ดูเหมือนว่า ล็อกอิน คันโตนาซี จะออกอาการ "ฟูมฟาย" จนเกินพอดีไปสักหน่อย นะครับ
การกล่าวตำหนิ ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ในทำนองว่า ตอบไม่ตรงประเด็น "ถามหมู - ตอบหมา" ฯลฯ อย่างนี้ถือว่า กล่าวไม่ถูก นะครับ
ทั้งนี้ ผมขออนุญาต ยอมรับตามตรงว่า ที่ล็อกอินเข้าใจว่าผม "ตอบหมา" อันนี้ถูกต้องแล้วครับ แต่ที่ แก เห็นว่า "ถามหมู" นั้น
ผมไม่ค่อยแน่ใจนัก
เรื่องของเรื่อง ก็คือ เป็นคันโตนาซีเองมิใช่หรือ ที่พยายามแอบอ้าง ภาษิตของท่านพระสารีบุตร ในทำนองว่า หลักฐานดังกล่าว
ชี้ให้เห็นว่า ปฏิจจสมุปบาทข้ามภพชาติ มีอยู่จริง ซึ่งผมก็ได้อธิบาย "ข้อเท็จจริง" ให้ทราบว่า นั่นเป็นความเข้าใจผิด !
ทั้งนี้ ก็เพราะ ภาษติของท่านพระสารีบุตร ตามที่อ้างถึงนั้น ก็เป็นเพียงการอธิบายความ ที่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งตรัสว่า เมื่อได้ฌาน ๔ แล้ว ให้น้อมจิตไปเพื่อ วิปัสสนาญาณ ก่อน แล้วจึงใช้วิปัสสนาญาณนั้น พิจารณา ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
โดยสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน ดังนี้คือ
(๑) ภิกษุ เจริญอิทธิบาท ประกอบด้วยสมาธิ (ได้แก่ฌาน ๔)
(๒) ครั้นแล้วจึง โยนิโสมนสิการ ใน ปฏิจจสมุปบาท (หมายถึงเจริญวิปัสสนา)
(๓) จากนั้นจึงอาศัยจิต ที่อบรมแล้วในอิทธิบาท ๔ ยัง ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ให้เกิดขึ้น แล้วพิจารณาโดยแยบคาย ด้วยวิปัสสนาญาณ
จากข้อสรุปดังกล่าว ทำให้ทราบว่า
(๑) ปฏิจจสมุปบาท อยู่ในส่วนของ วิปัสสนาญาณ เป็นอารมณ์วิปัสสนา
(๒) แต่ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อยู่ในส่วนของ อภิญญา เป็นอารมณ์สมถะ
หากพิเคราะห์ให้ดี ด้วยปัญญา ลำพังเพียงเท่าที่ผมอธิบายความมานี้ ย่อมทำให้ทราบได้โดยไม่ยากว่า ชาติ ในปฏิจจสมุปบาท
แตกต่างจาก ชาติ ในปุพเพนิวาสานุสติญาณ อย่างไร ?
โดยที่คำอธิบายนี้ ย่อมมิใช่ "ถามทุเรียน - ตอบมังคุด" อย่างที่ ไอ้หน้าโง่ คนนั้น พยายามกล่าวหาผมแต่อย่างใด
หรือมิใช่ ?
****************************************************************************************
หาก คันโตนาซี และ นางเปรตปากเน่า ยังมองไม่เห็น "เหตุผล" ในเรื่องนี้จริงๆ
ผมก็คงต้อง กล่าวอธิบายให้เยิ่นเย้อมากความ ขึ้นอีกสักนิด ดังนี้ว่า .........
ที่จริงแล้ว คันโตนาซีเองนั่นแหละ ที่กล่าวยอมรับว่า การรู้แจ้งใน ปฏิจจสมุปบาท เป็นวิปัสสนาญาณ
สิ่งที่ผมจำต้องถามกลับไป ก็คือ สำนักอภิธรรมเม็ดมะขาม เขามิได้สอนพวกแก หรอกหรือว่า อารมณ์ของวิปัสสนา เป็นอารมณ์ปรมัตถ์
เมื่ออารมณ์ของวิปัสสนาเป็นปรมัตถ์ นั่นย่อมหมายความว่า ปฏิจจสมุปบาท ย่อมปราศจาก สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
แต่ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นอภิญญา ที่มี "สมถะ" เป็นบาทฐาน จึงไม่แปลกที่จะยังมี สัตว์ บุคคล ฯลฯ ให้ระลึกได้อยู่
หรือมิใช่ ?
แต่ขอให้ท่านทั้งหลายจงสังเกตให้ดี ด้วยว่า เพราะความโง่เขลาของ คันโตนาซี โดยแท้
ที่พยายามยก วิภังคสูตร ขึ้นมาอ้าง โดยมิได้ โยนิโสมนสิการ พระบาลีพุทธพจน์ ให้ดี
ข้อความจาก วิภังคสูตร ระบุเอาไว้ดังนี้ว่า
ก็ชาติเป็นไฉน ?
(๑) ความเกิด
(๒) ความบังเกิด
(๓) ความหยั่งลง
(๔) เกิด
(๕) เกิดจำเพาะ
(๖) ความปรากฏแห่งขันธ์
(๗) ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ
นี้เรียกว่าชาติ
แท้ที่จริง ผมได้เคยถามหลายครั้งแล้วว่า จากข้อความตามที่ปรากฏอยู่นี้
สามารถทำให้เข้าใจว่า มีการเวียนว่ายตายเกิดในปฏิจจสมุปบาทได้อย่างไร ?
แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ !
อรรถกถาจารย์ได้อธิบายความข้อนี้เอาไว้ว่า
(๑) ยถึง เกิด หรือ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ ฯลฯ เป็น โวหารเทศนา คือ ตรัสโดยสมมุติ
(๒) แต่โดยความเป็นจริงระดับปรมัตถ์ ขันธ์เท่านั้นปรากฏ สัตว์ไม่ปรากฏ !
ด้วยเหตุดังนี้ คำว่า ชาติ ใน ปุพเพนิวาสนุสติญาณ จึงหมายถึง เกิด หรือ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ฯลฯ ได้
แต่ ชาติ ใน ปฏิจจสมุปบาท จะมีความหมายอย่างนั้น มิได้ เนื่องจาก ปฏิจจสมุปบาท ที่กล่าวถึงนี้ เป็นธรรมในวิปัสสนาญาณ
คำว่า ชาติ จึงต้องหมายถึง ความเกิด หรือ ความบังเกิด หรือ ความปรากฏ(แห่งขันธ์)
และนี่ ก็คือ ความแตกต่างของคำว่า ชาติ ในปฏิจจสมุปบาท กับ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ !
ชัดเจน แล้วนะครับ
****************************************************************************************
หมายเหตุ สำหรับ ผู้ที่ยัง "ข้องใจ" อยู่
บางคนอาจยังเกิดความสงสัยอยู่ว่า ถ้า ปฏิจจสมุปบาท มิได้เกี่ยวข้องกับ การเวียนว่ายตายเกิดของ สัตว์ บุคคล ฯลฯ จริง
แล้วเหตุใด วิภังคสูตร จึงระบุว่า ยถึง เกิดจำเพาะ หรือ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ เอาไว้ด้วยเล่า ?
ตอบว่า ที่เรียกว่า วิภังค์ นี้หมายถึง คำจำแนกความ หรือ แสดงความหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้น ประเด็น มันจึงอยู่ที่ว่า
อธิบายแค่ไหน จึงจะถือว่า ผู้ฟังหรือผู้อ่าน จะสามารถเข้าใจความหมายของคำนั้นๆ ได้อย่างชัดเจน ?
อรรถกถาจารย์ อธิบายว่า พระพุทธเจ้า เมื่อจะตรัสสอน ก็ทรงถือเอา "อัธยาศัย" ของสัตว์นั้นเป็นเกณฑ์ กล่าวคือ
หากสัตว์นั้นสามารถบรรลุธรรมด้วย สมมติกถา ก็จะตรัสโดยสมมุติ ถ้าหากสัตว์นั้นสามารถบรรลุธรรมด้วย ปรมัตถ์ ก็จะตรัสปรมัตถ์
แต่กระนั้น แม้จะตรัสปรมัตถ์ ก็ตาม ก็จะไม่ทรงทิ้ง "สมมุติ" ไปเสียเลย เหตุผลก็คือ เพื่ออนุเคราะห์ สัตว์โลกที่ "ปัญญาทราม" นั่นเอง
ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจง พิจารณา วิภังคสูตร อย่างรอบคอบด้วยว่า แม้จะระบุความหมายของคำว่า "ชาติ" ด้วยโวหารโลก ก็จริง
แต่ก็ไม่มีข้อความตรงไหนเลย ที่จะทำให้สามารถเข้าใจได้ว่ามี สัตว์ บุคคล ฯลฯ เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในปฏิจจสมุปบาท
นอกไปเสียจาก การคิดปรุงแต่งเพ้อเจ้อไปเองของพวก ชาวพุทธชายขอบ ที่ยังเมาหมก ติดตังอยู่กับ สมมุติบัญญัติ
กล่าวโดยสรุป ก็คือ ข้อความใน วิภังคสูตร ก็เป็นเพียงการแสดงความหมายของ "คำศัพท์" เหมือนกับ พจนานุกรม นั่นเอง
โดยที่คำศัพท์ คำหนึ่ง อาจมีหลายความหมาย ก็จริง แต่เราจะใช้ความหมายอันไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับ บริบทแวดล้อมของข้อความนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น คำว่า "ขัน" พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ระบุว่า หมายถึง
(๑) ภาชนะสำหรับตักหรือใส่น้ำ
(๒) ทำให้ตึง หรือ ทำให้แน่น
(๓) อาการร้องเป็นเสียงอย่างหนึ่งของไก่
(๔) หัวเราะ
(๕) ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง
ทีนี้ ถ้าหากเป็นการพูดคุยอยู่ในแวดวง พฤกษศาสตร์ คำว่า "ขัน" นี้ ก็ต้องหมายถึง ต้นไม้
จะมายืนยัน กระต่ายขาเดียวว่า ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การร้องของ สัตว์ปีก นั้นคงไม่ได้
ฉันใด ก็ฉันนั้น คำว่า ชาติ จาก วิภังคสูตร จะใช้ในความหมายว่าอย่างไร มันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า
นำคำๆ นี้ไปใช้ ที่ไหน กับใคร และ ด้วยวิธีการอย่างไร ?
เช่นว่า หากนำคำว่า ชาติ ไปใช้กับ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คำๆ นี้จะหมายถึง การเกิดของตะกวดตัวไหน ก็จะไม่เป็นปัญหาเลย
แต่หากนำไปใช้กับ ปฏิจจสมุปบาท จักต้องใช้อย่างระมัดระวัง
กล่าวคือ หากเริ่มต้นการอธิบายความด้วย "สมมุติ" ว่าหมายถึง ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ
ผู้กล่าว จะจบคำอธิบาย แต่เพียงเท่านี้ มิได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้น ก็จะเท่ากับเป็นการ "กล่าวตู่" พระพุทธเจ้า
แต่จะต้องอธิบายความต่อไปอีกด้วยว่า แม้การเกิดดับจะมีอยู่จริง แต่โดยปรมัตถ์แล้ว สัตว์ บุคคล ฯลฯ หาได้มีอยู่อย่างแท้จริงไม่
ทั้งนี้ ก็เพื่อ "กำจัด" ความยึดติดถือมั่นแบบผิดๆ ด้วยตัณหา อุปาทาน ใน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ให้หมดไป นั่นเอง !
ที่กล่าวอธิบายมาทั้งหมดนี้ เป็นแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า นะครับ
****************************************************************************************
สรุป
๑) การกล่าวว่า ปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพชาติ มีจริง ย่อมผิดตั้งแต่ "คิด" แล้ว ถ้าหากยอมรับว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมในวิปัสสนาญาณ
เพราะอารมณ์ในวิปัสสนา ย่อมเป็นอารมณ์ปรมัตถ์ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะหา สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ที่ไหน มาเวียนว่ายตายเกิด ได้อีก
๒) แม้จะพบว่าใน วิภังคสูตร ระบุว่า ยถึง ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์
แต่นั่นก็เป็นเพียง "ธรรมชาติ" ของ "วิภังค์" ที่มีลักษณะดุจเดียวกับ พจนานุกรม ซึ่งย่อมให้ความหมายทั้งหมดเท่าที่เป็นไปได้
อีกทั้ง อรรถกถาจารย์ ยังอธิบายว่า แม้พระพุทธเจ้าจะตรัส ปรมัตถ์ แต่จะไม่ทรงทิ้ง สมมุติ (เพื่ออนุเคราะห์สัตว์)
ดังนั้น คำว่า ชาติ จะมีความหมายว่าอย่างไร จึงขึ้นอยู่กับ บริบทแวดล้อมของข้อความนั้นๆ ว่ากล่าวถึงอะไร
เช่น หากข้อความนั้นๆ กล่าวถึงธรรมระดับปรมัตถ์ ย่อมไม่สามารถนำความหมายระดับสมมุติ มา "มั่วนิ่ม" อ้างใช้ได้
ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับ วิจารณญาณ และ จิตสำนึก ของชาวพุทธเองว่า ทำอย่างไร จึงจะถูกต้อง และเหมาะสม
๓) ท่านปยุตโต กล่าวเอาไว้ในตำราพุทธธรรมว่า ปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพชาติ ไม่มีอยู่ในชั้นพระบาลีพุทธพจน์
จะมีคำอธิบายข้ามภพข้ามชาติแบบนี้ ก็แต่ในชั้นอรรถกถา ฎีกา เท่านั้น อีกทั้ง พระพุทธเจ้า ก็ตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
ปฏิจจสมุปบาทของพระองค์ ย่อมไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อย่างเด็ดขาด จะมีก็แต่ การเกิด การตาย แต่ไม่มี ผู้เกิดผู้ตาย
การพยายาม "ยัดเยียด" สัตว์ บุคคล ฯลฯ เข้าไปในปฏิจจสมุปบาท ไม่ว่าจะโดยใคร ย่อมได้ชื่อว่า "กล่าวตู่" อย่างไม่ต้องสงสัย
๔) ภาษิตของท่านพระสารีบุตร ตามที่ยกขึ้นอ้างนั้น เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะพบว่า มิได้มีอะไรแปลกใหม่
หากแต่เป็นคำอธิบายตามลำดับญาณ ซึ่งสอดคล้องกับพุทธพจน์จาก สีลขันธวรรค อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน
โดยสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า (๑) ปฏิจจสมุปบาท เป็น "ปรมัตถธรรม" ในวิปัสสนาญาณ ในขณะที่
(๒) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นเพียงแค่ "อารมณ์สมถะ" ในธรรมระดับสมมุติ จึงไม่แปลก ที่คำว่า ชาติ จาก ปฏิจจสมุปบาท
ย่อมมีความแตกต่างไปจาก ชาติ ใน ปุพเพนิวาสานุสติญาณ(การระลึกชาติ) !
๕) ในท้ายที่สุดนี้ ถ้า คันโตนาซี นางเอิงเอย และสหายร่วมบาป ยังเห็นว่า ชาติ จาก ปฏิจจสมุปบาท มีความหมายเดียวกับ
ชาติ ใน ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็จงแสดงเหตุผล และหลักฐาน ที่มิใช่การ "มั่วนิ่ม" หรือ "กล่าวตู่"อย่างที่แล้วๆ มาด้วยเถิด
แล้วผมจะ "ล้างหู" รอฟัง นะครับ
สวัสดี
ชาติ ใน ปฏิจจสมุปบาท กับ ความแตกต่างของความหมาย
การกล่าวตำหนิ ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ในทำนองว่า ตอบไม่ตรงประเด็น "ถามหมู - ตอบหมา" ฯลฯ อย่างนี้ถือว่า กล่าวไม่ถูก นะครับ
ทั้งนี้ ผมขออนุญาต ยอมรับตามตรงว่า ที่ล็อกอินเข้าใจว่าผม "ตอบหมา" อันนี้ถูกต้องแล้วครับ แต่ที่ แก เห็นว่า "ถามหมู" นั้น
ผมไม่ค่อยแน่ใจนัก
เรื่องของเรื่อง ก็คือ เป็นคันโตนาซีเองมิใช่หรือ ที่พยายามแอบอ้าง ภาษิตของท่านพระสารีบุตร ในทำนองว่า หลักฐานดังกล่าว
ชี้ให้เห็นว่า ปฏิจจสมุปบาทข้ามภพชาติ มีอยู่จริง ซึ่งผมก็ได้อธิบาย "ข้อเท็จจริง" ให้ทราบว่า นั่นเป็นความเข้าใจผิด !
ทั้งนี้ ก็เพราะ ภาษติของท่านพระสารีบุตร ตามที่อ้างถึงนั้น ก็เป็นเพียงการอธิบายความ ที่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งตรัสว่า เมื่อได้ฌาน ๔ แล้ว ให้น้อมจิตไปเพื่อ วิปัสสนาญาณ ก่อน แล้วจึงใช้วิปัสสนาญาณนั้น พิจารณา ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
โดยสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน ดังนี้คือ
(๑) ภิกษุ เจริญอิทธิบาท ประกอบด้วยสมาธิ (ได้แก่ฌาน ๔)
(๒) ครั้นแล้วจึง โยนิโสมนสิการ ใน ปฏิจจสมุปบาท (หมายถึงเจริญวิปัสสนา)
(๓) จากนั้นจึงอาศัยจิต ที่อบรมแล้วในอิทธิบาท ๔ ยัง ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ให้เกิดขึ้น แล้วพิจารณาโดยแยบคาย ด้วยวิปัสสนาญาณ
จากข้อสรุปดังกล่าว ทำให้ทราบว่า
(๑) ปฏิจจสมุปบาท อยู่ในส่วนของ วิปัสสนาญาณ เป็นอารมณ์วิปัสสนา
(๒) แต่ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อยู่ในส่วนของ อภิญญา เป็นอารมณ์สมถะ
หากพิเคราะห์ให้ดี ด้วยปัญญา ลำพังเพียงเท่าที่ผมอธิบายความมานี้ ย่อมทำให้ทราบได้โดยไม่ยากว่า ชาติ ในปฏิจจสมุปบาท
แตกต่างจาก ชาติ ในปุพเพนิวาสานุสติญาณ อย่างไร ?
โดยที่คำอธิบายนี้ ย่อมมิใช่ "ถามทุเรียน - ตอบมังคุด" อย่างที่ ไอ้หน้าโง่ คนนั้น พยายามกล่าวหาผมแต่อย่างใด
หรือมิใช่ ?
****************************************************************************************
หาก คันโตนาซี และ นางเปรตปากเน่า ยังมองไม่เห็น "เหตุผล" ในเรื่องนี้จริงๆ
ผมก็คงต้อง กล่าวอธิบายให้เยิ่นเย้อมากความ ขึ้นอีกสักนิด ดังนี้ว่า .........
ที่จริงแล้ว คันโตนาซีเองนั่นแหละ ที่กล่าวยอมรับว่า การรู้แจ้งใน ปฏิจจสมุปบาท เป็นวิปัสสนาญาณ
สิ่งที่ผมจำต้องถามกลับไป ก็คือ สำนักอภิธรรมเม็ดมะขาม เขามิได้สอนพวกแก หรอกหรือว่า อารมณ์ของวิปัสสนา เป็นอารมณ์ปรมัตถ์
เมื่ออารมณ์ของวิปัสสนาเป็นปรมัตถ์ นั่นย่อมหมายความว่า ปฏิจจสมุปบาท ย่อมปราศจาก สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
แต่ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นอภิญญา ที่มี "สมถะ" เป็นบาทฐาน จึงไม่แปลกที่จะยังมี สัตว์ บุคคล ฯลฯ ให้ระลึกได้อยู่
หรือมิใช่ ?
แต่ขอให้ท่านทั้งหลายจงสังเกตให้ดี ด้วยว่า เพราะความโง่เขลาของ คันโตนาซี โดยแท้
ที่พยายามยก วิภังคสูตร ขึ้นมาอ้าง โดยมิได้ โยนิโสมนสิการ พระบาลีพุทธพจน์ ให้ดี
ข้อความจาก วิภังคสูตร ระบุเอาไว้ดังนี้ว่า
ก็ชาติเป็นไฉน ?
(๑) ความเกิด
(๒) ความบังเกิด
(๓) ความหยั่งลง
(๔) เกิด
(๕) เกิดจำเพาะ
(๖) ความปรากฏแห่งขันธ์
(๗) ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ
นี้เรียกว่าชาติ
แท้ที่จริง ผมได้เคยถามหลายครั้งแล้วว่า จากข้อความตามที่ปรากฏอยู่นี้
สามารถทำให้เข้าใจว่า มีการเวียนว่ายตายเกิดในปฏิจจสมุปบาทได้อย่างไร ?
แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ !
อรรถกถาจารย์ได้อธิบายความข้อนี้เอาไว้ว่า
(๑) ยถึง เกิด หรือ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ ฯลฯ เป็น โวหารเทศนา คือ ตรัสโดยสมมุติ
(๒) แต่โดยความเป็นจริงระดับปรมัตถ์ ขันธ์เท่านั้นปรากฏ สัตว์ไม่ปรากฏ !
ด้วยเหตุดังนี้ คำว่า ชาติ ใน ปุพเพนิวาสนุสติญาณ จึงหมายถึง เกิด หรือ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ฯลฯ ได้
แต่ ชาติ ใน ปฏิจจสมุปบาท จะมีความหมายอย่างนั้น มิได้ เนื่องจาก ปฏิจจสมุปบาท ที่กล่าวถึงนี้ เป็นธรรมในวิปัสสนาญาณ
คำว่า ชาติ จึงต้องหมายถึง ความเกิด หรือ ความบังเกิด หรือ ความปรากฏ(แห่งขันธ์)
และนี่ ก็คือ ความแตกต่างของคำว่า ชาติ ในปฏิจจสมุปบาท กับ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ !
ชัดเจน แล้วนะครับ
****************************************************************************************
หมายเหตุ สำหรับ ผู้ที่ยัง "ข้องใจ" อยู่
บางคนอาจยังเกิดความสงสัยอยู่ว่า ถ้า ปฏิจจสมุปบาท มิได้เกี่ยวข้องกับ การเวียนว่ายตายเกิดของ สัตว์ บุคคล ฯลฯ จริง
แล้วเหตุใด วิภังคสูตร จึงระบุว่า ยถึง เกิดจำเพาะ หรือ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ เอาไว้ด้วยเล่า ?
ตอบว่า ที่เรียกว่า วิภังค์ นี้หมายถึง คำจำแนกความ หรือ แสดงความหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้น ประเด็น มันจึงอยู่ที่ว่า
อธิบายแค่ไหน จึงจะถือว่า ผู้ฟังหรือผู้อ่าน จะสามารถเข้าใจความหมายของคำนั้นๆ ได้อย่างชัดเจน ?
อรรถกถาจารย์ อธิบายว่า พระพุทธเจ้า เมื่อจะตรัสสอน ก็ทรงถือเอา "อัธยาศัย" ของสัตว์นั้นเป็นเกณฑ์ กล่าวคือ
หากสัตว์นั้นสามารถบรรลุธรรมด้วย สมมติกถา ก็จะตรัสโดยสมมุติ ถ้าหากสัตว์นั้นสามารถบรรลุธรรมด้วย ปรมัตถ์ ก็จะตรัสปรมัตถ์
แต่กระนั้น แม้จะตรัสปรมัตถ์ ก็ตาม ก็จะไม่ทรงทิ้ง "สมมุติ" ไปเสียเลย เหตุผลก็คือ เพื่ออนุเคราะห์ สัตว์โลกที่ "ปัญญาทราม" นั่นเอง
ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจง พิจารณา วิภังคสูตร อย่างรอบคอบด้วยว่า แม้จะระบุความหมายของคำว่า "ชาติ" ด้วยโวหารโลก ก็จริง
แต่ก็ไม่มีข้อความตรงไหนเลย ที่จะทำให้สามารถเข้าใจได้ว่ามี สัตว์ บุคคล ฯลฯ เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในปฏิจจสมุปบาท
นอกไปเสียจาก การคิดปรุงแต่งเพ้อเจ้อไปเองของพวก ชาวพุทธชายขอบ ที่ยังเมาหมก ติดตังอยู่กับ สมมุติบัญญัติ
กล่าวโดยสรุป ก็คือ ข้อความใน วิภังคสูตร ก็เป็นเพียงการแสดงความหมายของ "คำศัพท์" เหมือนกับ พจนานุกรม นั่นเอง
โดยที่คำศัพท์ คำหนึ่ง อาจมีหลายความหมาย ก็จริง แต่เราจะใช้ความหมายอันไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับ บริบทแวดล้อมของข้อความนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น คำว่า "ขัน" พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ระบุว่า หมายถึง
(๑) ภาชนะสำหรับตักหรือใส่น้ำ
(๒) ทำให้ตึง หรือ ทำให้แน่น
(๓) อาการร้องเป็นเสียงอย่างหนึ่งของไก่
(๔) หัวเราะ
(๕) ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง
ทีนี้ ถ้าหากเป็นการพูดคุยอยู่ในแวดวง พฤกษศาสตร์ คำว่า "ขัน" นี้ ก็ต้องหมายถึง ต้นไม้
จะมายืนยัน กระต่ายขาเดียวว่า ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การร้องของ สัตว์ปีก นั้นคงไม่ได้
ฉันใด ก็ฉันนั้น คำว่า ชาติ จาก วิภังคสูตร จะใช้ในความหมายว่าอย่างไร มันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า
นำคำๆ นี้ไปใช้ ที่ไหน กับใคร และ ด้วยวิธีการอย่างไร ?
เช่นว่า หากนำคำว่า ชาติ ไปใช้กับ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คำๆ นี้จะหมายถึง การเกิดของตะกวดตัวไหน ก็จะไม่เป็นปัญหาเลย
แต่หากนำไปใช้กับ ปฏิจจสมุปบาท จักต้องใช้อย่างระมัดระวัง
กล่าวคือ หากเริ่มต้นการอธิบายความด้วย "สมมุติ" ว่าหมายถึง ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ
ผู้กล่าว จะจบคำอธิบาย แต่เพียงเท่านี้ มิได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้น ก็จะเท่ากับเป็นการ "กล่าวตู่" พระพุทธเจ้า
แต่จะต้องอธิบายความต่อไปอีกด้วยว่า แม้การเกิดดับจะมีอยู่จริง แต่โดยปรมัตถ์แล้ว สัตว์ บุคคล ฯลฯ หาได้มีอยู่อย่างแท้จริงไม่
ทั้งนี้ ก็เพื่อ "กำจัด" ความยึดติดถือมั่นแบบผิดๆ ด้วยตัณหา อุปาทาน ใน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ให้หมดไป นั่นเอง !
ที่กล่าวอธิบายมาทั้งหมดนี้ เป็นแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า นะครับ
****************************************************************************************
สรุป
๑) การกล่าวว่า ปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพชาติ มีจริง ย่อมผิดตั้งแต่ "คิด" แล้ว ถ้าหากยอมรับว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมในวิปัสสนาญาณ
เพราะอารมณ์ในวิปัสสนา ย่อมเป็นอารมณ์ปรมัตถ์ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะหา สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ที่ไหน มาเวียนว่ายตายเกิด ได้อีก
๒) แม้จะพบว่าใน วิภังคสูตร ระบุว่า ยถึง ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์
แต่นั่นก็เป็นเพียง "ธรรมชาติ" ของ "วิภังค์" ที่มีลักษณะดุจเดียวกับ พจนานุกรม ซึ่งย่อมให้ความหมายทั้งหมดเท่าที่เป็นไปได้
อีกทั้ง อรรถกถาจารย์ ยังอธิบายว่า แม้พระพุทธเจ้าจะตรัส ปรมัตถ์ แต่จะไม่ทรงทิ้ง สมมุติ (เพื่ออนุเคราะห์สัตว์)
ดังนั้น คำว่า ชาติ จะมีความหมายว่าอย่างไร จึงขึ้นอยู่กับ บริบทแวดล้อมของข้อความนั้นๆ ว่ากล่าวถึงอะไร
เช่น หากข้อความนั้นๆ กล่าวถึงธรรมระดับปรมัตถ์ ย่อมไม่สามารถนำความหมายระดับสมมุติ มา "มั่วนิ่ม" อ้างใช้ได้
ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับ วิจารณญาณ และ จิตสำนึก ของชาวพุทธเองว่า ทำอย่างไร จึงจะถูกต้อง และเหมาะสม
๓) ท่านปยุตโต กล่าวเอาไว้ในตำราพุทธธรรมว่า ปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพชาติ ไม่มีอยู่ในชั้นพระบาลีพุทธพจน์
จะมีคำอธิบายข้ามภพข้ามชาติแบบนี้ ก็แต่ในชั้นอรรถกถา ฎีกา เท่านั้น อีกทั้ง พระพุทธเจ้า ก็ตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
ปฏิจจสมุปบาทของพระองค์ ย่อมไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อย่างเด็ดขาด จะมีก็แต่ การเกิด การตาย แต่ไม่มี ผู้เกิดผู้ตาย
การพยายาม "ยัดเยียด" สัตว์ บุคคล ฯลฯ เข้าไปในปฏิจจสมุปบาท ไม่ว่าจะโดยใคร ย่อมได้ชื่อว่า "กล่าวตู่" อย่างไม่ต้องสงสัย
๔) ภาษิตของท่านพระสารีบุตร ตามที่ยกขึ้นอ้างนั้น เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะพบว่า มิได้มีอะไรแปลกใหม่
หากแต่เป็นคำอธิบายตามลำดับญาณ ซึ่งสอดคล้องกับพุทธพจน์จาก สีลขันธวรรค อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน
โดยสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า (๑) ปฏิจจสมุปบาท เป็น "ปรมัตถธรรม" ในวิปัสสนาญาณ ในขณะที่
(๒) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นเพียงแค่ "อารมณ์สมถะ" ในธรรมระดับสมมุติ จึงไม่แปลก ที่คำว่า ชาติ จาก ปฏิจจสมุปบาท
ย่อมมีความแตกต่างไปจาก ชาติ ใน ปุพเพนิวาสานุสติญาณ(การระลึกชาติ) !
๕) ในท้ายที่สุดนี้ ถ้า คันโตนาซี นางเอิงเอย และสหายร่วมบาป ยังเห็นว่า ชาติ จาก ปฏิจจสมุปบาท มีความหมายเดียวกับ
ชาติ ใน ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็จงแสดงเหตุผล และหลักฐาน ที่มิใช่การ "มั่วนิ่ม" หรือ "กล่าวตู่"อย่างที่แล้วๆ มาด้วยเถิด
แล้วผมจะ "ล้างหู" รอฟัง นะครับ
สวัสดี