
ส่วนตัวผมมองว่า หากจะดูว่าคนๆนั้นเป็นคนที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ การใช้อุปกรณ์ต่างๆในการดำเินินชีวิตประจำวันจะเป็นตัวสะท้อนถึง ค่านิยม กระบวนการคิด วีธีแก้ปัญหา การสร้างสรรค์ หรือเรื่องอื่นๆที่แสดงถึงประสิทธิภาพในชีวิตของเขาได้เป็นอย่างดี
ผมก็มองต่อไปว่า แล้วถ้าหากเรามองที่โทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทุกคนใช้เสมือนเป็นปัจจัยที่ 5 ไปแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า "ธาตุแท้" ของคนๆนั้น
เพราะในปัจจุบันมือถือเป็นอุปกรณ์ที่กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ไปแล้ว มันมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสื่อสารหรือการติดต่อธุรกิจในชีวิตประจำวัน
แต่เชื่อหรือไม่ เมื่อผมได้ถามหลายคนส่วนใหญ่ที่ได้พบเจอ มากกว่า 80% ใช้มือถืออย่างฟุ่มเฟือยไม่เกิดประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อมือถือตามแฟชั่น ซื้อตามรูปลักษณ์ ซื้อเพราะเทคโนโลยีใหม่ ซื้อเพราะเบื่อของเดิม
ทั้งที่ความจริงไม่เคยใช้อย่างเต็มศักยภาพ
ผมมองว่า เรื่องนี้มันสะท้อนศักยภาพส่วนบุคคลได้อย่างแท้จริงเลยว่า กระทั่งเครื่องมือที่ใช้เป็นปัจจัยหลักในการดำเินินชีวิต ได้ทำความรู้จักมันเพียงพอหรือยัง รู้จักประสิทธิภาพจริงๆของมันหรือยัง และได้ใช้มันเต็มประสิทธิภาพหรือเปล่า
แล้วหากกระทั่งเครื่องมือในการดำรงชีวิตที่สำคัญยังไม่สามารถใช้งานมันได้อย่างเต็มที่ แล้วนับประสาอะไรกับเครื่องมือขององค์การหรือวิธีการในการทำงานใหม่ที่จะสร้าง productivity ในยุคสมึยนี้คงไม่รู้จักหรือรู้จักก็คงใช้งานได้ไม่เต็มที่อย่างแน่นอน
หรือหากจะมีคนให้เหตุผลแย้งว่า ก็มันเป็นความพึงพอใจส่วนตัว มีเงินเหลือเก็บอยากใช้ฟุ่มเฟือยตามอารมณ์บ้างไม่น่าจะเป็นปัญหา
ใ่ช่ครับ ก็ถูกหากให้เหตุผลอย่างนั้น แต่ผมอยากให้มองมุมกลับอีกด้านหนึ่ง ถามว่ามีคนสักกี่คนที่ใช้มือถืออย่างฟุ่มเฟือย แล้วตัวเองมีเงินเหลือใช้อีกมากมาย กระทั่งแก่ตายก็ยังเหลืออีกนับไม่ถ้วนให้คนในครอบครัวได้ใช้ต่อได้อย่างสบายๆ
คำตอบที่ผมคิดว่าจะได้รับแน่ๆ คือคนที่ใช้มือถือฟุ่มเฟือยกว่าครึ่ง ก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะมีเงินเพียงพออยู่สุขสบายจนกว่าจะแก่ตาย
แล้วมันคืออะไร ?
เงินของคุณเองที่เป็นเงินสำคัญต้องเก็บไว้เผื่ออนาคต คุณยังไม่เก็บ....... ไม่รักษา........ ไม่ใช่อย่างประหยัด (เกิดประสิทธิภาพ)
แล้วทรัพยากรขององค์กรหรือบริษัทที่ไม่ใช่ของคุณ แล้วไปอยู่ในมือคุณมันจะเป็นอย่างไง..........
นั่นคือเป็นสาเหตุที่ผมถามเรื่องนี้กับผู้สมัครที่ได้สัมภาษณ์งานครับ
แล้วในมุมมองของท่านคิดว่าอย่างไรครับ ?
หมายเหตุ
- น้ำหนักของคำถามนี้ของผมประมาณ 5-10% ของการสัมภาษณ์
- ผมไม่ได้ใช้คำถามนี้ในทุกครั้งที่สัมภาษณ์ ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส
- หากผมได้สัมภาษณ์กับคนที่มีอาชีพเสริมเกี่ยวกับการซื้อขายมือถือมือสอง ผมจะไม่ถามคำถามนี้ อันเนื่องจากการซื้อขายมือถือของเขาเป็นธุรกิจ ไม่ใช่ซื้อเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน
เมื่อผมถามผู้สมัครงานว่า คุณใช้มือถือแบรนด์ไหน รุ่นอะไร แล้วมันเกี่ยวกับสัมภาษณ์งานตรงไหน
ส่วนตัวผมมองว่า หากจะดูว่าคนๆนั้นเป็นคนที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ การใช้อุปกรณ์ต่างๆในการดำเินินชีวิตประจำวันจะเป็นตัวสะท้อนถึง ค่านิยม กระบวนการคิด วีธีแก้ปัญหา การสร้างสรรค์ หรือเรื่องอื่นๆที่แสดงถึงประสิทธิภาพในชีวิตของเขาได้เป็นอย่างดี
ผมก็มองต่อไปว่า แล้วถ้าหากเรามองที่โทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทุกคนใช้เสมือนเป็นปัจจัยที่ 5 ไปแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า "ธาตุแท้" ของคนๆนั้น
เพราะในปัจจุบันมือถือเป็นอุปกรณ์ที่กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ไปแล้ว มันมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสื่อสารหรือการติดต่อธุรกิจในชีวิตประจำวัน
แต่เชื่อหรือไม่ เมื่อผมได้ถามหลายคนส่วนใหญ่ที่ได้พบเจอ มากกว่า 80% ใช้มือถืออย่างฟุ่มเฟือยไม่เกิดประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อมือถือตามแฟชั่น ซื้อตามรูปลักษณ์ ซื้อเพราะเทคโนโลยีใหม่ ซื้อเพราะเบื่อของเดิม
ทั้งที่ความจริงไม่เคยใช้อย่างเต็มศักยภาพ
ผมมองว่า เรื่องนี้มันสะท้อนศักยภาพส่วนบุคคลได้อย่างแท้จริงเลยว่า กระทั่งเครื่องมือที่ใช้เป็นปัจจัยหลักในการดำเินินชีวิต ได้ทำความรู้จักมันเพียงพอหรือยัง รู้จักประสิทธิภาพจริงๆของมันหรือยัง และได้ใช้มันเต็มประสิทธิภาพหรือเปล่า
แล้วหากกระทั่งเครื่องมือในการดำรงชีวิตที่สำคัญยังไม่สามารถใช้งานมันได้อย่างเต็มที่ แล้วนับประสาอะไรกับเครื่องมือขององค์การหรือวิธีการในการทำงานใหม่ที่จะสร้าง productivity ในยุคสมึยนี้คงไม่รู้จักหรือรู้จักก็คงใช้งานได้ไม่เต็มที่อย่างแน่นอน
หรือหากจะมีคนให้เหตุผลแย้งว่า ก็มันเป็นความพึงพอใจส่วนตัว มีเงินเหลือเก็บอยากใช้ฟุ่มเฟือยตามอารมณ์บ้างไม่น่าจะเป็นปัญหา
ใ่ช่ครับ ก็ถูกหากให้เหตุผลอย่างนั้น แต่ผมอยากให้มองมุมกลับอีกด้านหนึ่ง ถามว่ามีคนสักกี่คนที่ใช้มือถืออย่างฟุ่มเฟือย แล้วตัวเองมีเงินเหลือใช้อีกมากมาย กระทั่งแก่ตายก็ยังเหลืออีกนับไม่ถ้วนให้คนในครอบครัวได้ใช้ต่อได้อย่างสบายๆ
คำตอบที่ผมคิดว่าจะได้รับแน่ๆ คือคนที่ใช้มือถือฟุ่มเฟือยกว่าครึ่ง ก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะมีเงินเพียงพออยู่สุขสบายจนกว่าจะแก่ตาย
แล้วมันคืออะไร ?
เงินของคุณเองที่เป็นเงินสำคัญต้องเก็บไว้เผื่ออนาคต คุณยังไม่เก็บ....... ไม่รักษา........ ไม่ใช่อย่างประหยัด (เกิดประสิทธิภาพ)
แล้วทรัพยากรขององค์กรหรือบริษัทที่ไม่ใช่ของคุณ แล้วไปอยู่ในมือคุณมันจะเป็นอย่างไง..........
นั่นคือเป็นสาเหตุที่ผมถามเรื่องนี้กับผู้สมัครที่ได้สัมภาษณ์งานครับ
แล้วในมุมมองของท่านคิดว่าอย่างไรครับ ?
หมายเหตุ
- น้ำหนักของคำถามนี้ของผมประมาณ 5-10% ของการสัมภาษณ์
- ผมไม่ได้ใช้คำถามนี้ในทุกครั้งที่สัมภาษณ์ ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส
- หากผมได้สัมภาษณ์กับคนที่มีอาชีพเสริมเกี่ยวกับการซื้อขายมือถือมือสอง ผมจะไม่ถามคำถามนี้ อันเนื่องจากการซื้อขายมือถือของเขาเป็นธุรกิจ ไม่ใช่ซื้อเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน