ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์: คิด วิเคราะห์ แยกแยะ : ธันวา เลาหศิริวงศ์
คำว่า "ท่ายาก" เริ่มคุ้นหูใน วงสนทนาคนใกล้ชิดหรือจากสื่อออนไลน์บ่อยขึ้น แต่หากเป็นคอกีฬายิมนาสติกหรือกีฬากระโดดน้ำแล้ว จะเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะหากเลือกใช้ "ท่ายาก" ซึ่งมีระดับความยากมากกว่า "ท่าปกติ" นักกีฬาจะได้รับคะแนนพิเศษเพิ่มขึ้นอีกหากทำได้สมบูรณ์แบบ ทำให้มีโอกาสชนะในการแข่งขันมากขึ้น ในทางกลับกัน หากนักกีฬาไม่สามารถทำได้ดังคาด จะถูก ตัดคะแนนและอาจทำให้ "พลาด" เหรียญรางวัลได้เช่นกัน การเลือกใช้ท่ายากจึงเหมาะสำหรับนักกีฬาที่มีทักษะผ่านการฝึกฝนอย่างดี และมีความพร้อมสภาพร่างกายขณะแข่งขันด้วย
เป้าหมายของนักลงทุนคือ การได้รับผลตอบตอบแทนที่ดี หรือ "มีกำไร" และต้อง "ไม่ขาดทุน" จากการลงทุน ดังนั้น นักลงทุนจึงควรพิจารณาหลีกเลี่ยง "ท่ายาก" ในการลงทุน เพราะอาจเป็นวิธีหนึ่งที่หลีกเลี่ยงการขาดทุน ท่ายากในการลงทุนมีอะไรบ้าง
ท่าแรก ลงทุนแบบไม่มีหลักการลงทุนแนวทางหรือหลักการลงทุนมีมากมาย หลายวิธี เช่น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หรือการใช้ปัจจัยทางเทคนิค แม้แต่ละวิธี จะมีจุดเด่น ข้อด้อยที่แตกต่างกันไป นักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จจำเป็นต้อง "ตกผลึก" ทางความคิดหลักการลงทุนของตน โดยเรียนรู้จากทั้งความผิดพลาดและกรณีประสบความสำเร็จในอดีต หลักการที่ดีจะต้องเหมาะกับแนวทางการใช้ชีวิตและตรงกับ "จริต" ของตนอีกด้วย
การลงทุนตามข่าวลือ อินไซด์ตามเซียนหุ้น แม้จะได้ผลกำไรงามในบางสถานการณ์ แต่ไม่ใช่หลักการลงทุนที่ยั่งยืน เพราะจำเป็นต้อง "พึ่ง" ผู้อื่นอยู่เสมอ หากข้อมูลคลาดเคลื่อนไม่ทันเหตุการณ์อาจเกิดความเสียหายขึ้นได้ นอกจากนี้การไม่ได้วิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง จะทำให้ไม่กล้าเข้าลงทุนในปริมาณที่มีนัยสำคัญ แม้จะพบกิจการยอดเยี่ยมในราคายุติธรรมก็ตาม
ท่าที่สอง ลงทุนเกินขอบข่ายความรู้ (Circle of Competency) หากเปรียบการลงทุนหุ้นเสมือนการนำเงินในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญของตนเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจแล้ว นักลงทุนจำเป็นต้องศึกษา ค้นคว้า เรียนรู้ เพื่อเข้าใจทั้งข้อมูลอุตสาหกรรมสภาวะ การแข่งขัน โครงสร้างและรูปแบบธุรกิจ ความเสี่ยง สถานะทางการเงิน ตลอดจนทีม ผู้บริหาร ก่อนตัดสินใจลงทุนหลังจากผ่านการวิเคราะห์อย่างดี นักลงทุนมีแหล่งข้อมูลที่เปิดเผยเกี่ยวกับบริษัทที่สนใจลงทุน ได้แก่ แบบฟอร์ม 56-1 รายงานประจำปี งบการเงินรายไตรมาส งาน Opportunity Day ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัท เป็นต้น
ในทุกวันทำการจะมีคนเสนอขายกิจการต่าง ๆ ในทุกอุตสาหกรรมเพื่อให้เราร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจดังกล่าว เป็นหน้าที่และภารกิจหลักของเราที่จะตัดสินใจหลีกเลี่ยงและ "ปฏิเสธ" คำเสนอขายเหล่านั้นหากเรายังไม่มั่นใจและเข้าใจธุรกิจนั้นดีเพียงพอ
ท่าที่สาม ลงทุนแบบไม่เคยประเมินมูลค่า การประเมินมูลค่าหุ้นแต่ละวิธีล้วนมีข้อดี ข้อเสีย เนื่องจากมีตัวเลขจากการคาดการณ์มาใช้ในการคำนวณ จึงเป็นเรื่องยากที่จะประเมินมูลค่าหุ้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังจำเป็นต้องประเมินมูลค่ากิจการโดยอาจใช้วิธีที่ตนถนัดและเหมาะสมกับแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ทราบคร่าว ๆ ถึงช่วงราคาที่ถูก ที่เหมาะสม หรือที่แพงของแต่ละกิจการที่เราสนใจ
ช่วงระดับราคาที่ได้จากการประเมินจะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นในช่วงราคาที่ถูกและมีส่วนต่างความปลอดภัย (Margin of Safety) และหลีกเลี่ยงการเข้าซื้อหุ้นในช่วงราคาที่แพง ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายจากการลงทุนได้
ท่าที่สี่ ลงทุนแบบซื้อขายบ่อยเกินไปแม้นักลงทุนแต่ละคนจะมีหลักการ หรือเงื่อนไขในการซื้อขายหุ้นแตกต่างกัน แต่สำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่านั้นมักมีธุรกรรมซื้อขายหุ้นหากพบว่า พื้นฐานของกิจการเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อผลประกอบการอย่างถาวร ราคาหุ้นสูงเกินปัจจัย พื้นฐาน หรือเมื่อพบกิจการที่ยอดเยี่ยมกว่าในราคาที่มีส่วนต่างความปลอดภัยสูงกว่า
ข้อเสียของการซื้อขายบ่อยครั้งคือค่าคอมมิสชั่นซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมต่ำลง แม้ไม่มีข้อพิสูจน์แน่ชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ในการซื้อขายกับ ผลตอบแทนการลงทุน แต่หากต้องติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด ต้องสูญเสียเวลาและขาดสมาธิในแต่ละวัน และอาจมีอารมณ์แปรปรวนตามภาวะตลาดแล้ว น่าจะถือว่าเป็นการขาดทุนทางอ้อมอย่างหนึ่ง
ท่าที่ห้า ลงทุนแบบไม่กระจายความเสี่ยง นักลงทุนควรพิจารณาลงทุนหุ้น 4-8 ตัว เพื่อการบริหารความเสี่ยงและเผื่อความ ไม่แน่นอนทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น แม้จะมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของกิจการและการวิเคราะห์ของตน แต่การถือหุ้นเพียง 1-2 ตัวก็เป็นการเสี่ยงเกินไป หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น นักลงทุนต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า "อะไรก็เกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้น" นักลงทุนที่ประสบการณ์ไม่มากนัก จึงควรหลีกเลี่ยง "ท่ายาก" นี้เช่นกัน
การถือหุ้นจำนวนมากเกินไปแม้จะช่วยกระจายความเสี่ยงแต่อาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมลดลง นอกจากนี้การถือหุ้น 15-20 ตัวขึ้นไป อาจทำให้ไม่มีเวลาศึกษารายละเอียด และติดตามกิจการอย่างใกล้ชิด ซึ่งกลายเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งด้วย
ท่าที่หก การตัดสินใจซื้อขายจากการคาดเดาภาวะตลาด ในโลกการลงทุน ไม่มีใครสามารถคาดเดาการขึ้นลง ของหุ้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ หากมีการติดตามผลจะพบว่ามีทั้งถูกและ ผิดเสมอ แม้การคาดการณ์นั้นจะมาจากนักวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญ หรือผู้มีประสบการณ์ลงทุนอย่างยาวนานก็ตาม เราจึงพบเห็นปรากฏการณ์ทั้ง Sell on Fact หรือ Buy on Fact ราคาหุ้นขึ้น แม้ผลประกอบการแย่ หรือราคาหุ้นลง แม้ผลประกอบการดี หุ้นไทย ขึ้นสวนทางตลาดต่างประเทศ หรือบางครั้งไปในทิศทางเดียวกัน
ในระยะสั้น ราคาหุ้นมักอ่อนไหวขึ้นลงตามปัจจัยภายนอก และอารมณ์นักลงทุนที่แปรปรวนรายวัน วิธีเลี่ยงหนึ่ง คือการเลือกลงทุนในกิจการที่สามารถคาดได้ว่าจะมีผลประกอบการดีขึ้นในระยะยาว ซึ่งราคาหุ้นจะต้องสะท้อนผลประกอบการนั้นในที่สุด
ท่าที่เจ็ด ไม่มีความอดทนเพียงพอ ความอดทนเป็นคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ยามภาวะหุ้นขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่มักตัดสิน เข้าซื้อหุ้นโดยไม่อดทนรอราคาที่เหมาะสม ส่วนในยามภาวะตลาดย่ำแย่ นักลงทุนก็ต้องอดทนเห็นหุ้นของตนราคาลดลงให้ได้ และควรต้องพิจารณาซื้อเพิ่ม หากยังเป็นกิจการที่ยอดเยี่ยม ที่มีส่วนต่างความปลอดภัยเพิ่มขึ้น นักลงทุนต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า มีโอกาสที่ดีเสมอในตลาดหุ้นสำหรับผู้ที่มีความอดทน
โอกาสเดียวที่จะทำกำไรจากการไล่ซื้อหุ้นในราคาสูง คือราคาหุ้นจะต้องขึ้นสูงเพิ่มไปอีก แต่หากปัจจัยพื้นฐาน หรือ ผลประกอบการไม่ได้โดดเด่นมากนัก แม้ราคาหุ้นจะขึ้นต่อไปอีก แต่อาจจะไม่สามารถรักษาระดับราคานั้นได้ วิธีเลี่ยง คือการออกห่างตลาดยามหุ้นขึ้น และติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเข้าซื้อหุ้นที่ศึกษามาอย่างดีในราคาเหมาะสม ยามตลาดหุ้นลงนั่นเอง
ท่าที่แปด ลงทุนด้วยมาร์จิ้น หรือชอร์ตเซล การลงทุนด้วยวิธีดังกล่าว แม้จะทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น แต่นับว่าเป็นท่ายากท่าหนึ่งเลยทีเดียว เพราะ นักลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจ มีความเชี่ยวชาญ มีจิตวิทยาการลงทุนดี ไม่หวั่นไหว หากราคาหุ้นไม่เป็นไปดังคาด และต้องติดตามราคาซื้อขายอย่างใกล้ชิด นอกจากนั้น การเลือกใช้ท่ายากนี้ ยังมีต้นทุนธุรกรรมแฝงอยู่อีกด้วย
คำแนะนำในการหลีกเลี่ยงท่ายากนี้ และยังได้เพิ่มผลตอบแทน คือการให้ยืมหุ้นเพื่อซอร์ตเซลในกรณีที่ถือหุ้นเต็มพอร์ต แม้จะได้ดอกเบี้ยรายวันในอัตรา 3-5% ต่อปี แต่ก็ดีกว่าถือหุ้นไว้เฉย ๆ ส่วนนักลงทุน ที่ถือเงินสดเต็มพอร์ต ควรพิจารณานำเงินสดนั้นลงทุนใน Money Market Funds ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์
ท่าที่เก้า ลงทุนในธุรกิจสวนกระแสแนวโน้มใหญ่ (Mega Trend) เป็นอีก ท่ายากหนึ่ง หากลงทุนในอุตสาหกรรม หรือธุรกิจที่สวนกระแส และยังคาดหวัง ให้ผลประกอบการโดดเด่น เพื่อ ผลตอบแทนการลงทุนที่ดี แนวโน้มใหญ่ส่วนมากมักเกิดขึ้นก่อนในต่างประเทศ นักลงทุนสามารถเรียนรู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อธุรกิจ และราคาหุ้นจากกรณีศึกษาเหล่านั้นด้วย
หากถือหุ้นที่อยู่ในธุรกิจดังกล่าว นักลงทุนควรพิจารณาขายหุ้นให้เร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจ เพิ่มขึ้น เพราะหากนักลงทุนส่วนใหญ่ คาดว่าธุรกิจต้องได้รับผลกระทบมากขึ้นจากแนวโน้มใหญ่ ราคาหุ้นจะต้องปรับตัว ลงอีก อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้นจะลดลงจนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยบวกเดียว ที่จะทำให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นบ้าง คือราคาหุ้นนั้นถูกเกินไปนั่นเอง
ท่าที่สิบ ลงทุนแบบหวังผลเลิศ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และสร้าง ผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนคุ้นเคยกับการซื้อถูกขายแพง อย่างไรก็ตาม การตั้งความหวังที่จะได้ผลตอบแทนสูงเช่นเดิมนั้น นอกจากจะเป็นท่ายากแล้ว ยังอาจเป็น "กับดัก"ให้นักลงทุนยอมรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วยการเล่นท่ายากอื่น หากผลตอบแทน ไม่เป็นดังคาดอีกด้วย
มี 3 ปัจจัยสำคัญในการคำนวณ ผลตอบแทนทบต้น ได้แก่ อัตรา ผลตอบแทนต่อปีทบต้น เงินลงทุน และระยะเวลาลงทุน การคาดหวัง ผลตอบแทน 12-15% ต่อปี ถือว่าเป็น เป้าหมายที่ท้าทาย แต่ปฏิบัติได้จริง วิธีหลีกเลี่ยงท่ายากนี้ คือการเพิ่มความสำคัญอีก 2 ปัจจัยที่เหลือ โดยปัจจัยที่เพิ่มง่ายที่สุด คือการเพิ่มระยะเวลาลงทุน ที่สนับสนุนคำพูดที่ว่า "เริ่มก่อนได้เปรียบ" นั่นเองการลงทุนในตลาดหุ้น เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ทั้งหมด การรู้ทฤษฏีเหมือนกัน ก็ไม่อาจปฏิบัติให้ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน ในฐานะ Value Investor จึงควรประเมิน และหลีกเลี่ยงท่ายากในการลงทุน ของตนให้มากที่สุด หากเป็นไปได้ ก็เลือกเฉพาะท่าง่ายสำหรับตัวเอง ที่เข้าข่าย KISS-Keep It Simple Stupid เพื่อความสุขและสบายใจ ตลอดการเดินทางบนถนนการลงทุนสายนี้--จบ--
10 ท่ายากการลงทุน
คอลัมน์: คิด วิเคราะห์ แยกแยะ : ธันวา เลาหศิริวงศ์
คำว่า "ท่ายาก" เริ่มคุ้นหูใน วงสนทนาคนใกล้ชิดหรือจากสื่อออนไลน์บ่อยขึ้น แต่หากเป็นคอกีฬายิมนาสติกหรือกีฬากระโดดน้ำแล้ว จะเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะหากเลือกใช้ "ท่ายาก" ซึ่งมีระดับความยากมากกว่า "ท่าปกติ" นักกีฬาจะได้รับคะแนนพิเศษเพิ่มขึ้นอีกหากทำได้สมบูรณ์แบบ ทำให้มีโอกาสชนะในการแข่งขันมากขึ้น ในทางกลับกัน หากนักกีฬาไม่สามารถทำได้ดังคาด จะถูก ตัดคะแนนและอาจทำให้ "พลาด" เหรียญรางวัลได้เช่นกัน การเลือกใช้ท่ายากจึงเหมาะสำหรับนักกีฬาที่มีทักษะผ่านการฝึกฝนอย่างดี และมีความพร้อมสภาพร่างกายขณะแข่งขันด้วย
เป้าหมายของนักลงทุนคือ การได้รับผลตอบตอบแทนที่ดี หรือ "มีกำไร" และต้อง "ไม่ขาดทุน" จากการลงทุน ดังนั้น นักลงทุนจึงควรพิจารณาหลีกเลี่ยง "ท่ายาก" ในการลงทุน เพราะอาจเป็นวิธีหนึ่งที่หลีกเลี่ยงการขาดทุน ท่ายากในการลงทุนมีอะไรบ้าง
ท่าแรก ลงทุนแบบไม่มีหลักการลงทุนแนวทางหรือหลักการลงทุนมีมากมาย หลายวิธี เช่น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หรือการใช้ปัจจัยทางเทคนิค แม้แต่ละวิธี จะมีจุดเด่น ข้อด้อยที่แตกต่างกันไป นักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จจำเป็นต้อง "ตกผลึก" ทางความคิดหลักการลงทุนของตน โดยเรียนรู้จากทั้งความผิดพลาดและกรณีประสบความสำเร็จในอดีต หลักการที่ดีจะต้องเหมาะกับแนวทางการใช้ชีวิตและตรงกับ "จริต" ของตนอีกด้วย
การลงทุนตามข่าวลือ อินไซด์ตามเซียนหุ้น แม้จะได้ผลกำไรงามในบางสถานการณ์ แต่ไม่ใช่หลักการลงทุนที่ยั่งยืน เพราะจำเป็นต้อง "พึ่ง" ผู้อื่นอยู่เสมอ หากข้อมูลคลาดเคลื่อนไม่ทันเหตุการณ์อาจเกิดความเสียหายขึ้นได้ นอกจากนี้การไม่ได้วิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง จะทำให้ไม่กล้าเข้าลงทุนในปริมาณที่มีนัยสำคัญ แม้จะพบกิจการยอดเยี่ยมในราคายุติธรรมก็ตาม
ท่าที่สอง ลงทุนเกินขอบข่ายความรู้ (Circle of Competency) หากเปรียบการลงทุนหุ้นเสมือนการนำเงินในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญของตนเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจแล้ว นักลงทุนจำเป็นต้องศึกษา ค้นคว้า เรียนรู้ เพื่อเข้าใจทั้งข้อมูลอุตสาหกรรมสภาวะ การแข่งขัน โครงสร้างและรูปแบบธุรกิจ ความเสี่ยง สถานะทางการเงิน ตลอดจนทีม ผู้บริหาร ก่อนตัดสินใจลงทุนหลังจากผ่านการวิเคราะห์อย่างดี นักลงทุนมีแหล่งข้อมูลที่เปิดเผยเกี่ยวกับบริษัทที่สนใจลงทุน ได้แก่ แบบฟอร์ม 56-1 รายงานประจำปี งบการเงินรายไตรมาส งาน Opportunity Day ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัท เป็นต้น
ในทุกวันทำการจะมีคนเสนอขายกิจการต่าง ๆ ในทุกอุตสาหกรรมเพื่อให้เราร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจดังกล่าว เป็นหน้าที่และภารกิจหลักของเราที่จะตัดสินใจหลีกเลี่ยงและ "ปฏิเสธ" คำเสนอขายเหล่านั้นหากเรายังไม่มั่นใจและเข้าใจธุรกิจนั้นดีเพียงพอ
ท่าที่สาม ลงทุนแบบไม่เคยประเมินมูลค่า การประเมินมูลค่าหุ้นแต่ละวิธีล้วนมีข้อดี ข้อเสีย เนื่องจากมีตัวเลขจากการคาดการณ์มาใช้ในการคำนวณ จึงเป็นเรื่องยากที่จะประเมินมูลค่าหุ้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังจำเป็นต้องประเมินมูลค่ากิจการโดยอาจใช้วิธีที่ตนถนัดและเหมาะสมกับแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ทราบคร่าว ๆ ถึงช่วงราคาที่ถูก ที่เหมาะสม หรือที่แพงของแต่ละกิจการที่เราสนใจ
ช่วงระดับราคาที่ได้จากการประเมินจะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นในช่วงราคาที่ถูกและมีส่วนต่างความปลอดภัย (Margin of Safety) และหลีกเลี่ยงการเข้าซื้อหุ้นในช่วงราคาที่แพง ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายจากการลงทุนได้
ท่าที่สี่ ลงทุนแบบซื้อขายบ่อยเกินไปแม้นักลงทุนแต่ละคนจะมีหลักการ หรือเงื่อนไขในการซื้อขายหุ้นแตกต่างกัน แต่สำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่านั้นมักมีธุรกรรมซื้อขายหุ้นหากพบว่า พื้นฐานของกิจการเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อผลประกอบการอย่างถาวร ราคาหุ้นสูงเกินปัจจัย พื้นฐาน หรือเมื่อพบกิจการที่ยอดเยี่ยมกว่าในราคาที่มีส่วนต่างความปลอดภัยสูงกว่า
ข้อเสียของการซื้อขายบ่อยครั้งคือค่าคอมมิสชั่นซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมต่ำลง แม้ไม่มีข้อพิสูจน์แน่ชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ในการซื้อขายกับ ผลตอบแทนการลงทุน แต่หากต้องติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด ต้องสูญเสียเวลาและขาดสมาธิในแต่ละวัน และอาจมีอารมณ์แปรปรวนตามภาวะตลาดแล้ว น่าจะถือว่าเป็นการขาดทุนทางอ้อมอย่างหนึ่ง
ท่าที่ห้า ลงทุนแบบไม่กระจายความเสี่ยง นักลงทุนควรพิจารณาลงทุนหุ้น 4-8 ตัว เพื่อการบริหารความเสี่ยงและเผื่อความ ไม่แน่นอนทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น แม้จะมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของกิจการและการวิเคราะห์ของตน แต่การถือหุ้นเพียง 1-2 ตัวก็เป็นการเสี่ยงเกินไป หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น นักลงทุนต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า "อะไรก็เกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้น" นักลงทุนที่ประสบการณ์ไม่มากนัก จึงควรหลีกเลี่ยง "ท่ายาก" นี้เช่นกัน
การถือหุ้นจำนวนมากเกินไปแม้จะช่วยกระจายความเสี่ยงแต่อาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมลดลง นอกจากนี้การถือหุ้น 15-20 ตัวขึ้นไป อาจทำให้ไม่มีเวลาศึกษารายละเอียด และติดตามกิจการอย่างใกล้ชิด ซึ่งกลายเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งด้วย
ท่าที่หก การตัดสินใจซื้อขายจากการคาดเดาภาวะตลาด ในโลกการลงทุน ไม่มีใครสามารถคาดเดาการขึ้นลง ของหุ้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ หากมีการติดตามผลจะพบว่ามีทั้งถูกและ ผิดเสมอ แม้การคาดการณ์นั้นจะมาจากนักวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญ หรือผู้มีประสบการณ์ลงทุนอย่างยาวนานก็ตาม เราจึงพบเห็นปรากฏการณ์ทั้ง Sell on Fact หรือ Buy on Fact ราคาหุ้นขึ้น แม้ผลประกอบการแย่ หรือราคาหุ้นลง แม้ผลประกอบการดี หุ้นไทย ขึ้นสวนทางตลาดต่างประเทศ หรือบางครั้งไปในทิศทางเดียวกัน
ในระยะสั้น ราคาหุ้นมักอ่อนไหวขึ้นลงตามปัจจัยภายนอก และอารมณ์นักลงทุนที่แปรปรวนรายวัน วิธีเลี่ยงหนึ่ง คือการเลือกลงทุนในกิจการที่สามารถคาดได้ว่าจะมีผลประกอบการดีขึ้นในระยะยาว ซึ่งราคาหุ้นจะต้องสะท้อนผลประกอบการนั้นในที่สุด
ท่าที่เจ็ด ไม่มีความอดทนเพียงพอ ความอดทนเป็นคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ยามภาวะหุ้นขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่มักตัดสิน เข้าซื้อหุ้นโดยไม่อดทนรอราคาที่เหมาะสม ส่วนในยามภาวะตลาดย่ำแย่ นักลงทุนก็ต้องอดทนเห็นหุ้นของตนราคาลดลงให้ได้ และควรต้องพิจารณาซื้อเพิ่ม หากยังเป็นกิจการที่ยอดเยี่ยม ที่มีส่วนต่างความปลอดภัยเพิ่มขึ้น นักลงทุนต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า มีโอกาสที่ดีเสมอในตลาดหุ้นสำหรับผู้ที่มีความอดทน
โอกาสเดียวที่จะทำกำไรจากการไล่ซื้อหุ้นในราคาสูง คือราคาหุ้นจะต้องขึ้นสูงเพิ่มไปอีก แต่หากปัจจัยพื้นฐาน หรือ ผลประกอบการไม่ได้โดดเด่นมากนัก แม้ราคาหุ้นจะขึ้นต่อไปอีก แต่อาจจะไม่สามารถรักษาระดับราคานั้นได้ วิธีเลี่ยง คือการออกห่างตลาดยามหุ้นขึ้น และติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเข้าซื้อหุ้นที่ศึกษามาอย่างดีในราคาเหมาะสม ยามตลาดหุ้นลงนั่นเอง
ท่าที่แปด ลงทุนด้วยมาร์จิ้น หรือชอร์ตเซล การลงทุนด้วยวิธีดังกล่าว แม้จะทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น แต่นับว่าเป็นท่ายากท่าหนึ่งเลยทีเดียว เพราะ นักลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจ มีความเชี่ยวชาญ มีจิตวิทยาการลงทุนดี ไม่หวั่นไหว หากราคาหุ้นไม่เป็นไปดังคาด และต้องติดตามราคาซื้อขายอย่างใกล้ชิด นอกจากนั้น การเลือกใช้ท่ายากนี้ ยังมีต้นทุนธุรกรรมแฝงอยู่อีกด้วย
คำแนะนำในการหลีกเลี่ยงท่ายากนี้ และยังได้เพิ่มผลตอบแทน คือการให้ยืมหุ้นเพื่อซอร์ตเซลในกรณีที่ถือหุ้นเต็มพอร์ต แม้จะได้ดอกเบี้ยรายวันในอัตรา 3-5% ต่อปี แต่ก็ดีกว่าถือหุ้นไว้เฉย ๆ ส่วนนักลงทุน ที่ถือเงินสดเต็มพอร์ต ควรพิจารณานำเงินสดนั้นลงทุนใน Money Market Funds ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์
ท่าที่เก้า ลงทุนในธุรกิจสวนกระแสแนวโน้มใหญ่ (Mega Trend) เป็นอีก ท่ายากหนึ่ง หากลงทุนในอุตสาหกรรม หรือธุรกิจที่สวนกระแส และยังคาดหวัง ให้ผลประกอบการโดดเด่น เพื่อ ผลตอบแทนการลงทุนที่ดี แนวโน้มใหญ่ส่วนมากมักเกิดขึ้นก่อนในต่างประเทศ นักลงทุนสามารถเรียนรู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อธุรกิจ และราคาหุ้นจากกรณีศึกษาเหล่านั้นด้วย
หากถือหุ้นที่อยู่ในธุรกิจดังกล่าว นักลงทุนควรพิจารณาขายหุ้นให้เร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจ เพิ่มขึ้น เพราะหากนักลงทุนส่วนใหญ่ คาดว่าธุรกิจต้องได้รับผลกระทบมากขึ้นจากแนวโน้มใหญ่ ราคาหุ้นจะต้องปรับตัว ลงอีก อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้นจะลดลงจนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยบวกเดียว ที่จะทำให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นบ้าง คือราคาหุ้นนั้นถูกเกินไปนั่นเอง
ท่าที่สิบ ลงทุนแบบหวังผลเลิศ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และสร้าง ผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนคุ้นเคยกับการซื้อถูกขายแพง อย่างไรก็ตาม การตั้งความหวังที่จะได้ผลตอบแทนสูงเช่นเดิมนั้น นอกจากจะเป็นท่ายากแล้ว ยังอาจเป็น "กับดัก"ให้นักลงทุนยอมรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วยการเล่นท่ายากอื่น หากผลตอบแทน ไม่เป็นดังคาดอีกด้วย
มี 3 ปัจจัยสำคัญในการคำนวณ ผลตอบแทนทบต้น ได้แก่ อัตรา ผลตอบแทนต่อปีทบต้น เงินลงทุน และระยะเวลาลงทุน การคาดหวัง ผลตอบแทน 12-15% ต่อปี ถือว่าเป็น เป้าหมายที่ท้าทาย แต่ปฏิบัติได้จริง วิธีหลีกเลี่ยงท่ายากนี้ คือการเพิ่มความสำคัญอีก 2 ปัจจัยที่เหลือ โดยปัจจัยที่เพิ่มง่ายที่สุด คือการเพิ่มระยะเวลาลงทุน ที่สนับสนุนคำพูดที่ว่า "เริ่มก่อนได้เปรียบ" นั่นเองการลงทุนในตลาดหุ้น เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ทั้งหมด การรู้ทฤษฏีเหมือนกัน ก็ไม่อาจปฏิบัติให้ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน ในฐานะ Value Investor จึงควรประเมิน และหลีกเลี่ยงท่ายากในการลงทุน ของตนให้มากที่สุด หากเป็นไปได้ ก็เลือกเฉพาะท่าง่ายสำหรับตัวเอง ที่เข้าข่าย KISS-Keep It Simple Stupid เพื่อความสุขและสบายใจ ตลอดการเดินทางบนถนนการลงทุนสายนี้--จบ--