ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-และแล้วก็เป็นไปตามคาด.... สุดท้ายร่าง 'พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับวรชัย เหมะ' ซึ่งระบุชัดว่าจะนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ ไม่เกี่ยวข้องกับแกนนำที่เผาบ้านเผาเมือง และนักการเมืองที่หนีคดีคอร์รัปชั่นอย่าง 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' อย่างเด็ดขาด ก็กลายร่างเป็น 'พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย' เพื่อพา 'นายใหญ่' กลับบ้าน
โดยงานนี้หลังจากที่สามารถผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายวรชัย เข้าสู่การพิจารณาของสภาได้สำเร็จ โดยใช้มุขเดิมๆคือเอาประชาชนมาบังหน้า อ้างว่าเป็นการออกกฎหมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีเจตนาบริสุทธิ์ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง พรรคเพื่อไทยก็ส่งไม้ต่อให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ... เป็นคนรับไม้ต่อ โดยมีนักการเมืองรุ่นลายคราม ฉายา 'หัวเขียง' ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ รับหน้าที่เล่นแร่แปลธาตุให้กลายเป็นกฎหมายฟอกผิดแก่นักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น โดย เสนอปรับแก้ข้อความในมาตรา 3 ดังนี้
“...ให้บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง หรือถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง...”
แน่นอนว่า บุคคลที่จะได้รับโยชน์จาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' เนื่องจากข้อความที่ระบุว่า “การกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิด” โดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 นั้นย่อมหมายถึง คตส.หรือ “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ” ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงที่เขายังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีผู้อื้อฉาว
ซึ่งทันทีที่กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ นช.ทักษิณก็ไม่ต้องติดคุกตามคำพิพากษาของศาล อีกทั้งยังต้องคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านที่ นช.ทักษิณคอร์รัปชั่นไปและถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึดตกแก่แผ่นดิน แต่ที่เจ็บแสบไปกว่านั้นคือ นช.ทักษิณ ยังสมารถเรียกดอกเบี้ยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ถูกยึดทรัพย์ อีกประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งบวกลบคูณหารแล้วประเทศไทยต้องคืนเงินให้รวมทั้งหมดราว 50,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
แปลกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือการแก้ไขกฎหมายแบบลากโยงยาวขนาดนี้ไป ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากพา 'นายใหญ่' กลับบ้าน และคืนเงินที่ได้จากการทุจริตให้นายใหญ่เท่านั้น เพราะหากพิจารณาแล้ว หากการนิรโทษกรรมนี้มุ่งเน้นเพื่อปรองดองจริงๆ แล้ว ในความขัดแย้งนับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมานั้น ก็ไม่มี “ใครอีก” ที่ได้รับการกล่าวหาจากองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่ง คมช. ไม่ว่าจะประชาชนเสื้อเหลือง เสื้อแดง กองทัพ หรือฝ่ายไหน นอกเสียจาก นช.ทักษิณและนักการเมืองในขั้วดังกล่าว
นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการ และอดีตกรรมการใน คตส. แสดงความเห็นต่อการออกกฎหมายแบบวิปริตพิสดารครั้งนี้ว่า
“มันชัดเจนว่าองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็คือ คตส. และเป็นที่รู้กันดีว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการตรวจสอบของ คตส.ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกทั้งคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นไม่เกี่ยวข้องใดๆกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ล้วนเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่นทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอนว่า 'ความผิดที่เกิดจากการคอร์รัปชั่น' ไม่ตรงกับหลักการและเหตุผลของการนำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต่อสภาฯ ซึ่งหากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่รัฐบาลเสนอผ่านขึ้นมาจะเท่ากับว่าทุกคดีที่ คตส.เคยตัดสิน หรือกล่าวหาว่าผู้ใดว่ากระทำผิดกฎหมาย จะพ้นผิดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคดีที่กำลังดำเนินคดี คดีที่ดำเนินไปแล้ว คดีที่ตัดสินไปแล้วว่ามีความผิด ทุกอย่างจะถูกยกเลิกหมด ไม่ว่าจะเป็นคดีที่ดินรัชดา คดีรถดับเพลิง ทุกอย่างจะหายไปหมดเหมือนกับเคยมีเหตุการณ์นี้ ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ผมว่าการออกกฎหมายแบบนี้มีแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น และเชื่อว่าหจะทำให้มีมวลชนออกมาร่วมชุมนุมกับเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) ที่ชุมนุมอยู่แยกอุรุพงษ์มากยิ่งขึ้น”
http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9560000133775
นิรโทษกรรมสุดซอย 'แม้ว'ต้ม'ควายแดง' “เงินกูอยู่ไหน ?” (1)
โดยงานนี้หลังจากที่สามารถผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายวรชัย เข้าสู่การพิจารณาของสภาได้สำเร็จ โดยใช้มุขเดิมๆคือเอาประชาชนมาบังหน้า อ้างว่าเป็นการออกกฎหมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีเจตนาบริสุทธิ์ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง พรรคเพื่อไทยก็ส่งไม้ต่อให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ... เป็นคนรับไม้ต่อ โดยมีนักการเมืองรุ่นลายคราม ฉายา 'หัวเขียง' ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ รับหน้าที่เล่นแร่แปลธาตุให้กลายเป็นกฎหมายฟอกผิดแก่นักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น โดย เสนอปรับแก้ข้อความในมาตรา 3 ดังนี้
“...ให้บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง หรือถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง...”
แน่นอนว่า บุคคลที่จะได้รับโยชน์จาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' เนื่องจากข้อความที่ระบุว่า “การกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิด” โดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 นั้นย่อมหมายถึง คตส.หรือ “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ” ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงที่เขายังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีผู้อื้อฉาว
ซึ่งทันทีที่กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ นช.ทักษิณก็ไม่ต้องติดคุกตามคำพิพากษาของศาล อีกทั้งยังต้องคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านที่ นช.ทักษิณคอร์รัปชั่นไปและถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึดตกแก่แผ่นดิน แต่ที่เจ็บแสบไปกว่านั้นคือ นช.ทักษิณ ยังสมารถเรียกดอกเบี้ยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ถูกยึดทรัพย์ อีกประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งบวกลบคูณหารแล้วประเทศไทยต้องคืนเงินให้รวมทั้งหมดราว 50,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
แปลกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือการแก้ไขกฎหมายแบบลากโยงยาวขนาดนี้ไป ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากพา 'นายใหญ่' กลับบ้าน และคืนเงินที่ได้จากการทุจริตให้นายใหญ่เท่านั้น เพราะหากพิจารณาแล้ว หากการนิรโทษกรรมนี้มุ่งเน้นเพื่อปรองดองจริงๆ แล้ว ในความขัดแย้งนับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมานั้น ก็ไม่มี “ใครอีก” ที่ได้รับการกล่าวหาจากองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่ง คมช. ไม่ว่าจะประชาชนเสื้อเหลือง เสื้อแดง กองทัพ หรือฝ่ายไหน นอกเสียจาก นช.ทักษิณและนักการเมืองในขั้วดังกล่าว
นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการ และอดีตกรรมการใน คตส. แสดงความเห็นต่อการออกกฎหมายแบบวิปริตพิสดารครั้งนี้ว่า
“มันชัดเจนว่าองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็คือ คตส. และเป็นที่รู้กันดีว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการตรวจสอบของ คตส.ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกทั้งคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นไม่เกี่ยวข้องใดๆกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ล้วนเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่นทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอนว่า 'ความผิดที่เกิดจากการคอร์รัปชั่น' ไม่ตรงกับหลักการและเหตุผลของการนำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต่อสภาฯ ซึ่งหากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่รัฐบาลเสนอผ่านขึ้นมาจะเท่ากับว่าทุกคดีที่ คตส.เคยตัดสิน หรือกล่าวหาว่าผู้ใดว่ากระทำผิดกฎหมาย จะพ้นผิดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคดีที่กำลังดำเนินคดี คดีที่ดำเนินไปแล้ว คดีที่ตัดสินไปแล้วว่ามีความผิด ทุกอย่างจะถูกยกเลิกหมด ไม่ว่าจะเป็นคดีที่ดินรัชดา คดีรถดับเพลิง ทุกอย่างจะหายไปหมดเหมือนกับเคยมีเหตุการณ์นี้ ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ผมว่าการออกกฎหมายแบบนี้มีแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น และเชื่อว่าหจะทำให้มีมวลชนออกมาร่วมชุมนุมกับเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) ที่ชุมนุมอยู่แยกอุรุพงษ์มากยิ่งขึ้น”
http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9560000133775