แสงทองยามตะวันสาย ลอดผ่านช่องโหว่ระหว่างใบต้นจามจุรี ต้องกับหญิงสามคนที่เดินจับกลุ่มด้วยกันบนถนนลาดยาง ซึ่งกลับไม่มีรถสวนทางไปมาอย่างที่ควรจะเป็น
“นี่เป็นทางลัดไปตลาดนะ”
“ทำไมคุณรู้จักแถวนี้ดีจัง?”
“ฉันเป็นคนที่นี่แหละ แต่ไปทำงานที่กรุงเทพ นี่ก็กะจะกลับมาอยู่บ้านแล้ว” คนพูดไม่ได้โกหก ก็จริงอยู่ที่เจ้าตัวเป็นคนที่นี่ แต่ไอ้ที่จะกลับมาอยู่บ้านนั้น คงต้องว่ากันอีกที
“แล้วทำไมคุณถึงได้ดีกับฉันเหลือเกิน?”
“ก็เราเป็นอิสลามเหมือนกัน” อัญญาพยักหน้าหงึกๆ กับคำตอบที่ได้รับโดยไม่ขัดแย้ง เนื่องจากทราบดีว่าสังคมคนอิสลามนั้น ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเพียงใด หากจะผิดก็ตรงที่ว่า หล่อนไม่ได้เป็นอิสลามแท้อย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจต่างหาก
“ทำไมคุณไม่สวมชุดอาบายะห์?” คำถามพาซื่อที่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่า ‘หลุด’ จ้อออกไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ตลอดระยะเวลาที่เพิ่งพบพานกับหญิงสาวนิรนาม อายุอานามรุ่นราวคราวเดียวกัน มันทำให้อีกฝ่ายเผลอยิ้มให้ ไม่ใช่ยิ้มให้เพราะความจู้จี้ของอีกฝ่าย แต่ยิ้มให้เพราะความไม่รู้เรื่องศาสนาอย่างแท้จริงของอีกฝ่ายต่างหาก
อัญญานี่ถ้าอยู่ใกล้งู เธอคงโดนงูฉกตายก่อนใครเพื่อน เพราะไม่รู้ว่างูตัวนั้นมีพิษหรือไม่
“พิณไม่ได้ถือเคร่งขนาดนั้น ปกติแล้วคนไทยส่วนน้อยนะที่จะสวมชุดอาบะยะห์ พิณถึงงงตั้งแต่ต้นไง ว่าอัญเป็นคนทางฝั่งอาหรับรึเปล่า แหม...ทำเป็นพูดภาษาอังกฤษ คลุมหน้ามิดชิดขนาดนั้น” หญิงสาวคนที่เรียกตัวเองว่า ‘พิณ’ อดแซวไม่ได้
“ก็...อืม...แล้วอีกไกลมั๊ยกว่าจะถึงตลาด?” อัญญาเปลี่ยนเรื่อง หน้าเจื่อนภายใต้ผ้าสีดำที่คลุมมิดชิด ในขณะที่พิณไม่ได้ว่าอะไรต่อ นอกจากตอบคำถามของฝ่ายนั้น
“ใกล้ถึงแล้ว...นั่นไง” อัญญามองตามนิ้วชี้
ปากซอยถนนเล็กแคบ เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขาย และผู้คนที่มาเดินจับจ่ายซื้อของ กลิ่นไก่ย่างบนตะแกรงเหล็ก ยามโดนถ่านไฟร้อนๆ เผา โชยชายแตะจมูก กระนั้นเอง คนที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแตะเย็นวาน จึงท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาง่ายๆ
อัญญาไม่ไว้ท่า ชะเง้อมองหาต้นกลิ่นพลางเอามือลูบท้องตัวเองเล่น ในขณะที่ป้านวลผู้ติดตามแอบน้ำลายสอ แต่ไม่ออกอาการขนาดหญิงสาว
‘พิณ’ หญิงนิรนามที่ออกตัวว่าจะช่วยเหลือทั้งคู่ ในฐานะที่เป็นคนพื้นเพเผลอยิ้ม หากเป็นยิ้มที่ไม่รู้จะขำ หรือสงสารอีกฝ่ายดี เพราะนอกจากอัญญาจะไว้วางใจคนแปลกหน้าอย่างง่ายดายแล้ว หล่อนยังชอบทำนิสัยโก๊ะๆ ผิดจากรูปร่างหน้าตาที่น่าจะเป็นสาวสวย วางมาดเก่ง
มันเลยทำให้พิณคาใจหลายครั้งว่า...’ผิดคนรึเปล่าเนี่ย!’
“โอ๊ย...หอมจังเลย ไปซื้อไก่ย่างกันเถอะ” หญิงสาวเห็นเป็นเรื่องสนุก ใบหน้าแย้มยิ้ม เดินนำหน้าคนทั้งสองไปลิ่วๆ ป้านวลที่ติดตามอย่างเงียบกริบ ส่งสายตาเปื้อนยิ้มให้พิณ พิณจึงยิ้มตอบ ก่อนที่คนแก่ ซึ่งบัดนี้อาภรณ์ที่คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้ปิดบังความแก่เสียสนิท รีบเดินตามอัญญาไป
พิณมองตามคนทั้งคู่ ในขณะที่ไม่ได้ขยับฝีก้าวไปทางไหน หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทร. ออก
“ตอนนี้ทุกอย่างกำลังโอเคคะ” หญิงสาวไม่จำเป็นต้องแนะนำว่าตนเองเป็นใคร เพราะอีกฝ่ายทราบดี ก่อนจะเงียบฟังเสียงปลายทางชุดใหญ่
“เอาอย่างที่คุณบอกก็ได้ ตอนนี้อาจจะเร็วไป ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เดี๋ยวทุกอย่างจะล่มหมดเพราะความรีบ...คะ...โอเคคะ” มือเรียวยัดโทรศัพท์เคลื่อนที่ใส่ในกระเป๋าเสื้อแขนยาว
“นี่แกงอะไรคะเนี่ย?” กลิ่นหอมแปลกของแกงที่เต็มไปด้วยผัก ดึงความสนใจของหญิงสาว
“แกงแคครับ” คนขายยิ้มแปล้ ก่อนจะหันไปง่วนกับไก่ปิ้งบนตะแกรงเหล็ก
“เพิ่งออกจากหม้อเลยคะ แกงอย่างอื่นกำลังจะเอาเทลงถาด พ่อ...เอาแกงมาเทลงถาดก่อน ลูกค้ารอ” ป้าที่อนุมานได้ว่าคงเป็นคู่ทุกข์คู่ของอีกฝ่ายขมวดคิ้วยุ่งๆ
“เดี๋ยวๆ ได้แล้ว” ทั้งสามมองดูกิจกรรมของพ่อค้าแม่ขาย ยามเพิ่งเปิดร้านเพลิน จนไม่สนทนาอะไรกัน
“เขยิบออกไปหน่อยครับ”
พ่อค้าคนเดิมเทแกงที่อยู่ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ลงถาดสี่เหลี่ยม อัญญาจำต้องเขยิบออกห่างตามคำขอ ควันร้อนตีไอสูง ก่อนที่ทั้งกลิ่นและควันจะกระจายตัวไปตามอากาศ และไม่นาน...สารพัดแกงก็หราตรงหน้า หากหญิงสาวยังสนใจแกงแคที่เห็นตั้งแต่ทีแรก
“แกแคเป็นแกงเหนือ ลองกินดูมั๊ย?” พิณขยายความให้คนที่ส่งสายตามองอาหารตรงหน้า
“ก็ได้...เอาแกงนี่ถุงหนึ่งคะ แล้วก็เอาไก่ปิ้ง 2 ไม้ ข้าวเหนียวด้วย พี่ลินเอาอะไร?” หญิงสาวเจ้ากี้เจ้าการกับคนที่นานๆ ทีดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก
“เอาเหมือน...” อัญญาเบือนหน้ามองป้านวลแวบหนึ่ง พิณสังเกตเกือบทุกอิริยาบถที่มันคือ ‘ลับลมคมใน’
“เอาเหมือนมารีนั่นแหละ”
“งั้นซื้อเพิ่มแบบเดียวกันอีกชุดคะ คุณพิณหละคะ เดี๋ยวมารีจ่ายเอง ขอบคุณที่ช่วยไว้ไงคะ”
“ไม่ดีกว่า ยังไม่หิว”
“ซื้อไปเก็บไว้ก็ได้ หิวเมื่อไรค่อยเอามาเวฟ ห้องพักที่เราพักอยู่มีพร้อมทุกอย่างเลยนะ” อัญญาไม่วายตื้อ ตามประสาคุณหนูจอมจุ้น พิณพยักหน้าตัดความรำคาญ ดูท่าทางอัญญาจะเห็นว่าการหลบหนี เป็นเรื่องสนุกมากกว่าจะมานั่งซีเรียสกับวันพรุ่งนี้ หรือวินาทีถัดไป
คนขายตักแกงใส่ถุงคล่องแคล่ว เพิ่งเปิดร้านก็รับทรัพย์เกินร้อย ภรรยาคู่ชีวิตพลิกไก่บนตะแกรงไปมา เกรียมได้ที่จึงจับยัดใส่ถุงพลาสติกให้ จัดรวมกับข้าวเหนียวเป็นชุดๆ คนทั้งสามมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน ป้านวลรู้สึกอึดอัดชอบกล ส่วนอัญญานั้นคิดแต่ว่า ชีวิตที่ไม่หรูหราบนฟูกราคาหลายหมื่นนั้นน่าสนใจไม่น้อย หล่อนลืมไปสนิทว่าหนีบิดามาเพื่อภารกิจอะไร เกือบลืมไม่พอ หล่อนดันคิดว่าที่นี่ไกลพอที่จะหนีบิดาของตนพ้นเสียด้วยซ้ำ ส่วนพิณนั้น...กลับไม่สนใจต่อภาพที่ฉายเบื้องหน้า การทำตัวไม่มีพิษภัยของอัญญา ทำให้หล่อนรู้สึกใจอ่อน นั่นคือเหตุผลที่หล่อนไม่ควรเป็น!
“อ้าว!...ป้าฮั๊วะ วันนี้ไม่เอาผักลงมาขายหรอจ๊ะ?” แม่ค้าต่อแม่ค้าทักทายกันตามประสา ยายชาวเขาที่ดูอายุอานามมากกว่า 70 แบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยไม้ผลสีแดงก่ำอย่างคนสู้งาน
“ลูกไหนหลังบ้านสุกแล้ว เลยเก็บมาขายแทนกะหล่ำ” สำเนียงพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ หากคนฟังเข้าใจดีในฐานะที่พบปะกันเกือบทุกวัน
“หนักแย่เลย” พ่อค้าเสริม สองมือกำลังมัดปากถุงด้วยหนังยางคล่องแคล่ว
“วังนี้มีคนมาส่ง ไม่ได้นั่งรถสองแถวมา”
“ใคร...ลูกหรอ?” ชายวัยกลางคนทำท่าทีสนใจ
“เพื่อนบ้าน”
“เอ้า!...โต๊ะวางผักของป้า” แม่ค้าขายแกงยกโต๊ะญี่ปุ่นไปให้คนที่เพิ่งมาใหม่ พร้อมกับบริการกางให้อย่างเสร็จสรรพ
บทสนทนาต่อๆ ไปเพียงแค่ผ่านเข้าหูของลูกค้าทั้งสาม ที่กำลังยืนรอกับข้าว อัญญาสนใจผลไม้สดจากต้น อย่างที่คนเอามาว่าไว้ตาไม่กะพริบ ผลสีแดงเข้มเกือบดำถูกลำเลียงลงบนโต๊ะไม้เตี้ยๆ ซึ่งเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันมีน้ำใจเอาให้ยืม...หรือเปล่า? หญิงสาวก็ไม่แน่ใจนัก
“แล้วเพื่อนบ้านหายไปไหนซะหละ?”
“เขาไปธุระแล้ว เย็นๆ เห็นบอกจะมารับ”
“อ๋อ...ดีสิ จะได้ไม่ต้องต่อรถให้ลำบาก ปลูกเองหรอยาย?”
“ปลูกเอง มีตั้งสิบต้นหลังบ้าน”
“งั้นเก็บไว้ให้สักหนึ่งโลนะจ๊ะยาย ตอนใกล้กลับจะจ่ายตังส์ให้ หนูจะเอาไปฝากลูกหนะ มันชอบกินผลไม้ เอาลูกโตๆ นะ”
“จ้า...จะแถมให้หลายๆ ลูกเลย” เสียงหัวเราะดังขึ้นระหว่างคนขายเหมือนกัน ความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างใครก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาฝ่ายไหน แต่ทำไมทุกคนกลับอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องมีบอดี้การ์ดที่ไหนคอยตามติด ผลสุดท้ายแล้ว...ความสุขของคนมันอยู่ที่ไหนกันนะ?
อัญญามองภาพชีวิตที่อาจจะธรรมดา แต่มันกลับสะท้อนให้ลูกเจ้าพ่ออย่างหล่อนได้ทบทวน ตั้งแต่เกิดมามีใครที่หล่อนจะคุยได้แบบสนิทใจอย่างภาพเบื้องหน้าบ้าง นอกจากป้านวลแล้วก็ไม่เห็นมีใคร มีแต่ชายชุดดำ ที่แรกเริ่มเดิมทีหล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเขาทำไมต้องตามติดไปทุกที่ และถึงแม้พวกเขาจะดีกับหล่อนปางตายอย่างไร หากนั่นก็ลูกน้องของพ่อ เขาทำตามหน้าที่เท่านั้น แม้แต่ญาติมิตรสหายร่วมสายเลือด หล่อนก็ยังนึกไม่ออกว่าอยู่ที่ไหน
ราเอล
ราตรีอับแสง (ตอนที่ 11)
“นี่เป็นทางลัดไปตลาดนะ”
“ทำไมคุณรู้จักแถวนี้ดีจัง?”
“ฉันเป็นคนที่นี่แหละ แต่ไปทำงานที่กรุงเทพ นี่ก็กะจะกลับมาอยู่บ้านแล้ว” คนพูดไม่ได้โกหก ก็จริงอยู่ที่เจ้าตัวเป็นคนที่นี่ แต่ไอ้ที่จะกลับมาอยู่บ้านนั้น คงต้องว่ากันอีกที
“แล้วทำไมคุณถึงได้ดีกับฉันเหลือเกิน?”
“ก็เราเป็นอิสลามเหมือนกัน” อัญญาพยักหน้าหงึกๆ กับคำตอบที่ได้รับโดยไม่ขัดแย้ง เนื่องจากทราบดีว่าสังคมคนอิสลามนั้น ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเพียงใด หากจะผิดก็ตรงที่ว่า หล่อนไม่ได้เป็นอิสลามแท้อย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจต่างหาก
“ทำไมคุณไม่สวมชุดอาบายะห์?” คำถามพาซื่อที่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่า ‘หลุด’ จ้อออกไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ตลอดระยะเวลาที่เพิ่งพบพานกับหญิงสาวนิรนาม อายุอานามรุ่นราวคราวเดียวกัน มันทำให้อีกฝ่ายเผลอยิ้มให้ ไม่ใช่ยิ้มให้เพราะความจู้จี้ของอีกฝ่าย แต่ยิ้มให้เพราะความไม่รู้เรื่องศาสนาอย่างแท้จริงของอีกฝ่ายต่างหาก
อัญญานี่ถ้าอยู่ใกล้งู เธอคงโดนงูฉกตายก่อนใครเพื่อน เพราะไม่รู้ว่างูตัวนั้นมีพิษหรือไม่
“พิณไม่ได้ถือเคร่งขนาดนั้น ปกติแล้วคนไทยส่วนน้อยนะที่จะสวมชุดอาบะยะห์ พิณถึงงงตั้งแต่ต้นไง ว่าอัญเป็นคนทางฝั่งอาหรับรึเปล่า แหม...ทำเป็นพูดภาษาอังกฤษ คลุมหน้ามิดชิดขนาดนั้น” หญิงสาวคนที่เรียกตัวเองว่า ‘พิณ’ อดแซวไม่ได้
“ก็...อืม...แล้วอีกไกลมั๊ยกว่าจะถึงตลาด?” อัญญาเปลี่ยนเรื่อง หน้าเจื่อนภายใต้ผ้าสีดำที่คลุมมิดชิด ในขณะที่พิณไม่ได้ว่าอะไรต่อ นอกจากตอบคำถามของฝ่ายนั้น
“ใกล้ถึงแล้ว...นั่นไง” อัญญามองตามนิ้วชี้
ปากซอยถนนเล็กแคบ เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขาย และผู้คนที่มาเดินจับจ่ายซื้อของ กลิ่นไก่ย่างบนตะแกรงเหล็ก ยามโดนถ่านไฟร้อนๆ เผา โชยชายแตะจมูก กระนั้นเอง คนที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแตะเย็นวาน จึงท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาง่ายๆ
อัญญาไม่ไว้ท่า ชะเง้อมองหาต้นกลิ่นพลางเอามือลูบท้องตัวเองเล่น ในขณะที่ป้านวลผู้ติดตามแอบน้ำลายสอ แต่ไม่ออกอาการขนาดหญิงสาว
‘พิณ’ หญิงนิรนามที่ออกตัวว่าจะช่วยเหลือทั้งคู่ ในฐานะที่เป็นคนพื้นเพเผลอยิ้ม หากเป็นยิ้มที่ไม่รู้จะขำ หรือสงสารอีกฝ่ายดี เพราะนอกจากอัญญาจะไว้วางใจคนแปลกหน้าอย่างง่ายดายแล้ว หล่อนยังชอบทำนิสัยโก๊ะๆ ผิดจากรูปร่างหน้าตาที่น่าจะเป็นสาวสวย วางมาดเก่ง
มันเลยทำให้พิณคาใจหลายครั้งว่า...’ผิดคนรึเปล่าเนี่ย!’
“โอ๊ย...หอมจังเลย ไปซื้อไก่ย่างกันเถอะ” หญิงสาวเห็นเป็นเรื่องสนุก ใบหน้าแย้มยิ้ม เดินนำหน้าคนทั้งสองไปลิ่วๆ ป้านวลที่ติดตามอย่างเงียบกริบ ส่งสายตาเปื้อนยิ้มให้พิณ พิณจึงยิ้มตอบ ก่อนที่คนแก่ ซึ่งบัดนี้อาภรณ์ที่คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้ปิดบังความแก่เสียสนิท รีบเดินตามอัญญาไป
พิณมองตามคนทั้งคู่ ในขณะที่ไม่ได้ขยับฝีก้าวไปทางไหน หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทร. ออก
“ตอนนี้ทุกอย่างกำลังโอเคคะ” หญิงสาวไม่จำเป็นต้องแนะนำว่าตนเองเป็นใคร เพราะอีกฝ่ายทราบดี ก่อนจะเงียบฟังเสียงปลายทางชุดใหญ่
“เอาอย่างที่คุณบอกก็ได้ ตอนนี้อาจจะเร็วไป ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เดี๋ยวทุกอย่างจะล่มหมดเพราะความรีบ...คะ...โอเคคะ” มือเรียวยัดโทรศัพท์เคลื่อนที่ใส่ในกระเป๋าเสื้อแขนยาว
“นี่แกงอะไรคะเนี่ย?” กลิ่นหอมแปลกของแกงที่เต็มไปด้วยผัก ดึงความสนใจของหญิงสาว
“แกงแคครับ” คนขายยิ้มแปล้ ก่อนจะหันไปง่วนกับไก่ปิ้งบนตะแกรงเหล็ก
“เพิ่งออกจากหม้อเลยคะ แกงอย่างอื่นกำลังจะเอาเทลงถาด พ่อ...เอาแกงมาเทลงถาดก่อน ลูกค้ารอ” ป้าที่อนุมานได้ว่าคงเป็นคู่ทุกข์คู่ของอีกฝ่ายขมวดคิ้วยุ่งๆ
“เดี๋ยวๆ ได้แล้ว” ทั้งสามมองดูกิจกรรมของพ่อค้าแม่ขาย ยามเพิ่งเปิดร้านเพลิน จนไม่สนทนาอะไรกัน
“เขยิบออกไปหน่อยครับ”
พ่อค้าคนเดิมเทแกงที่อยู่ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ลงถาดสี่เหลี่ยม อัญญาจำต้องเขยิบออกห่างตามคำขอ ควันร้อนตีไอสูง ก่อนที่ทั้งกลิ่นและควันจะกระจายตัวไปตามอากาศ และไม่นาน...สารพัดแกงก็หราตรงหน้า หากหญิงสาวยังสนใจแกงแคที่เห็นตั้งแต่ทีแรก
“แกแคเป็นแกงเหนือ ลองกินดูมั๊ย?” พิณขยายความให้คนที่ส่งสายตามองอาหารตรงหน้า
“ก็ได้...เอาแกงนี่ถุงหนึ่งคะ แล้วก็เอาไก่ปิ้ง 2 ไม้ ข้าวเหนียวด้วย พี่ลินเอาอะไร?” หญิงสาวเจ้ากี้เจ้าการกับคนที่นานๆ ทีดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก
“เอาเหมือน...” อัญญาเบือนหน้ามองป้านวลแวบหนึ่ง พิณสังเกตเกือบทุกอิริยาบถที่มันคือ ‘ลับลมคมใน’
“เอาเหมือนมารีนั่นแหละ”
“งั้นซื้อเพิ่มแบบเดียวกันอีกชุดคะ คุณพิณหละคะ เดี๋ยวมารีจ่ายเอง ขอบคุณที่ช่วยไว้ไงคะ”
“ไม่ดีกว่า ยังไม่หิว”
“ซื้อไปเก็บไว้ก็ได้ หิวเมื่อไรค่อยเอามาเวฟ ห้องพักที่เราพักอยู่มีพร้อมทุกอย่างเลยนะ” อัญญาไม่วายตื้อ ตามประสาคุณหนูจอมจุ้น พิณพยักหน้าตัดความรำคาญ ดูท่าทางอัญญาจะเห็นว่าการหลบหนี เป็นเรื่องสนุกมากกว่าจะมานั่งซีเรียสกับวันพรุ่งนี้ หรือวินาทีถัดไป
คนขายตักแกงใส่ถุงคล่องแคล่ว เพิ่งเปิดร้านก็รับทรัพย์เกินร้อย ภรรยาคู่ชีวิตพลิกไก่บนตะแกรงไปมา เกรียมได้ที่จึงจับยัดใส่ถุงพลาสติกให้ จัดรวมกับข้าวเหนียวเป็นชุดๆ คนทั้งสามมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน ป้านวลรู้สึกอึดอัดชอบกล ส่วนอัญญานั้นคิดแต่ว่า ชีวิตที่ไม่หรูหราบนฟูกราคาหลายหมื่นนั้นน่าสนใจไม่น้อย หล่อนลืมไปสนิทว่าหนีบิดามาเพื่อภารกิจอะไร เกือบลืมไม่พอ หล่อนดันคิดว่าที่นี่ไกลพอที่จะหนีบิดาของตนพ้นเสียด้วยซ้ำ ส่วนพิณนั้น...กลับไม่สนใจต่อภาพที่ฉายเบื้องหน้า การทำตัวไม่มีพิษภัยของอัญญา ทำให้หล่อนรู้สึกใจอ่อน นั่นคือเหตุผลที่หล่อนไม่ควรเป็น!
“อ้าว!...ป้าฮั๊วะ วันนี้ไม่เอาผักลงมาขายหรอจ๊ะ?” แม่ค้าต่อแม่ค้าทักทายกันตามประสา ยายชาวเขาที่ดูอายุอานามมากกว่า 70 แบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยไม้ผลสีแดงก่ำอย่างคนสู้งาน
“ลูกไหนหลังบ้านสุกแล้ว เลยเก็บมาขายแทนกะหล่ำ” สำเนียงพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ หากคนฟังเข้าใจดีในฐานะที่พบปะกันเกือบทุกวัน
“หนักแย่เลย” พ่อค้าเสริม สองมือกำลังมัดปากถุงด้วยหนังยางคล่องแคล่ว
“วังนี้มีคนมาส่ง ไม่ได้นั่งรถสองแถวมา”
“ใคร...ลูกหรอ?” ชายวัยกลางคนทำท่าทีสนใจ
“เพื่อนบ้าน”
“เอ้า!...โต๊ะวางผักของป้า” แม่ค้าขายแกงยกโต๊ะญี่ปุ่นไปให้คนที่เพิ่งมาใหม่ พร้อมกับบริการกางให้อย่างเสร็จสรรพ
บทสนทนาต่อๆ ไปเพียงแค่ผ่านเข้าหูของลูกค้าทั้งสาม ที่กำลังยืนรอกับข้าว อัญญาสนใจผลไม้สดจากต้น อย่างที่คนเอามาว่าไว้ตาไม่กะพริบ ผลสีแดงเข้มเกือบดำถูกลำเลียงลงบนโต๊ะไม้เตี้ยๆ ซึ่งเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันมีน้ำใจเอาให้ยืม...หรือเปล่า? หญิงสาวก็ไม่แน่ใจนัก
“แล้วเพื่อนบ้านหายไปไหนซะหละ?”
“เขาไปธุระแล้ว เย็นๆ เห็นบอกจะมารับ”
“อ๋อ...ดีสิ จะได้ไม่ต้องต่อรถให้ลำบาก ปลูกเองหรอยาย?”
“ปลูกเอง มีตั้งสิบต้นหลังบ้าน”
“งั้นเก็บไว้ให้สักหนึ่งโลนะจ๊ะยาย ตอนใกล้กลับจะจ่ายตังส์ให้ หนูจะเอาไปฝากลูกหนะ มันชอบกินผลไม้ เอาลูกโตๆ นะ”
“จ้า...จะแถมให้หลายๆ ลูกเลย” เสียงหัวเราะดังขึ้นระหว่างคนขายเหมือนกัน ความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างใครก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาฝ่ายไหน แต่ทำไมทุกคนกลับอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องมีบอดี้การ์ดที่ไหนคอยตามติด ผลสุดท้ายแล้ว...ความสุขของคนมันอยู่ที่ไหนกันนะ?
อัญญามองภาพชีวิตที่อาจจะธรรมดา แต่มันกลับสะท้อนให้ลูกเจ้าพ่ออย่างหล่อนได้ทบทวน ตั้งแต่เกิดมามีใครที่หล่อนจะคุยได้แบบสนิทใจอย่างภาพเบื้องหน้าบ้าง นอกจากป้านวลแล้วก็ไม่เห็นมีใคร มีแต่ชายชุดดำ ที่แรกเริ่มเดิมทีหล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเขาทำไมต้องตามติดไปทุกที่ และถึงแม้พวกเขาจะดีกับหล่อนปางตายอย่างไร หากนั่นก็ลูกน้องของพ่อ เขาทำตามหน้าที่เท่านั้น แม้แต่ญาติมิตรสหายร่วมสายเลือด หล่อนก็ยังนึกไม่ออกว่าอยู่ที่ไหน