เมื่อบ้านคือวิมาน... ที่พังพินาศ
สืบต้นตระกูล ผมเป็นเด็กใต้ ที่พ่อกับแม่แต่งงานกันที่กรุงเทพ และเกิดกรุงเทพ อยู่กรุงเทพมาเกือบทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเรียนหรือทำงาน
เคยมีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยน ดูงาน ทัศนศึกษาต่างประเทศ-ต่างจังหวัด ฯลฯ นานแค่ไหนก็ไม่เคยเกิน 1 เดือน ตอนบวชก็ประมาณเดือนเดียวเช่นกัน ผมรักบ้านหลังนี้ เพราะเป็นที่ๆ ผมเติบโตมา ถึงจะอยู่ตั้งแต่จำความได้ แต่บ้านก็คือ "วิมาน" ที่พร้อมจะให้พักพิง ไม่ว่าจะยามเหนื่อยล้า ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลัง หรือแม้แต่อยากตาย... จากความเครียดที่เคยก่อตัวขึ้นหลายครั้ง จากการเรียน อุปสรรคด้านสุขภาพ หรือความรักที่ไม่สมหวัง (ขอโทษ... มันดูงี่เง่า แต่มันคือเรื่องจริงที่ผมไม่อายที่จะพูด เพราะอย่างน้อยตอนนี้ผมก็ยังไม่ตายและสุขสบายดี) เมื่อกลับมาที่บ้าน พ่อ-แม่ เครื่องดนตรี หนังสือ อินเตอร์เน็ต และสวน คือต้นกำเนิดพลังแห่งชีวิตและจิตใจที่พร้อมจะฟื้นฟูให้กลับไปพร้อมเผชิญทุกปัญหา
กันยายน-ตุลาคม 2554
ข่าวคราวน้ำท่วมที่กินพื้นที่จังหวัดภาคกลาง และดูจะกินแดนกว้างขวางกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยรับรู้มาในชีวิต ทำให้แม่ของผมเริ่มวิตกกังวล เราเริ่มเก็บของบางส่วนขึ้นบ้าน พร้อมความชะล่าใจเล็กน้อยว่า "มันคงไม่หนักหนาสาหัส" ทั้งเราก็อยู่ใน "กรุงเทพ" ที่น่าจะได้รับการปกป้องระดับหนึ่ง แต่เราลืมไปว่า "เรามันชานเมือง" และ "นอกบิ๊กแบ็ก" เพราะบ้านของผมอยู่เหนือสนามบินดอนเมืองขึ้นไปเกือบสามกิโลเมตร
ระดับน้ำค่อยๆ เพิ่มขึ้น ผุดจากท่อ ลามมาบนถนน ในคืนวันที่ 22 ตุลาคม 2554 ตอนเช้าผมนั่งทานกาแฟแบบเครียดๆ กับประธานหมู่บ้านคนใหม่ ว่าหมู่บ้านเราไม่น่าจะรอดแล้วนะ เราน่าจะเริ่มย้ายหรือทำอย่างไรกันดี เพราะเจ้าของหมู่บ้านเอากระสอบทรายมากั้น แต่สุดท้ายเราได้รับการหักหลังขั้นรุนแรงคือ พอตอนสาย กระสอบทรายเหล่านั้น กลับถูกยกไปกั้น "หมู่บ้านสร้างใหม่ข้างๆ ที่ขายโครงการไม่หมด" มิคสัญญีจึงบังเกิด ณ บัดนี้
11:00 ของวันที่ 23 ตุลาคม 2554
ด้วยความเหนื่อยอ่อนและป่วยมาหลายวัน ผมลุกขึ้นจากเตียงหลังจากเก็บข้าวของสำคัญ เช่น เอกสารราชการ ประวัติการศึกษา ขึ้นบ้านจนหมด แต่ก็ยังเหลือของหนักๆ ที่ยกขึ้นบ้านไม่ไหว คือเปียโน ตู้หนังสือเก่า และโต๊ะคอมพิวเตอร์ (บนบ้านเต็มหมดทุกส่วนแล้ว) น้ำเริ่มท่วมชานหน้าบ้าน และกำลังจะเข้าบ้านในอีกไม่กี่ชั่วโมงแน่นอน...
15:00 ของวันที่ 23 ตุลาคม 2554
ผมต้องระเห็จออกจากบ้านในสภาพผู้อพยพลี้ภัย ด้วยระดับน้ำในหมู่บ้านสูงจนเป็นอันตรายต่อกระแสไฟฟ้าช็อต รถลุงที่มาช่วยชีวิตแทบจะไหลไปตามน้ำบนถนน ผมขนของหนีออกมากับแม่ได้แค่ไม่กี่อย่าง สมบัติพัสถานมหาศาลในชั้นล่าง

วอดวายหมดไปรวมๆ เกือบสามแสนบาท ไม่รวมเปียโนและรถ
"ผู้ช่วยชีวิต" ของผม รถแทบจะตายกลางทาง เป็น Cameo สภาพเดิมๆ มารับที่กลางหมู่บ้าน... "ฮีโร่" ที่ผมจะสำนึกพระคุณไปตลอดชีวิต ทั้งที่เขาเป็นเพียงรุ่นพี่ของพ่อที่ที่ทำงาน เขารับผมไปแวะซื้อเสบียงตุนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และไปรอคุณพ่อของผมมารับที่หมู่บ้านแถวเกษตรนวมินทร์...
ผมมารู้ทีหลังด้วยความทึ่งสุดกำลัง คงเพราะบุญที่ท่านสั่งสมมาโดยเฉพาะที่ช่วยเหลือผม น้ำล้อมรอบบ้านท่าน "ผู้ช่วยชีวิต" ในที่สุด แต่ไม่เข้าตัวบ้านเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่รอบเกษตรท่วมสูงถึง 70-80 ซม.
19:00 ของวันที่ 23 ตุลาคม 2554
การรอนแรมเป็นผู้อพยพครั้งสำคัญได้เริ่มขึ้น คุณพ่อที่ทราบข่าวและเชื่อว่าต้องมารับพวกเราแน่นอน ตีรถมารับจากโคราชแต่บ่าย แวะรับผมแล้วฝ่าดงการจราจรขึ้นไปเส้นวังน้ำเขียว ถึงบ้านพักที่ อ.สีคิ้ว เกือบตีสาม ระยะทางเพียงไม่ถึง 300 กิโลเมตรเท่านั้น...
....
24 ตุลาคม 2554 - 9 ธันวาคม 2554
เป็นหนึ่งเดือนครึ่งที่ยาวนาน ที่นานจนผมต้องจากลากับคนที่กำลังดูใจกันอยู่หนึ่งคนอย่างไม่คาดฝัน และทำให้ผมค้นพบคนที่ผมรักอีกหนึ่งคนอย่างเหลือเชื่อ... แม้ตอนนี้เธอคนนั้นจะเป็นแค่คนที่เคยรักก็ตาม แต่ความเป็นเพื่อนของเราก็น่าจะยังคงอยู่... โชคชะตานั้นเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ มันแปรเปลี่ยนเวียนผันเข้ามาจนคุณอาจจะคาดไม่ถึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ในวันหนึ่ง คุณเพียงรับรู้เล็กน้อยว่าคนหนึ่งคน กำลังเริ่มก่อเกิดความรู้สึกที่ไม่ธรรมดากับคนอีกหนึ่งคน
และในอีกวันถัดมาคุณอาจจะไม่เคยรับรู้ว่า คนหนึ่งคน กำลังฝืนความรู้สึกที่เจ็บปวดเพราะการกระทำของคนอีกหนึ่งคน
นี่แหละชีวิต.
นั่นก็เป็นเพียงความฝันและวันวาน ความจริงก็คือ บ้านผมน้ำท่วม... และมันยังท่วมอยู่
ระหว่างนั้น วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า การเยียวยาความรู้สึกโดยเฉพาะคุณแม่ผมที่ค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพจิตใจเป็นปกติ หลังจากประสบภาวะเครียดมาเป็นเวลานานก่อนน้ำท่วม... ผมก็ได้แต่คิดว่า ผมยังโชคดีกว่าคนหลายคนที่ไม่ได้มีโอกาสมานั่งพิมพ์เล่าเรื่องแบบนี้ตอนนี้ อย่างเพื่อนสนิทของพ่อผมท่านหนึ่ง ก็ถูกไฟฟ้าช็อตเสียชีวิตเพราะออกไปปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย คนก็คือหนึ่งชีวิต สัตว์ก็คือหนึ่งชีวิต เท่าเทียมกัน แต่ที่น่าแปลก ลองคิดตาม: หมาหนึ่งตัว... ที่เราผูกพันและรัก เราย่อมจะรู้สึกว่ามันมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าคนหนึ่งคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลย จริงไหม?
นั่นก็เป็นเรื่องเดียวกัน ช่วงนั้นผมได้มีโอกาสช่วยงานอาจารย์ญี่ปุ่นที่เป็นนักธรรมชาติวิทยาท่านหนึ่ง แม้เราจะสื่อสารกันแทบไม่รู้เรื่อง แต่ผมเองเป็นคนที่มีสัมผัสแปลกๆ และเหมือนจะรับรู้ได้ว่าเขามีเจตนาหรือความในใจที่อยากสื่อสารอะไรบ้าง
ตอนที่เขาเมา เขาบอกผมแบบนี้ เป็นภาษาอังกฤษนะ ขอแปลเป็นไทยแบบพอเข้าใจละกันครับ
"ที่ผมศึกษาเรื่องปลวกน่ะ ที่จริงมันก็คือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่เกื้อกูลธรรมชาติ มีประโยชน์ต่อทั้งสภาพแวดล้อมและห่วงโซ่อาหาร ปลวกตัวเล็กๆ สร้างรังใหญ่ๆ มีชั้น มีวรรณะ ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันก็ส่งผลต่อภาวะเรือนกระจกได้เหมือนกัน นั่นแหละที่ผมต้องศึกษามัน เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่ดูไม่สำคัญ แต่ที่จริงเราแค่หลงลืมไปหรือเปล่าว่ามันก็มีค่าและมีตัวตน"
แล้วเขาก็หันไป คัมปาย... ซกก้า... ยกซด แล้วก็โผเผกลับไปนอน นั่นเป็นย่อหน้าสนทนาที่ยาวที่สุดตั้งแต่ผมเจอกับเขา อาจไม่เป็นปรัชญาใดๆ เพราะเป็นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ แต่ ณ วันนั้น ผมจึงเข้าใจว่า "การกระทำของเรา แม้จะเล็ก แต่ก็มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโลกนะ"
คนญี่ปุ่นเป็นอะไรที่ค่อนข้างเข้าใจยาก สุภาพ เป็นระเบียบ กินเหล้าเก่ง ตื่นเช้า และหัวดำเหมือนเรา ก็แค่นั้นแหละ
หลังจากนั้น ด้วยที่ทำงานที่จ้างผมตอนนั้นรอจ่ายเงินเดือนรวบยอด ผมก็อยู่ในสภาวะ "ถังแตก" และนั่งคิดว่า เรายังโชคดีหรือเปล่าที่มีบ้านให้อยู่ พ่อแม่ยังอยู่ และยัง "เหลือ" อะไรอีกมาก ที่เสียไปก็ใช่จะไม่สลักสำคัญ แต่เรายังไม่ตายก็หาใหม่ได้...
9 ธันวาคม 2554
หนึ่งเดือนครึ่งถัดมา ผมกลับมาที่บ้าน พบกับความพินาศของบ้าน... ในภาพที่เห็นคือสิ่งที่เคยเป็นต้นลีลาวดีดอกสามสี สวนที่กลายเป็นปลักควาย... บ้านที่กลายเป็นรังปลวกและขยะน้ำเน่ากองพะเนิน
ด้วยวิกฤติการณ์ครั้งนั้น บ้านของผมต้องปรับปรุงใหม่เป็นยอดเงินกว่าเจ็ดแสนบาท รถก็ใช้การไม่ได้ คืนทุนประกันมาแค่หนึ่งแสนสองหมื่นบาท ไหนจะสวนที่เคยเป็นสวน จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำให้เสร็จ เปียโนก็ยังไม่ได้ซ่อม ฯลฯ หนังสือเรียน เท็กซ์ โน้ต โต๊ะคอม เครื่องครัว ตู้หนังสือและทีวี พังเละไม่เหลือซาก...
แต่ผมก็ยังไม่ตาย
2 ปีที่ผ่านมา ผมก็ยังคงหวาดผวาเวลาขับรถลุยน้ำอยู่... แต่ผมก็ยังไม่ตาย
และที่สำคัญกว่านั้น...
1 เดือนครึ่งที่ชีวิตกลายเป็นยิปซี ทำให้ผมเข้าใจสัจธรรมมากขึ้น ได้พบคนแปลกๆ ที่เป็นกำไรชีวิต ได้พบและลาจากผู้คนอีกมากมาย
2 เดือนหลังน้ำแห้ง ที่รับรู้แบบช็อกๆ ว่าผมจะไม่ได้ค่าจ้างชดเชยจนกว่างานที่จ้างจะเสร็จ (ฉันเป็นจ้างเหมาบริการรึ?) ทำให้ผมเริ่มศึกษาธาตุแท้ผู้คนมากขึ้น แต่ผมก็ยังพลาดที่อ่านใจคนไม่ออก และไม่เคยรู้เลยจนกระทั่งเจอ "หอกข้างแคร่" ที่สำคัญรายหนึ่งจนตาสว่าง
4 เดือนหลังน้ำแห้ง ผมยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านคุณยายแถววงศ์สว่าง ซึ่งโชคดีมากที่น้ำไม่ท่วม บ้านหลังนี้ผมเคยอยู่ตั้งแต่เกิดจนพ่อแม่ซื้อบ้านหลังที่น้ำท่วมนั่นล่ะ ทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า... เราหลงลืมคนสำคัญไปไหม ตายายก็อยู่แค่ 30 กิโลเมตรจากบ้าน แต่เราแทบไม่ได้ใส่ใจท่านเลย...
5 เดือนหลังน้ำแห้ง ผมได้งานที่ใหม่ ที่ๆ ทำในปัจจุบันนี่เอง และต้องเจอสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปมากมาย สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีและยังคงอยู่ที่นี่ได้จนบัดนี้ก็คือ "ผมมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกมาก" และไม่ได้รู้สึกลังเลที่จะต้องทำดีหรือช่วยเหลือผู้อื่น
อาทิตย์แรกที่ได้งานที่ใหม่ "ยายผมเสีย" ยายคือคนที่เลี้ยงผมมากับมือตอนเด็กๆ ยอม Early Retire ออกมาเลย แต่มีเรื่องตลกอยู่เรื่องหนึ่งคือ ยายที่สุขภาพไม่ค่อยดีตั้งแต่สาวๆ ต้องเลือกว่าจะรับบำเหน็จหรือบำนาญ ยายเลือกรับบำเหน็จเพราะคิดว่าจะอยู่ไม่นาน แต่สุดท้ายยายก็เสียตอนอายุเกือบ 84
ผมไม่ได้บอกใครที่ทำงานใหม่ (ที่เพิ่งทำมาสามวัน) และยังทำตัวเป็นปกติ น่าแปลกที่ผมโชคดีมาก วิ่งจากเกษตรไปบางพลัดตอนเลิกงาน ใจหมายว่า 20 นาทีต้องถึง ก็ถึง ตั้งใจจะได้พบใคร ก็ได้พบ ตั้งใจที่จะไม่เจอใคร ก็งดเว้นเสียไม่ต้องเจอ...
เพราะใจเราคิดดีหรือไม่?
จากวันนั้น หลังเหตุการณ์ต่างๆ นาๆ ทำให้ผมเห็นใจผู้ประสบภัยทุกประเภทบนประเทศแห่งนี้ ประเทศที่คุณจะไม่มีวันได้รับรู้ความจริงว่าภยันตรายอยู่รอบตัว ไม่รู้ความเป็นจริงว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย และไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของพวกคุณจะเสียใจสักเพียงใดที่ลูกหลานของพวกท่านไม่สามัคคีกัน!
จงเห็นใจและเมตตาเพื่อนมนุษย์ จงทำดีให้คนอื่นเท่าที่แรงจะทำไหว เท่าที่กายจะไม่แตกสลาย เท่าที่คุณจะไม่หมดสิ้นหนทาง เพราะคุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เสี้ยววินาทีต่อไปข้างหน้า คนที่คุณรักและใส่ใจจะคงอยู่ให้เราทำความดีให้อีกหืรอไม่
เพราะคนรักของท่านที่กำลังโกรธกันและไม่ได้คืนดี อาจจะจากไปแบบปัจจุบันทันด่วน ทั้งจากเป็นหรือจากตาย
เพราะบิดามารดาของท่าน ที่ชราภาพลงทุกวัน อาจจะจากไปโดยไม่ทันเตรียมตัวและเตรียมใจ... ก่อนหน้าวันนั้นถ้าทะเลาะกันคงเสียใจไหม?
เพราะเพื่อนสนิท เพื่อนรัก เพื่อนร่วมงาน ที่กินแหนงแคลงใจ... อาจจะไม่ได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกันจนวันตาย... ทั้งที่เป็นเรื่องเล็กน้อย
ทำความดีให้กันนะครับ... จะได้ไม่ต้องเสียใจ
"เพราะการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สลักสำคัญของท่าน... มีผลต่อโลกแน่นอน เชื่อผมสิ"
แท็กห้องรัชดา: เพราะรถผมน้ำท่วม
แท็กห้องชายคา: เพราะบ้านผมน้ำท่วม
แท็กห้องภูมิภาค: เพราะบ้านผมอยู่ กทม. ครับ
จากวันนั้นถึงวันนี้ ครบ 2 ปี ... วันที่ผมต้องจากบ้านไปนานที่สุดในชีวิต
สืบต้นตระกูล ผมเป็นเด็กใต้ ที่พ่อกับแม่แต่งงานกันที่กรุงเทพ และเกิดกรุงเทพ อยู่กรุงเทพมาเกือบทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเรียนหรือทำงาน
เคยมีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยน ดูงาน ทัศนศึกษาต่างประเทศ-ต่างจังหวัด ฯลฯ นานแค่ไหนก็ไม่เคยเกิน 1 เดือน ตอนบวชก็ประมาณเดือนเดียวเช่นกัน ผมรักบ้านหลังนี้ เพราะเป็นที่ๆ ผมเติบโตมา ถึงจะอยู่ตั้งแต่จำความได้ แต่บ้านก็คือ "วิมาน" ที่พร้อมจะให้พักพิง ไม่ว่าจะยามเหนื่อยล้า ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลัง หรือแม้แต่อยากตาย... จากความเครียดที่เคยก่อตัวขึ้นหลายครั้ง จากการเรียน อุปสรรคด้านสุขภาพ หรือความรักที่ไม่สมหวัง (ขอโทษ... มันดูงี่เง่า แต่มันคือเรื่องจริงที่ผมไม่อายที่จะพูด เพราะอย่างน้อยตอนนี้ผมก็ยังไม่ตายและสุขสบายดี) เมื่อกลับมาที่บ้าน พ่อ-แม่ เครื่องดนตรี หนังสือ อินเตอร์เน็ต และสวน คือต้นกำเนิดพลังแห่งชีวิตและจิตใจที่พร้อมจะฟื้นฟูให้กลับไปพร้อมเผชิญทุกปัญหา
กันยายน-ตุลาคม 2554
ข่าวคราวน้ำท่วมที่กินพื้นที่จังหวัดภาคกลาง และดูจะกินแดนกว้างขวางกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยรับรู้มาในชีวิต ทำให้แม่ของผมเริ่มวิตกกังวล เราเริ่มเก็บของบางส่วนขึ้นบ้าน พร้อมความชะล่าใจเล็กน้อยว่า "มันคงไม่หนักหนาสาหัส" ทั้งเราก็อยู่ใน "กรุงเทพ" ที่น่าจะได้รับการปกป้องระดับหนึ่ง แต่เราลืมไปว่า "เรามันชานเมือง" และ "นอกบิ๊กแบ็ก" เพราะบ้านของผมอยู่เหนือสนามบินดอนเมืองขึ้นไปเกือบสามกิโลเมตร
ระดับน้ำค่อยๆ เพิ่มขึ้น ผุดจากท่อ ลามมาบนถนน ในคืนวันที่ 22 ตุลาคม 2554 ตอนเช้าผมนั่งทานกาแฟแบบเครียดๆ กับประธานหมู่บ้านคนใหม่ ว่าหมู่บ้านเราไม่น่าจะรอดแล้วนะ เราน่าจะเริ่มย้ายหรือทำอย่างไรกันดี เพราะเจ้าของหมู่บ้านเอากระสอบทรายมากั้น แต่สุดท้ายเราได้รับการหักหลังขั้นรุนแรงคือ พอตอนสาย กระสอบทรายเหล่านั้น กลับถูกยกไปกั้น "หมู่บ้านสร้างใหม่ข้างๆ ที่ขายโครงการไม่หมด" มิคสัญญีจึงบังเกิด ณ บัดนี้
11:00 ของวันที่ 23 ตุลาคม 2554
ด้วยความเหนื่อยอ่อนและป่วยมาหลายวัน ผมลุกขึ้นจากเตียงหลังจากเก็บข้าวของสำคัญ เช่น เอกสารราชการ ประวัติการศึกษา ขึ้นบ้านจนหมด แต่ก็ยังเหลือของหนักๆ ที่ยกขึ้นบ้านไม่ไหว คือเปียโน ตู้หนังสือเก่า และโต๊ะคอมพิวเตอร์ (บนบ้านเต็มหมดทุกส่วนแล้ว) น้ำเริ่มท่วมชานหน้าบ้าน และกำลังจะเข้าบ้านในอีกไม่กี่ชั่วโมงแน่นอน...
15:00 ของวันที่ 23 ตุลาคม 2554
ผมต้องระเห็จออกจากบ้านในสภาพผู้อพยพลี้ภัย ด้วยระดับน้ำในหมู่บ้านสูงจนเป็นอันตรายต่อกระแสไฟฟ้าช็อต รถลุงที่มาช่วยชีวิตแทบจะไหลไปตามน้ำบนถนน ผมขนของหนีออกมากับแม่ได้แค่ไม่กี่อย่าง สมบัติพัสถานมหาศาลในชั้นล่าง
"ผู้ช่วยชีวิต" ของผม รถแทบจะตายกลางทาง เป็น Cameo สภาพเดิมๆ มารับที่กลางหมู่บ้าน... "ฮีโร่" ที่ผมจะสำนึกพระคุณไปตลอดชีวิต ทั้งที่เขาเป็นเพียงรุ่นพี่ของพ่อที่ที่ทำงาน เขารับผมไปแวะซื้อเสบียงตุนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และไปรอคุณพ่อของผมมารับที่หมู่บ้านแถวเกษตรนวมินทร์...
ผมมารู้ทีหลังด้วยความทึ่งสุดกำลัง คงเพราะบุญที่ท่านสั่งสมมาโดยเฉพาะที่ช่วยเหลือผม น้ำล้อมรอบบ้านท่าน "ผู้ช่วยชีวิต" ในที่สุด แต่ไม่เข้าตัวบ้านเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่รอบเกษตรท่วมสูงถึง 70-80 ซม.
19:00 ของวันที่ 23 ตุลาคม 2554
การรอนแรมเป็นผู้อพยพครั้งสำคัญได้เริ่มขึ้น คุณพ่อที่ทราบข่าวและเชื่อว่าต้องมารับพวกเราแน่นอน ตีรถมารับจากโคราชแต่บ่าย แวะรับผมแล้วฝ่าดงการจราจรขึ้นไปเส้นวังน้ำเขียว ถึงบ้านพักที่ อ.สีคิ้ว เกือบตีสาม ระยะทางเพียงไม่ถึง 300 กิโลเมตรเท่านั้น...
....
24 ตุลาคม 2554 - 9 ธันวาคม 2554
เป็นหนึ่งเดือนครึ่งที่ยาวนาน ที่นานจนผมต้องจากลากับคนที่กำลังดูใจกันอยู่หนึ่งคนอย่างไม่คาดฝัน และทำให้ผมค้นพบคนที่ผมรักอีกหนึ่งคนอย่างเหลือเชื่อ... แม้ตอนนี้เธอคนนั้นจะเป็นแค่คนที่เคยรักก็ตาม แต่ความเป็นเพื่อนของเราก็น่าจะยังคงอยู่... โชคชะตานั้นเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ มันแปรเปลี่ยนเวียนผันเข้ามาจนคุณอาจจะคาดไม่ถึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นั่นก็เป็นเพียงความฝันและวันวาน ความจริงก็คือ บ้านผมน้ำท่วม... และมันยังท่วมอยู่
ระหว่างนั้น วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า การเยียวยาความรู้สึกโดยเฉพาะคุณแม่ผมที่ค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพจิตใจเป็นปกติ หลังจากประสบภาวะเครียดมาเป็นเวลานานก่อนน้ำท่วม... ผมก็ได้แต่คิดว่า ผมยังโชคดีกว่าคนหลายคนที่ไม่ได้มีโอกาสมานั่งพิมพ์เล่าเรื่องแบบนี้ตอนนี้ อย่างเพื่อนสนิทของพ่อผมท่านหนึ่ง ก็ถูกไฟฟ้าช็อตเสียชีวิตเพราะออกไปปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย คนก็คือหนึ่งชีวิต สัตว์ก็คือหนึ่งชีวิต เท่าเทียมกัน แต่ที่น่าแปลก ลองคิดตาม: หมาหนึ่งตัว... ที่เราผูกพันและรัก เราย่อมจะรู้สึกว่ามันมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าคนหนึ่งคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลย จริงไหม?
นั่นก็เป็นเรื่องเดียวกัน ช่วงนั้นผมได้มีโอกาสช่วยงานอาจารย์ญี่ปุ่นที่เป็นนักธรรมชาติวิทยาท่านหนึ่ง แม้เราจะสื่อสารกันแทบไม่รู้เรื่อง แต่ผมเองเป็นคนที่มีสัมผัสแปลกๆ และเหมือนจะรับรู้ได้ว่าเขามีเจตนาหรือความในใจที่อยากสื่อสารอะไรบ้าง
ตอนที่เขาเมา เขาบอกผมแบบนี้ เป็นภาษาอังกฤษนะ ขอแปลเป็นไทยแบบพอเข้าใจละกันครับ
"ที่ผมศึกษาเรื่องปลวกน่ะ ที่จริงมันก็คือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่เกื้อกูลธรรมชาติ มีประโยชน์ต่อทั้งสภาพแวดล้อมและห่วงโซ่อาหาร ปลวกตัวเล็กๆ สร้างรังใหญ่ๆ มีชั้น มีวรรณะ ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันก็ส่งผลต่อภาวะเรือนกระจกได้เหมือนกัน นั่นแหละที่ผมต้องศึกษามัน เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่ดูไม่สำคัญ แต่ที่จริงเราแค่หลงลืมไปหรือเปล่าว่ามันก็มีค่าและมีตัวตน"
แล้วเขาก็หันไป คัมปาย... ซกก้า... ยกซด แล้วก็โผเผกลับไปนอน นั่นเป็นย่อหน้าสนทนาที่ยาวที่สุดตั้งแต่ผมเจอกับเขา อาจไม่เป็นปรัชญาใดๆ เพราะเป็นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ แต่ ณ วันนั้น ผมจึงเข้าใจว่า "การกระทำของเรา แม้จะเล็ก แต่ก็มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโลกนะ"
คนญี่ปุ่นเป็นอะไรที่ค่อนข้างเข้าใจยาก สุภาพ เป็นระเบียบ กินเหล้าเก่ง ตื่นเช้า และหัวดำเหมือนเรา ก็แค่นั้นแหละ
หลังจากนั้น ด้วยที่ทำงานที่จ้างผมตอนนั้นรอจ่ายเงินเดือนรวบยอด ผมก็อยู่ในสภาวะ "ถังแตก" และนั่งคิดว่า เรายังโชคดีหรือเปล่าที่มีบ้านให้อยู่ พ่อแม่ยังอยู่ และยัง "เหลือ" อะไรอีกมาก ที่เสียไปก็ใช่จะไม่สลักสำคัญ แต่เรายังไม่ตายก็หาใหม่ได้...
9 ธันวาคม 2554
หนึ่งเดือนครึ่งถัดมา ผมกลับมาที่บ้าน พบกับความพินาศของบ้าน... ในภาพที่เห็นคือสิ่งที่เคยเป็นต้นลีลาวดีดอกสามสี สวนที่กลายเป็นปลักควาย... บ้านที่กลายเป็นรังปลวกและขยะน้ำเน่ากองพะเนิน
ด้วยวิกฤติการณ์ครั้งนั้น บ้านของผมต้องปรับปรุงใหม่เป็นยอดเงินกว่าเจ็ดแสนบาท รถก็ใช้การไม่ได้ คืนทุนประกันมาแค่หนึ่งแสนสองหมื่นบาท ไหนจะสวนที่เคยเป็นสวน จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำให้เสร็จ เปียโนก็ยังไม่ได้ซ่อม ฯลฯ หนังสือเรียน เท็กซ์ โน้ต โต๊ะคอม เครื่องครัว ตู้หนังสือและทีวี พังเละไม่เหลือซาก...
แต่ผมก็ยังไม่ตาย
2 ปีที่ผ่านมา ผมก็ยังคงหวาดผวาเวลาขับรถลุยน้ำอยู่... แต่ผมก็ยังไม่ตาย
และที่สำคัญกว่านั้น...
1 เดือนครึ่งที่ชีวิตกลายเป็นยิปซี ทำให้ผมเข้าใจสัจธรรมมากขึ้น ได้พบคนแปลกๆ ที่เป็นกำไรชีวิต ได้พบและลาจากผู้คนอีกมากมาย
2 เดือนหลังน้ำแห้ง ที่รับรู้แบบช็อกๆ ว่าผมจะไม่ได้ค่าจ้างชดเชยจนกว่างานที่จ้างจะเสร็จ (ฉันเป็นจ้างเหมาบริการรึ?) ทำให้ผมเริ่มศึกษาธาตุแท้ผู้คนมากขึ้น แต่ผมก็ยังพลาดที่อ่านใจคนไม่ออก และไม่เคยรู้เลยจนกระทั่งเจอ "หอกข้างแคร่" ที่สำคัญรายหนึ่งจนตาสว่าง
4 เดือนหลังน้ำแห้ง ผมยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านคุณยายแถววงศ์สว่าง ซึ่งโชคดีมากที่น้ำไม่ท่วม บ้านหลังนี้ผมเคยอยู่ตั้งแต่เกิดจนพ่อแม่ซื้อบ้านหลังที่น้ำท่วมนั่นล่ะ ทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า... เราหลงลืมคนสำคัญไปไหม ตายายก็อยู่แค่ 30 กิโลเมตรจากบ้าน แต่เราแทบไม่ได้ใส่ใจท่านเลย...
5 เดือนหลังน้ำแห้ง ผมได้งานที่ใหม่ ที่ๆ ทำในปัจจุบันนี่เอง และต้องเจอสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปมากมาย สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีและยังคงอยู่ที่นี่ได้จนบัดนี้ก็คือ "ผมมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกมาก" และไม่ได้รู้สึกลังเลที่จะต้องทำดีหรือช่วยเหลือผู้อื่น
อาทิตย์แรกที่ได้งานที่ใหม่ "ยายผมเสีย" ยายคือคนที่เลี้ยงผมมากับมือตอนเด็กๆ ยอม Early Retire ออกมาเลย แต่มีเรื่องตลกอยู่เรื่องหนึ่งคือ ยายที่สุขภาพไม่ค่อยดีตั้งแต่สาวๆ ต้องเลือกว่าจะรับบำเหน็จหรือบำนาญ ยายเลือกรับบำเหน็จเพราะคิดว่าจะอยู่ไม่นาน แต่สุดท้ายยายก็เสียตอนอายุเกือบ 84
ผมไม่ได้บอกใครที่ทำงานใหม่ (ที่เพิ่งทำมาสามวัน) และยังทำตัวเป็นปกติ น่าแปลกที่ผมโชคดีมาก วิ่งจากเกษตรไปบางพลัดตอนเลิกงาน ใจหมายว่า 20 นาทีต้องถึง ก็ถึง ตั้งใจจะได้พบใคร ก็ได้พบ ตั้งใจที่จะไม่เจอใคร ก็งดเว้นเสียไม่ต้องเจอ... เพราะใจเราคิดดีหรือไม่?
จากวันนั้น หลังเหตุการณ์ต่างๆ นาๆ ทำให้ผมเห็นใจผู้ประสบภัยทุกประเภทบนประเทศแห่งนี้ ประเทศที่คุณจะไม่มีวันได้รับรู้ความจริงว่าภยันตรายอยู่รอบตัว ไม่รู้ความเป็นจริงว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย และไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของพวกคุณจะเสียใจสักเพียงใดที่ลูกหลานของพวกท่านไม่สามัคคีกัน!
จงเห็นใจและเมตตาเพื่อนมนุษย์ จงทำดีให้คนอื่นเท่าที่แรงจะทำไหว เท่าที่กายจะไม่แตกสลาย เท่าที่คุณจะไม่หมดสิ้นหนทาง เพราะคุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เสี้ยววินาทีต่อไปข้างหน้า คนที่คุณรักและใส่ใจจะคงอยู่ให้เราทำความดีให้อีกหืรอไม่
เพราะคนรักของท่านที่กำลังโกรธกันและไม่ได้คืนดี อาจจะจากไปแบบปัจจุบันทันด่วน ทั้งจากเป็นหรือจากตาย
เพราะบิดามารดาของท่าน ที่ชราภาพลงทุกวัน อาจจะจากไปโดยไม่ทันเตรียมตัวและเตรียมใจ... ก่อนหน้าวันนั้นถ้าทะเลาะกันคงเสียใจไหม?
เพราะเพื่อนสนิท เพื่อนรัก เพื่อนร่วมงาน ที่กินแหนงแคลงใจ... อาจจะไม่ได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกันจนวันตาย... ทั้งที่เป็นเรื่องเล็กน้อย
ทำความดีให้กันนะครับ... จะได้ไม่ต้องเสียใจ "เพราะการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สลักสำคัญของท่าน... มีผลต่อโลกแน่นอน เชื่อผมสิ"
แท็กห้องรัชดา: เพราะรถผมน้ำท่วม
แท็กห้องชายคา: เพราะบ้านผมน้ำท่วม
แท็กห้องภูมิภาค: เพราะบ้านผมอยู่ กทม. ครับ