซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวน 33 ไร่ มูลค่า 772 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดินที่ต่ำกว่าราคาประเมิน และคดีนี้อยู่ระหว่างการสืบพยานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
2. คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว หรือคดีหวยบนดิน ซึ่ง คตส. ได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ, คณะรัฐมนตรี "รัฐบาลทักษิณ" และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวม 47 คนเป็นจำเลย และคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำสั่งรับฟ้องไว้พิจารณาแล้ว เมื่อวันที่ 28 กค.2551
3. คดีเอ็กซิมแบงก์ ปล่อยเงินกู้ให้กับรัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการจัดซื้ออุปกรณ์กิจการโทรคมนาคมจาก บริษัทในเครือ ชินคอร์ ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว ซึ่ง คตส. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจำเลย ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการดูแลกิจการเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 และมาตรา 157
ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำสั่งรับฟ้องคดีไว้พิจารณาแล้ว
4. คดีทุจริตออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ - ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท
คดีนี้อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่ส่าว , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,152,157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ,100 ,122 ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องคดีไว้พิจารณาหรือไม่ วันที่ 3 กันยายน 2551
5. คดีทุจริต CTX 9000 ซึ่งคดีนี้เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารและเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
โดยคดีนี้ คตส. ได้ชี้มูลความผิด พ.ต.ท. ทักษิณ กับพวก ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
6. คดีธนาคารกรุงไทย อนุมัติเงินกู้ให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานคร ซึ่งเป็นการอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL โดยคดีนี้ คตส. ได้ชี้มูลความผิด พ.ต.ท. ทักษิณ กับพวก รวมทั้ง คตส.ได้ชี้มูลความผิดนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายกับพวกในข้อหารับของโจร โดยแยกออกมาเป็นอีกสำนวนคดีหนึ่งเนื่องจากเป็นบุคคลธรรมดา
ฯลฯ
แต่สิ่งที่ทำให้องค์กรต่อต้านคอรับชั่น (ประเทศไทย) เขาต้องออกมาส่งเรื่องนี้ให้สหประชาชาติ คือ คดีเหล่านี้ ควรจะเข้ากระบวนการยุติธรรม ให้ตัดสินกัน ไม่ใช่อยู่ๆ ก็นิรโทษกรรม ... ต่อไปใครโดนข้อหาคอรัปชั่น ก็ออกกฏหมายล้างผิดกันง่ายๆ อย่างนั้นหรือ
ภูมิใจกันไหมว่า รัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบัน เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต ... แต่เป็นประเทศเดียวในโลกที่ออกกฏหมายล้างผิดให้กับคดีคอรัปชั่น
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ไทย) ยื่นหนังสือต่อสหประชาชาต จับตาแก้ไข พ.ร.บ.นิรโทษกรรม & นายธีระชัย อดีตขุนคลังสนับสนุน
วันที่ 29 ตุลาคม 2556 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ร่วมกับสมาชิกองค์กรในภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุน ได้เข้ายื่นหนังสือแถลงการณ์ต่อองค์การสหประชาชาติ เพื่อเรียกร้องให้ตระหนักถึงกรณี ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตร 3 มีเจตนาและมุ่งหมายที่จะลบล้างให้คดีทุจริตคอร์รัปชั่นถูกเพิกถอนไปทั้งหมด พร้อมกับร่วมส่งสัญญาณเตือนให้รัฐบาลปฏิบัติตามอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต (United Convention against Corruption : UNCAC 2003) ที่รัฐบาลเคยให้สัตยาบันไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียในสายตาของประชาคมโลก
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวถึงการยื่นหนังสือแถลงการณ์ต่อองค์การสหประชาชาติในครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ คือ
ประการที่หนึ่ง ต้องการให้สังคมนานาชาติรับรู้ว่า องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน พร้อมด้วยสมาชิกองค์กรในภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุน รวมทั้งภาคประชาชน ให้ความสนใจอย่างมากต่อการต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทย
ประการที่สอง ต้องการให้สังคมนานาชาติจับตามองท่าทีของรัฐบาลไทย กรณีร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตร 3 เพื่อล้างผิดคดีทุจริตทั้งหมด แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยกำลังดำเนินการขัดต่ออนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (UNCAC 2003) ซึ่งจะส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการต่อสู้คอร์รัปชันของทุกภาคส่วนในสังคมไทย
นายประมนต์ กล่าวอีกว่า การที่กรรมาธิการเสียงข้างมากของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีมติเห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อความพยามยามของสหประชาชาติในการต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชัน ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้เล็งเห็นถึงความร้ายแรงของปัญหาและการคุกคาม จนนำมาสู่การมีมติให้พิจารณากำหนดเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นที่มาของอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (UNCAC 2003) มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2548 และรัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 ซึ่งรัฐบาลไทยจะต้องจัดให้มีมาตรการที่จำเป็น รวมทั้งมาตรการทางกฎหมายและทางบริหารเพื่อให้มีการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันเป็นรูปธรรมอย่างจริงจังและน่าเชื่อถือ
“องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ และสมาชิกองค์กรในภาคธุรกิจ การเงินและตลาดทุน จะแลกเปลี่ยนทัศนะและข้อคิดเห็นกับผู้แทนขององค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทยเพิ่มเติมในประเด็นผลกระทบของร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตร 3 ที่อาจจะส่งผลเชิงลบต่อถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทย รวมถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมและความเชื่อมั่นของประชาคมโลกในอนาคต”
อย่างไรก็ตาม สำหรับดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันที่จัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติเมื่อ พ.ศ. 2555 พบว่า ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 88 จาก 176 ประเทศ ด้วยคะแนนเพียง 37 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ต่ำกว่าประเทศซาอุดิอาระเบีย อันดับที่ 66 และประเทศจีน อันดับที่ 80 ชี้ให้เห็นว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ที่ประเทศไทยต้องเร่งแก้ไข
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน กล่าวว่า ดังนั้น หากมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ จะยิ่งซ้ำเติมให้ภาพลักษณ์คอร์รัปชันของประเทศไทยตกต่ำ ประเทศไทยอาจจะถูกประณามจากประชาคมโลก เนื่องจากได้ดำเนินการที่สุ่มเสี่ยงว่าขัดแย้งหรือเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติตามอนุสัญญา และเป็นประเทศเดียวในโลกที่ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับฐานความผิดในคดีคอร์รัปชัน
อดีตขุนคลังหนุน ค้านกฎหมายล้างผิดคนโกง
ขณะที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความลงเฟชบุคล่าสุด สนับสนุน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ออกแถลงการณ์คัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรม โดยชี้แจงเหตุผลต่อไปนี้
1. สถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศไทย มีความรุนแรงมากขึ้น ในทุกระดับ ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
ขณะนี้ ประเทศไทยสูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปกับการทุจริตมากกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี แทนที่จะนำไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างความแข็งแกร่ง และศักยภาพการแข่งขันของประเทศ
2. กฎหมายนี้ เป็นการส่งเสริมการกระทำทุจริต ส่งผลให้ผู้มีส่วนร่วมคิด ทั้งตัวการ ผู้สนับสนุน และผู้ถูกใช้ให้กระทำ ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งจะทำให้คอร์รัปชัน ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จนมิอาจประมาณความสูญเสียได้
3. การล้างผิดในคดีทุจริต ทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรง
และคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนชาติ จะมีค่านิยมใหม่ว่า โกงแล้วไม่มีความผิด โกงแล้วล้วนได้แต่ผลดี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวทางสังคมอย่างใหญ่หลวง เกินกว่าจะแก้ไขได้
4. กฎหมายดังกล่าว จะตัดโอกาสที่ผู้ถูกกล่าวหา จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด จะไม่สามารถลบล้างความระแวงแคลงใจของคนในสังคม
ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมของประเทศก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่สามารถทำให้สังคมเชื่อในคำตัดสิน และไม่สามารถนำตัวคนผิดมาลงโทษตามครรลองของกฎหมาย เพื่อชดใช้และรับผิดต่ออาชญากรรมร้ายแรง ที่กระทำต่อแผ่นดินและคนไทยทั้งประเทศได้
5. รัฐบาลนี้ได้เคยประกาศเจตนารมณ์ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ให้คำมั่นว่าการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันถือเป็นภารกิจหน้าที่ และนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลและข้าราชการทุกคน
แต่กฎหมายนี้ ขัดแย้งอย่างชัดแจ้งต่อคำประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาล ซึ่งส่งจะผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความพยายามต่างๆ ของรัฐบาลนี้ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่ควรเกิดขึ้น
6. รัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบัน เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 แต่ทว่า กฎหมายนี้ มีเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงว่าจะขัดแย้งและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ
กฎหมายนี้ จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรก และประเทศเดียวในโลก ที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคดีอันเป็นความผิดฐานคอร์รัปชันภายหลังลงนามให้สัตยาบัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียในสายตาของประชาคมโลก
credit ; http://www.isranews.org/thaireform-news-make-sense/item/24719-act_24719.html
===========================================================================
มีคนถามว่าทักษิณโดนคดีทุจริตอะไรบ้าง ผมเอาเท่าที่หามาได้มา post ในกระทู้ เพื่อให้เห็นกันชัดๆ นะครับ
1. คดีทุจริตที่ดินรัชดาภิเษก ซึ่งอัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ร่วมกันเป็นจำเลย โดย พ.ต.ท. ทักษิณ ถูกยื่นฟ้องว่ากระทำผิด พ.ร.บ.ปปช. พ.ศ. 2542 และข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ส่วนคุณหญิงพจมาน มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด กรณีคุณหญิงพจมาน ซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวน 33 ไร่ มูลค่า 772 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดินที่ต่ำกว่าราคาประเมิน และคดีนี้อยู่ระหว่างการสืบพยานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
2. คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว หรือคดีหวยบนดิน ซึ่ง คตส. ได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ, คณะรัฐมนตรี "รัฐบาลทักษิณ" และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวม 47 คนเป็นจำเลย และคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำสั่งรับฟ้องไว้พิจารณาแล้ว เมื่อวันที่ 28 กค.2551
3. คดีเอ็กซิมแบงก์ ปล่อยเงินกู้ให้กับรัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการจัดซื้ออุปกรณ์กิจการโทรคมนาคมจาก บริษัทในเครือ ชินคอร์ ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว ซึ่ง คตส. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจำเลย ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการดูแลกิจการเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 และมาตรา 157
ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำสั่งรับฟ้องคดีไว้พิจารณาแล้ว
4. คดีทุจริตออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ - ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท
คดีนี้อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่ส่าว , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,152,157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ,100 ,122 ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องคดีไว้พิจารณาหรือไม่ วันที่ 3 กันยายน 2551
5. คดีทุจริต CTX 9000 ซึ่งคดีนี้เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารและเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
โดยคดีนี้ คตส. ได้ชี้มูลความผิด พ.ต.ท. ทักษิณ กับพวก ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
6. คดีธนาคารกรุงไทย อนุมัติเงินกู้ให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานคร ซึ่งเป็นการอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL โดยคดีนี้ คตส. ได้ชี้มูลความผิด พ.ต.ท. ทักษิณ กับพวก รวมทั้ง คตส.ได้ชี้มูลความผิดนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายกับพวกในข้อหารับของโจร โดยแยกออกมาเป็นอีกสำนวนคดีหนึ่งเนื่องจากเป็นบุคคลธรรมดา
ฯลฯ
แต่สิ่งที่ทำให้องค์กรต่อต้านคอรับชั่น (ประเทศไทย) เขาต้องออกมาส่งเรื่องนี้ให้สหประชาชาติ คือ คดีเหล่านี้ ควรจะเข้ากระบวนการยุติธรรม ให้ตัดสินกัน ไม่ใช่อยู่ๆ ก็นิรโทษกรรม ... ต่อไปใครโดนข้อหาคอรัปชั่น ก็ออกกฏหมายล้างผิดกันง่ายๆ อย่างนั้นหรือ
ภูมิใจกันไหมว่า รัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบัน เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต ... แต่เป็นประเทศเดียวในโลกที่ออกกฏหมายล้างผิดให้กับคดีคอรัปชั่น