ตันหรือไม่ตันกฎหมายนิรโทษกรรม??? ฝากให้ชวนคิด

กระทู้คำถาม
ก่อนอื่นผมขออภัยพี่น้องในพันทิพว่าไม่ได้ชวนทะเลาะแต่ประการใด ผมเองนั้นนะครับ
เห็นด้วยกับแนวคิดของนายแพทย์เหวง ที่บอกว่ากฎหมายนิรโทษกรรมมีปัญหาจริงๆครับ
และผมก็เห็นต่างจากคุณวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ด้วยครับ ในฐานะที่อ่านหนังสือออกไม่ใช่นักกฎหมาย ผมยินดีแลกเปลี่ยนกับ
เพื่อนๆในบอร์ดนี้เสมอครับ เราต้องหาคำตอบไม่ใช่ถกเถียงเพื่อเอาเป็นเอาตายครับ ติเพื่อก่อเพื่อสร้างสรรค์สังคมครับ
ขอทำการวิเคราะห์ดังนี้ครับ สำหรับลิงค์ที่คุณวีรพัฒน์วิเคราะห์คือ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1383038739&grpid=01&catid=&subcatid=

"ส่วนความคิดผมอยู่ด้านล่างนี้นะครับ"

มาตรา 3 ต่อไปนี้คือร่างเดิมฉบับของส.ส. วรชัย เหมะที่เสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรผ่านการรับหลักการ

" มาตรา 3 ให้บรรดาการกระทำใดๆ ของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่กระทำการนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใด เพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการชุมนุม การประท้วงหรือการแสดงออกด้วยวิธีการใดๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ไม่เป็นความผิดต่อไปและให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำใด ๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว"

ส่วนอีกอันหนึ่งคือการที่คณะกรรมธิการแปรญัตติเพิ่มเติมในมาตรา 3 นะครับ ที่เสนอโดยนายประยุทธ์ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการได้เสนอให้แก้มาตรา 3 ฉบับคุณวรชัย เหมะโดยเปลี่ยนข้อความเป็น

" มาตรา 3: ให้บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง     การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112”

หากอ่านข้อความดีๆฉบับแปรญัตติเพิ่มเติมจริงๆแล้วจะเห็นว่าขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 309 อย่างชัดเจน เพราะบทบัญญัติที่เป็นกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย กฎหรือระเบียบใดๆก็ตามไม่อาจขัดกับรัฐธรรมนูญได้ครับ

มาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญ 2550 บัญญัติไว้ว่า  “บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญเเห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายเเละรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นเเละการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้”

ทีนี้ย้อนกลับไปดูในรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2549 ว่าได้รับรองสิ่งใดไว้บ้าง ซึ่งปรากฏในมาตรา 36 บัญญัติว่า “บรรดาประกาศและคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ได้ประกาศหรือสั่งในระหว่างวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 จนถึงวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปใดและไม่ว่าจะประกาศหรือสั่งให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ ให้มีผลใช้บังคับต่อไปและให้ถือว่าประกาศหรือคำสั่ง ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้นไม่ว่าการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้นจะกระทำก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นประกาศหรือคำสั่งหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ”     
***ดังนั้น จึงสรุปได้ว่ามาตรา 309 ได้รับรองให้ 1.) ประกาศ คปค. 2.) คำสั่ง คปค. 3.) การปฏิบัติตามประกาศ หรือตามคำสั่ง คปค.ชอบด้วยกฎหมาย***
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่