กราวิตี้
หนังสำรวจอวกาศของเจ้าพ่อลองเทค และวันช็อตยาวที่สุดในโลก
โดยอัลฟองซัว คัวรอน...ชาวฝรั่งเศสนะ
ผลงานกำกับของแกก็ไม่มีอะไรมาก
ปี 2001 กำกับ Y Tu Mam? Tambi?n (ชื่อไทยว่ากิ๊กก๊าวพาสาวไปพักร้อน)
ปี 2004 กำกับ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban
ปี 2006 กำกับ Children of Men ที่ Clive Owen แสดงนำ
แต่ละเรื่องแกชอบมีฉากที่ถ่ายวันช็อต (คือไม่ตัดกล้องถ่ายไปเรื่อยๆยาวๆ) แทรกอยู่ตลอด
โดยเฉาะ Children of Men จัด ลองเทคยาวที่สุดในโลกไปแล้ว (ชอตวิ่งตามพี่โอเว่นหนีระเบิด)
ซึ่งนอกจากลองเทคแล้วแกมีมุมมองการนำเสนอที่แปลกไม่เหมือนชาวบ้านดี
คือชอบให้ตัวละครพึมพำกับตัวเอง...แสดงคนเดียวให้อินเป็นช่วงๆ...ซึ่งผมชอบมาก
พอมาถึงเรื่องล่าสุด gravity พี่แกจัดเต็มมากครับ
กราวิตี้ สนุกมากครับ
เปิดเรื่องมาแกก็เล่นละจัดไปเต็มๆวันช็อต 10 กว่านาที...นั่งดูอวกาศเปล่าๆกับโลกไป 5 นาที
การบิ้วอารมณ์ทำได้ดีมากจากการแช่กล้องนี่แหละ
...ช่วงนั้นรู้สึกได้เลยว่าอวกาศมัน...เงี๊ยบเงียบ
หนังเรื่องนี้ยาวแค่ 90 นาที...เหมือนจะสั้นแต่ทำมาได้ลงตัวมากครับ
มันสนุกเพราะมันลุ้น...ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
ทุกอย่างรอบตัวไม่เป็นมิตรกับมนุษย์เลยสักอย่างเดียว
ไม่มีอากาศ...ออกซิเจนหมดก็ตาย
ความดันไม่ปรับ...ก็หน้ามืด อึดอัด เลือดเป็นกรด
มีแต่แรงเฉื่อยไม่มีแรงเสียดทาน...เจอเศษอุกกาบาตหรือสะเก็ตนิดหน่อยทะลุตายได้ง่ายๆ
ความร้อน รังสี...ไม่มีชุดอวกาศก็ตาย
เชื้อเพลิงหมดก็ตาย....ฝ่ายเทคนิคก็ไม่เหลือ
ความช่วยเหลือก็มาไม่ถึง...พูดกับใครก็ไม่ได้ยิน
ซ้ำร้ายที่สุด...นางเอกไม่ใช่ช่างเทคนิค ไม่ได้มีความรู้เท่าไอ้แมทที่ลอยหายไปด้วยซ้ำ!! ตายๆๆๆ
จากปัจจัยข้างต้น...หนังพาเราไปถึงจุดสิ้นหวัง หลายรอบ
1 รอบ ... ไม่น่าจะรอด
... 2 รอบ ... มันจะรอดได้ไงวะ (นั่งนึกความน่าจะเป็น)
... 3 รอบ ... GG จบและ (รอหนังเฉลย คิดไม่ออก)
...รอบ 4-5-6 ผมไม่คิดละเหนื่อย...ดูละเหนื่อยจริงๆ
ดูละหายใจไม่ทั่วท้อง
ถ้าทำให้อารมณ์คนดูรู้สึกถึงขนาดนี้ได้...เรียกว่าประสบความสำเร็จสาแก่ใจผู้กำกับละครับ
ช่วงนึงที่ผมชอบมากคือการกลับมาของแมท...ที่หายไปหลายสิบนาที
และขอบคุณผู้กำกับมากที่ให้มาเพียงความคิดคำนึง...
ไม่งั้นฉากการตัดสินใจของแมทก่อนหน้านั้นจะถูกลืมไปอย่างน่าเสียดาย
อีก 2 เรื่องที่อยากพูดถึง
1.ความดราม่าของนางเอก...ดราม่าเรื่องความพยายาม ใจสู้ทำได้ดีมาก
ในการตะเกียกตะกาย หายใจหอบ คว้าโน่นนี่นั่น...จนเกือบไม่รอด
ฟีลอารมณ์ตอนจบที่สัมผัสกับพื้นโลก...ตอนมือดันพื้นแขนสั่น เหยียบพื้นแล้วเข่าอ่อน
พยายามยันตัวขึ้นฟ้าสู้กับแรงโน้มถ่วงแล้วตัดจบนั่นชอบมาก
บางคนว่ามันห้วนไป...แต่ผมว่ายืดให้นานกว่านั้นก็เอื่อยแล้ว
...วัตถุดิบช่วงจบมันกำลังพอดีๆ...โคตรพีคเลย
ส่วนดราม่าเรื่องแรงบันดาลใจของเธอ เรื่องลูกนั้น อ่อนมาก...เพราะเล่าน้อย
...แต่ช่วงเวลาแอ็คติ้งของดราม่านี้เยอะ
จะดีกว่านี้ถ้าเปลี่ยนจากเรื่องของลูก...เป็นพี่แมทแทน
เพราะหนังอวกาศมันจะอินมากในเรื่องของการเสียสละ
2.แซนดร้า...อายุ 49 ปี...แต่หุ่นเป๊ะมากครับ
สรุป
การเล่าเรื่องในความต่างของมุมมองต่ออวกาศทำได้ชัดเจนมาก
ทั้งมุมมองของคนที่หลงไหลในอวกาศ...ความเงียบและความสงบ
ทิวทัศน์ที่สวยงาม...และสารพัดเรื่องที่สามารถนำไปเล่าข้างล่าง
...กับมุมมองของอันตรายทุกทิศทางรอบด้านที่แทบจะทำลายความฝันวัยเด็กของเพื่อนผมไปพร้อมๆกัน
เป็นหนังอวกาศที่ดูไม่เครียดเหมือน apollo 18
สนุกเพราะภาพสวย...ลุ้นระทึกเพราะบท
3D ทำได้ดี มุมมองกว้าง
ดูได้สัก 2-3 รอบถึงจะเบื่อ เพราะภาพสวยมาก
ให้ 8.5/10 แนะนำว่าไปดูเถอะครับ 90 นาทีเอง
ปล.แนะนำต้อง Imax เท่านั้นถึงจะได้ฟีล...แต่แค่ เมเจอร์รัชโยพอ...200บาท
ไม่ใช่ฟิล์ม 70 มม ไม่ต้องถึงพารากอนก็ได้ (แพง 400 T T)
[SR] กราวิตี้ Gravity เมื่อต้องสู้กับทั้ง 2 สภาวะ
หนังสำรวจอวกาศของเจ้าพ่อลองเทค และวันช็อตยาวที่สุดในโลก
โดยอัลฟองซัว คัวรอน...ชาวฝรั่งเศสนะ
ผลงานกำกับของแกก็ไม่มีอะไรมาก
ปี 2001 กำกับ Y Tu Mam? Tambi?n (ชื่อไทยว่ากิ๊กก๊าวพาสาวไปพักร้อน)
ปี 2004 กำกับ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban
ปี 2006 กำกับ Children of Men ที่ Clive Owen แสดงนำ
แต่ละเรื่องแกชอบมีฉากที่ถ่ายวันช็อต (คือไม่ตัดกล้องถ่ายไปเรื่อยๆยาวๆ) แทรกอยู่ตลอด
โดยเฉาะ Children of Men จัด ลองเทคยาวที่สุดในโลกไปแล้ว (ชอตวิ่งตามพี่โอเว่นหนีระเบิด)
ซึ่งนอกจากลองเทคแล้วแกมีมุมมองการนำเสนอที่แปลกไม่เหมือนชาวบ้านดี
คือชอบให้ตัวละครพึมพำกับตัวเอง...แสดงคนเดียวให้อินเป็นช่วงๆ...ซึ่งผมชอบมาก
พอมาถึงเรื่องล่าสุด gravity พี่แกจัดเต็มมากครับ
กราวิตี้ สนุกมากครับ
เปิดเรื่องมาแกก็เล่นละจัดไปเต็มๆวันช็อต 10 กว่านาที...นั่งดูอวกาศเปล่าๆกับโลกไป 5 นาที
การบิ้วอารมณ์ทำได้ดีมากจากการแช่กล้องนี่แหละ
...ช่วงนั้นรู้สึกได้เลยว่าอวกาศมัน...เงี๊ยบเงียบ
หนังเรื่องนี้ยาวแค่ 90 นาที...เหมือนจะสั้นแต่ทำมาได้ลงตัวมากครับ
มันสนุกเพราะมันลุ้น...ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
ทุกอย่างรอบตัวไม่เป็นมิตรกับมนุษย์เลยสักอย่างเดียว
ไม่มีอากาศ...ออกซิเจนหมดก็ตาย
ความดันไม่ปรับ...ก็หน้ามืด อึดอัด เลือดเป็นกรด
มีแต่แรงเฉื่อยไม่มีแรงเสียดทาน...เจอเศษอุกกาบาตหรือสะเก็ตนิดหน่อยทะลุตายได้ง่ายๆ
ความร้อน รังสี...ไม่มีชุดอวกาศก็ตาย
เชื้อเพลิงหมดก็ตาย....ฝ่ายเทคนิคก็ไม่เหลือ
ความช่วยเหลือก็มาไม่ถึง...พูดกับใครก็ไม่ได้ยิน
ซ้ำร้ายที่สุด...นางเอกไม่ใช่ช่างเทคนิค ไม่ได้มีความรู้เท่าไอ้แมทที่ลอยหายไปด้วยซ้ำ!! ตายๆๆๆ
จากปัจจัยข้างต้น...หนังพาเราไปถึงจุดสิ้นหวัง หลายรอบ
1 รอบ ... ไม่น่าจะรอด
... 2 รอบ ... มันจะรอดได้ไงวะ (นั่งนึกความน่าจะเป็น)
... 3 รอบ ... GG จบและ (รอหนังเฉลย คิดไม่ออก)
...รอบ 4-5-6 ผมไม่คิดละเหนื่อย...ดูละเหนื่อยจริงๆ
ดูละหายใจไม่ทั่วท้อง
ถ้าทำให้อารมณ์คนดูรู้สึกถึงขนาดนี้ได้...เรียกว่าประสบความสำเร็จสาแก่ใจผู้กำกับละครับ
ช่วงนึงที่ผมชอบมากคือการกลับมาของแมท...ที่หายไปหลายสิบนาที
และขอบคุณผู้กำกับมากที่ให้มาเพียงความคิดคำนึง...
ไม่งั้นฉากการตัดสินใจของแมทก่อนหน้านั้นจะถูกลืมไปอย่างน่าเสียดาย
อีก 2 เรื่องที่อยากพูดถึง
1.ความดราม่าของนางเอก...ดราม่าเรื่องความพยายาม ใจสู้ทำได้ดีมาก
ในการตะเกียกตะกาย หายใจหอบ คว้าโน่นนี่นั่น...จนเกือบไม่รอด
ฟีลอารมณ์ตอนจบที่สัมผัสกับพื้นโลก...ตอนมือดันพื้นแขนสั่น เหยียบพื้นแล้วเข่าอ่อน
พยายามยันตัวขึ้นฟ้าสู้กับแรงโน้มถ่วงแล้วตัดจบนั่นชอบมาก
บางคนว่ามันห้วนไป...แต่ผมว่ายืดให้นานกว่านั้นก็เอื่อยแล้ว
...วัตถุดิบช่วงจบมันกำลังพอดีๆ...โคตรพีคเลย
ส่วนดราม่าเรื่องแรงบันดาลใจของเธอ เรื่องลูกนั้น อ่อนมาก...เพราะเล่าน้อย
...แต่ช่วงเวลาแอ็คติ้งของดราม่านี้เยอะ
จะดีกว่านี้ถ้าเปลี่ยนจากเรื่องของลูก...เป็นพี่แมทแทน
เพราะหนังอวกาศมันจะอินมากในเรื่องของการเสียสละ
2.แซนดร้า...อายุ 49 ปี...แต่หุ่นเป๊ะมากครับ
สรุป
การเล่าเรื่องในความต่างของมุมมองต่ออวกาศทำได้ชัดเจนมาก
ทั้งมุมมองของคนที่หลงไหลในอวกาศ...ความเงียบและความสงบ
ทิวทัศน์ที่สวยงาม...และสารพัดเรื่องที่สามารถนำไปเล่าข้างล่าง
...กับมุมมองของอันตรายทุกทิศทางรอบด้านที่แทบจะทำลายความฝันวัยเด็กของเพื่อนผมไปพร้อมๆกัน
เป็นหนังอวกาศที่ดูไม่เครียดเหมือน apollo 18
สนุกเพราะภาพสวย...ลุ้นระทึกเพราะบท
3D ทำได้ดี มุมมองกว้าง
ดูได้สัก 2-3 รอบถึงจะเบื่อ เพราะภาพสวยมาก
ให้ 8.5/10 แนะนำว่าไปดูเถอะครับ 90 นาทีเอง
ปล.แนะนำต้อง Imax เท่านั้นถึงจะได้ฟีล...แต่แค่ เมเจอร์รัชโยพอ...200บาท
ไม่ใช่ฟิล์ม 70 มม ไม่ต้องถึงพารากอนก็ได้ (แพง 400 T T)