ไม่น่าเชื่อว่าจากที่ครั้งนึงไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลย จะกลายมาเป็นว่าไปดูตั้ง 2 ปีติดๆกัน
ครั้งแรกที่ผมไปคือปี 2012 ซึ่งในครั้งนั้น ก็ได้สังเกต และพบเห็นว่า
บั้งไฟพญานาคที่บรรดาผู้คนหลั่งไหลกันไปดูไปชมนั้น เป็นเพียงการยิงปืนขึ้นฟ้าเท่านั้น ซึ่งก็สามารถบันทึกได้ทั้งภาพ
และวิดีโอพร้อมเสียง ทำให้เกิดความประหลาดใจสำรับผู่ที่เห็นเป็นครั้งแรกเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าหลายคนจะยงคงปักใจเชื่อแบบไม่สนใจเหตุผล และหลักฐานเลยก็ตาม
สำหรับปีนี้เอง ผมก็ได้มีโอกาสเดินทางไปรับชม และสังเกตปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคอีกครั้งนึง
โดยสถานที่ที่เลือกเพื่อเฝ้าสังเกตในครั้งนี้คือบ้านท่าโพนสัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดโพนสัน เมืองบริคำชัย
ในเบื้องต้นก็มีการสอบถามกับชาวบ้านบริเวรดั่งกล่าว ซึ่งก็ให้คำตอบไปในลักษณะเดียวกันคือ:
1. บั้งไฟเกิดขึ้นในวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 11 เท่านั้น และบางครั้งก็เกิดในคืน 1 ค่ำด้วย
2. ลักษณะของบั้งไฟจะเป็นสีแดงอมชมพู
3. วิถีของบั้งไฟจะสูงขึ้นไปหาท้องฟ้า โดยจะสังเกตเห็นเมื่อเลยพุ่มไม้ไปแล้ว
4. บางผ็เห็นเหตุการณ์เล่าว่า บั้งไฟสามารถเกิดขึ้นจากในน้ำ หรือกลางน้ำได้ด้วย
5. เป็นปรากฏการณ์ที่มีมาแล้วแต่ช้านาน ชาวบ้านบางคนระบุว่า เห็นมาตั้งแต่ 30 ปีก่อนแล้ว
6. ชื่อของบั้งไฟพญานาคนั้น ในอดีดเมื่อ 30 ปีก่อน ไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นเอกภาพ บางคนก็เรียกว่า บั้งไฟแสง, ลูกแสง หรือแสงแดงเป็นต้น
เมื่อได้ข้อมูลดังนั้นแล้ว ก็รอจนถึงเวลาพบค่ำ ซึ่งพอถึงเวลาประมาณ 6:30 PM
ก็มีเสียงโห่ร้องมาจากชาวบ้านทั้งสองฟากฝั่งลาวและไทย ด้วยเหตุว่าเห็นบั้งไฟพญานาคปรากฏขึ้นแล้ว
เมื่อผมยืนสังเกตการณ์ดูอยู่ที่หาดแห่งนึง ผมเห็นว่า:
1. บั้งไฟพญานาคในปีนี้ เป็นแบบเดียวกับลูกปืนที่มีคนยิงที่ผมบันทึกภาพ และวิดีโอได้ในปีที่แล้ว
2. จุดที่เกิดบั้งไฟนั้น จะขึ้นจากฝั่งลาว ใกล้ๆกับฝั่ง โดยสามารถเกิดขึ้นได้หลายจุด
3. หากบั้งไฟขึ้นที่จุดใด ก็จะขึ้นเฉพาะจุดนั้น ไม่มีการเคลื่อนที่ไปมาก
4. การสังเกตการณ์ในวันที่มีคนไปดูเยอะ ๆ ทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทย ทำให้ไม่สามารถได้ยินเสียงอะไรชัดเจน เพราะเวลานั้นมีทั้งเสียงโห่ร้อง เสียงพลุ และบั้งไฟที่คนยืงขึ้นดังกลบเกลื่อนกันไปหมด
5. ไม่มีบั้งไฟพญานาคลูกไหนเลยที่ขึ้นจากน้ำ หรือขึ้นจากฝั่งไทย มีเฉพาะที่ขึ้นจากฝั่งลาวเท่านั้น
6. บั้งไฟพญานาคทุกลูกที่ขึ้นมานั้น จะมีวิถีบั้งไฟยิงไปทางฝั่งไทย และจะมีเพียงบางลูกที่ขึ้นตรงไปบนฟ้า
7. บางครั้ง บั้งไฟฯ จะขึ้นติดต่อกันเป็นจำนวนหลายลูก โดยจากการสังเกตการณ์ เห็นว่าขึ้นเยอะสุด 8 ลูกติดต่อกันเป็นสาย
และเมื่อสังเกตให้แน่ชัดแล้ว จึงเห็นว่า จุดที่บั้งไฟฯ ขึ้นเยอะ โดยสังเกตจากหาดใกล้กับวัดโพนสัน เห็นว่า
บั้งไฟฯ ขึ้นจากทางโค้งของแม่น้ำโขง ซึ่งบริเวณนั้น อยู่ตรงข้ามกับหมู่บ้านที่ผมเคยไปสังเกตการณ์เมื่อปีที่แล้ว.
ล่วงเลยจนมาถึงเวลาประมาณ 8:30 PM จำนวนของบั้งไฟฯ ก็ลดน้อยลง จนหาดูได้ยากในที่สุด
และในระหว่างนั้นเอง ก็มีชาวบ้านมาเล่าให้ฟังว่า เห็นปรากฏการณ์บั้งไฟฯ ขึ้นตรงบริเวณหนองใกล้กับวัด
จึงได้ไปยืนดูกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป 20 นาที ก็ไม่ปรากฏเห็นมีบั้งไฟฯ ขึ้นแต่อย่างใด จึงตัดใจ และกลับคืนที่พัก.
ในวันถัดมา ซึ่งเป็นวัน 1 ค่ำ พวกเรายังคงปักหลักอยู่ที่วัดโพนสัน เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์อีกครั้งนึง โดยในช่วงกลางวัน
ได้มีการนั่งเรือของชาวบ้าน เพื่อไปดูจุดที่ชาวบ้านเชื่อว่า เป็นถ้ำพญานาค เล่าลือกันมานานแล้วว่า
จะต้องมีคาถาเพื่อเปิดปากถ้ำ จึงจะสามารถเดินทางไปสู่เมืองบาดาล หรือเมืองของพญานาคได้ โดยในฤดูที่พวกเราไปนี้
เป็นปลายฤดูฝน ทำให้ระดับน้ำสูงเกินกว่าจะเห็นอะไรมากไปกว่าหินสีดำบริเวณที่อ้างว่าเป็นทางเข้าเมืองนาค.
อย่างไรก็ตาม บริเวณดั่งกล่าว มีลักษณะเป็นลานหินขนาดใหญ่ ซึ่งมีสีดำปนสีขาว มีลวดลายคล้ายๆ หินอ่อน
จับดูแล้ว เป็นสิ่งที่มีลักษณะคล้ายเม็ดทรายที่แข็งตัว ทำให้จับเป็นก้อนหิน สามารถหักออกได้โดยง่าย
ผมคาดว่าคงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ (ถึงแม้ชาวบ้านจะเชื่อว่ามันเป็นอะไรที่ลึกลับ และพิเศษมากก็ตาม)
เวลาล่วงเลยมาถึง 6 PM ผมและคณะได้มาตั้งกองสังเกตการณ์ที่วัดโพนสันอีกครั้ง ในค่ำคืนนั้น
มีคนอยู่บางตาเป็นพิเศษ ไม่มีการเปิดไฟ ไม่มีการค้าขายอาหาร และดอกไม้ หรือกระทงดั่งเช่นคืนก่อนหน้า
อีกทั้งบรรยกาศก็เงียบเป็นพิเศษ ซึ่งก็ดี เพราะพวกเราจะได้สามารถสังเกตได้โดยง่าย
ถึงเวลาประมาณ 6:30 PM ผมก็เห็นบั้งไฟฯ ขึ้นสู่ท้องฟ้า โดยสังเกตว่า จุดที่ขึ้นนั้น
เป็นจุดเดียวกับที่ขึ้นในคืนก่อนหน้านั้นเอง และเมื่อจับเวลาดูแล้ว สังเกตเห็นว่า ระยะห่างของบั้งไฟแต่ละลูก
จะขึ้นห่างกัน 4-6 นาที บางลูกก็ขึ้นห่างกัน 8 นาที แต่โดยส่วนใหญ่แล้วไม่เกิน 6 นาที
จึงทำให้คาดเดาได้ง่ายพอสมควรว่าจะขึ้นตอนไหน
ในระหว่างที่สังเกตการณ์นั้น เนื่องจากเป็นคืนที่ไม่ค่อยมีคนดูเยอะ (หมายถึงฝั่งลาว) จึงทำให้สามารถได้ยินเสียงต่างๆ ได้ดี และผมก็สังเกตว่า
ทุกครั้งที่บั้งไฟฯ ขึ้นมานั้น มักจะได้ยินเสียงคล้ายปืนติดตามมาด้วยเสมอ บางครั้งเมื่อบั้งไฟขึ้นได้ 2 ลูกก็มีเสียงปืนตามมา 2 นัด แต่บางครั้งก็ไม่ได้ยินเสียงก็มี
เมื่อสังเกตการณ์ไปได้ระยะนึงแล้ว ก็นับบั้งไฟขึ้นได้จำนวน 30 กว่าลูก จึงปรึกษากันว่า ถ้าเรายังเฝ้าอยู่ตรงนี้
ก็คงไม่มีอะไรมาก ไม่สามารถเห็นได้ว่ามันขึ้นจากไหนกันแน่ เราควรขับรถไปใกล้ๆ บริเวณทางโค้งของแม่น้ำโขง
ที่มันขึ้นกันดีกว่า ว่าแล้วก็ขับรถกันไปต่อ จนไปถึงทางโค้งที่ว่านั้น ซึ่งตรงกับบ้านห้วยสายพาย
และปรากฏว่าเป็นบ้านเดียวกับที่ผมเคยมาดูในปีที่แล้วนี่เอง ซึ่งอันนี้ก็เป็นไปตามคาด
เมื่อมาถึงบ้านห้วยสายพายแล้ว ก็สังเกตว่าไม่มีคนเยอะเท่าไหร่สำหรับฝั่งลาว แต่ฝั่งไทยนั้น คนเต็มฝั่ง
โดยมีการใช้โทรโข่งพากย์เสียงเหตการณ์ไปด้วย โฆษณาต่างๆ ไปด้วย ครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง
พอไม่กี่นาที ก็มีเสียงโห่ขึ้นมาจากฝั่งไทย ผมหันหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างไว
และเห็นลูกไฟฯ ลอยขึ้นพ้นต้นไม้ไป โดยระยะที่เกิดบั้งไฟนั้น ใกล้กับจุเที่ผมยืนดูอยู่มาก
คาดว่าห่างออกไปไม่เกิน 500 เมตรเป็นอย่างมาก และมันไม่ได้เกิดขึ้นในน้ำแน่นอน เพราะบริเวณที่ขึ้นนั้น มันเป็นทุ่งนา!
เมื่อสังเกตไปได้ระยะนึง ก็พบเห็นบั้งไฟฯ อีกสองลูกขึ้นมาทางซ้ายมือจากจุดสังเกต และมันขึ้นใกล้มากอีกเช่นกัน
ห่างออกไปไม่เกิน 300 เมตรเท่านั้น ซึ่งวิถีการยิงของบั้งไฟดั่งกล่าว คือยิงออกไปทางฝั่งไทย และมันอยู่ฝั่ง ไม่ใช่ในน้ำ หรือใกล้น้ำเลย
เวลาผ่านไประยะนึง บั้งไฟก็ขึ้นอยู่บริเวณทุ่งนาถัดจากป่าใกล้ๆ จุดสังเกตการณ์ ซึ่งพวกเรารู้ว่ามันเป็นทุ่งนาด้วยการใช้ Google Maps
ดูข้อมูลสถานที่ในบริเวณดั่งกล่าว (และเป็นวิธีเดียวกับที่ใช้หาหมู่บ้านนี้ที่อยู่ทางโค้งของแม่น้ำโขง) จึงได้ตั้งข้อสันนิฐานว่า
บั้งไฟมันเกิดจากบริเวณทุ่งนาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผมและคณะไม่เห็นประโยชน์ของการไปดูคนที่ยิงบั้งไฟอยู่ตรงทุ่งนาอีกครั้งนึง จึงตัดสินใจเดินทางกลับ
ระหว่างทางกลับ พวกเราได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องบั้งไฟพญานาค ซึ่งผมตั้งข้อสังเกตว่า คืนวันที่ 15 ค่ำนั้น
หลังจากที่พวกเราดูบั้งไฟฯ กันแล้ว ก็ได้สัมภาษณ์ชาวบ้านคนนึง อายุมากกว่า 60 ปี โดยถามแกว่า
เคยเห็นบั้งไฟที่ว่านี้นานหรือยัง? แกตอบกลับมาว่า เห็นมา 30 ปีแล้ว พวกเราจึงถามไปอีกว่า บั้งไฟที่ลุงเห็นเมื่อ 30 ปีก่อน
กับบั้งไฟที่เห็นในค่ำคืนนี้ เป็นแบบเดียวกันไหม? แกตอบว่า เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งพอผมได้ฟังแบบนั้นก็คิดฉงนในใจว่า
บั้งไฟในคืน 15 ค่ำที่พวกเราเห็นนั้น เป็นบั้งไฟจากปลายปืนแบบเดียวกับที่ผมบันทึกภาพ และวิดีโอได้ในปีที่แล้วนี่เอง...
ถึงแม้จะมีหลักฐานเป็นรูปภาพ วิดีโอ และเสียงชัดเจนเพียงใด ก็ยังคงมีศรัทธาของผู้พบเห็นบังไฟพญานาค
และคนเก่าแก่ที่ยืนยันว่า เคยเห็นจากน้ำนั้น ยังคงเชื่อ และศรัทธาอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าข้อมูลที่เกิดขึ้นจะชัดเจนเพียงใดก็ตาม
ในทัศนะคติของผมเห็นว่า บั้งไฟที่เกิดขึ้น เปรียบดั่งปรากฏการณ์ที่ตอกย้ำศรัทธาของคนที่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ในสิ่งลึกลับ และอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่เป็นที่พึ่งทางใจ
เป็นที่พึ่งในยามที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุ หรือผลอันใดก็ตาม
และไม่ว่ามันจะเป็นข้อเท็จจริง หรือความเชื่อความศรัทธาก็ตาม.
9:28 AM 21/10/2013
หนึ่งในผู้สังเกตการณ์ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคปี 2012-2013
บั้งไฟพญานาคจากประสบการณ์ของข้าพเจ้า
ครั้งแรกที่ผมไปคือปี 2012 ซึ่งในครั้งนั้น ก็ได้สังเกต และพบเห็นว่า
บั้งไฟพญานาคที่บรรดาผู้คนหลั่งไหลกันไปดูไปชมนั้น เป็นเพียงการยิงปืนขึ้นฟ้าเท่านั้น ซึ่งก็สามารถบันทึกได้ทั้งภาพ
และวิดีโอพร้อมเสียง ทำให้เกิดความประหลาดใจสำรับผู่ที่เห็นเป็นครั้งแรกเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าหลายคนจะยงคงปักใจเชื่อแบบไม่สนใจเหตุผล และหลักฐานเลยก็ตาม
สำหรับปีนี้เอง ผมก็ได้มีโอกาสเดินทางไปรับชม และสังเกตปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคอีกครั้งนึง
โดยสถานที่ที่เลือกเพื่อเฝ้าสังเกตในครั้งนี้คือบ้านท่าโพนสัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดโพนสัน เมืองบริคำชัย
ในเบื้องต้นก็มีการสอบถามกับชาวบ้านบริเวรดั่งกล่าว ซึ่งก็ให้คำตอบไปในลักษณะเดียวกันคือ:
1. บั้งไฟเกิดขึ้นในวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 11 เท่านั้น และบางครั้งก็เกิดในคืน 1 ค่ำด้วย
2. ลักษณะของบั้งไฟจะเป็นสีแดงอมชมพู
3. วิถีของบั้งไฟจะสูงขึ้นไปหาท้องฟ้า โดยจะสังเกตเห็นเมื่อเลยพุ่มไม้ไปแล้ว
4. บางผ็เห็นเหตุการณ์เล่าว่า บั้งไฟสามารถเกิดขึ้นจากในน้ำ หรือกลางน้ำได้ด้วย
5. เป็นปรากฏการณ์ที่มีมาแล้วแต่ช้านาน ชาวบ้านบางคนระบุว่า เห็นมาตั้งแต่ 30 ปีก่อนแล้ว
6. ชื่อของบั้งไฟพญานาคนั้น ในอดีดเมื่อ 30 ปีก่อน ไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นเอกภาพ บางคนก็เรียกว่า บั้งไฟแสง, ลูกแสง หรือแสงแดงเป็นต้น
เมื่อได้ข้อมูลดังนั้นแล้ว ก็รอจนถึงเวลาพบค่ำ ซึ่งพอถึงเวลาประมาณ 6:30 PM
ก็มีเสียงโห่ร้องมาจากชาวบ้านทั้งสองฟากฝั่งลาวและไทย ด้วยเหตุว่าเห็นบั้งไฟพญานาคปรากฏขึ้นแล้ว
เมื่อผมยืนสังเกตการณ์ดูอยู่ที่หาดแห่งนึง ผมเห็นว่า:
1. บั้งไฟพญานาคในปีนี้ เป็นแบบเดียวกับลูกปืนที่มีคนยิงที่ผมบันทึกภาพ และวิดีโอได้ในปีที่แล้ว
2. จุดที่เกิดบั้งไฟนั้น จะขึ้นจากฝั่งลาว ใกล้ๆกับฝั่ง โดยสามารถเกิดขึ้นได้หลายจุด
3. หากบั้งไฟขึ้นที่จุดใด ก็จะขึ้นเฉพาะจุดนั้น ไม่มีการเคลื่อนที่ไปมาก
4. การสังเกตการณ์ในวันที่มีคนไปดูเยอะ ๆ ทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทย ทำให้ไม่สามารถได้ยินเสียงอะไรชัดเจน เพราะเวลานั้นมีทั้งเสียงโห่ร้อง เสียงพลุ และบั้งไฟที่คนยืงขึ้นดังกลบเกลื่อนกันไปหมด
5. ไม่มีบั้งไฟพญานาคลูกไหนเลยที่ขึ้นจากน้ำ หรือขึ้นจากฝั่งไทย มีเฉพาะที่ขึ้นจากฝั่งลาวเท่านั้น
6. บั้งไฟพญานาคทุกลูกที่ขึ้นมานั้น จะมีวิถีบั้งไฟยิงไปทางฝั่งไทย และจะมีเพียงบางลูกที่ขึ้นตรงไปบนฟ้า
7. บางครั้ง บั้งไฟฯ จะขึ้นติดต่อกันเป็นจำนวนหลายลูก โดยจากการสังเกตการณ์ เห็นว่าขึ้นเยอะสุด 8 ลูกติดต่อกันเป็นสาย
และเมื่อสังเกตให้แน่ชัดแล้ว จึงเห็นว่า จุดที่บั้งไฟฯ ขึ้นเยอะ โดยสังเกตจากหาดใกล้กับวัดโพนสัน เห็นว่า
บั้งไฟฯ ขึ้นจากทางโค้งของแม่น้ำโขง ซึ่งบริเวณนั้น อยู่ตรงข้ามกับหมู่บ้านที่ผมเคยไปสังเกตการณ์เมื่อปีที่แล้ว.
ล่วงเลยจนมาถึงเวลาประมาณ 8:30 PM จำนวนของบั้งไฟฯ ก็ลดน้อยลง จนหาดูได้ยากในที่สุด
และในระหว่างนั้นเอง ก็มีชาวบ้านมาเล่าให้ฟังว่า เห็นปรากฏการณ์บั้งไฟฯ ขึ้นตรงบริเวณหนองใกล้กับวัด
จึงได้ไปยืนดูกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป 20 นาที ก็ไม่ปรากฏเห็นมีบั้งไฟฯ ขึ้นแต่อย่างใด จึงตัดใจ และกลับคืนที่พัก.
ในวันถัดมา ซึ่งเป็นวัน 1 ค่ำ พวกเรายังคงปักหลักอยู่ที่วัดโพนสัน เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์อีกครั้งนึง โดยในช่วงกลางวัน
ได้มีการนั่งเรือของชาวบ้าน เพื่อไปดูจุดที่ชาวบ้านเชื่อว่า เป็นถ้ำพญานาค เล่าลือกันมานานแล้วว่า
จะต้องมีคาถาเพื่อเปิดปากถ้ำ จึงจะสามารถเดินทางไปสู่เมืองบาดาล หรือเมืองของพญานาคได้ โดยในฤดูที่พวกเราไปนี้
เป็นปลายฤดูฝน ทำให้ระดับน้ำสูงเกินกว่าจะเห็นอะไรมากไปกว่าหินสีดำบริเวณที่อ้างว่าเป็นทางเข้าเมืองนาค.
อย่างไรก็ตาม บริเวณดั่งกล่าว มีลักษณะเป็นลานหินขนาดใหญ่ ซึ่งมีสีดำปนสีขาว มีลวดลายคล้ายๆ หินอ่อน
จับดูแล้ว เป็นสิ่งที่มีลักษณะคล้ายเม็ดทรายที่แข็งตัว ทำให้จับเป็นก้อนหิน สามารถหักออกได้โดยง่าย
ผมคาดว่าคงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ (ถึงแม้ชาวบ้านจะเชื่อว่ามันเป็นอะไรที่ลึกลับ และพิเศษมากก็ตาม)
เวลาล่วงเลยมาถึง 6 PM ผมและคณะได้มาตั้งกองสังเกตการณ์ที่วัดโพนสันอีกครั้ง ในค่ำคืนนั้น
มีคนอยู่บางตาเป็นพิเศษ ไม่มีการเปิดไฟ ไม่มีการค้าขายอาหาร และดอกไม้ หรือกระทงดั่งเช่นคืนก่อนหน้า
อีกทั้งบรรยกาศก็เงียบเป็นพิเศษ ซึ่งก็ดี เพราะพวกเราจะได้สามารถสังเกตได้โดยง่าย
ถึงเวลาประมาณ 6:30 PM ผมก็เห็นบั้งไฟฯ ขึ้นสู่ท้องฟ้า โดยสังเกตว่า จุดที่ขึ้นนั้น
เป็นจุดเดียวกับที่ขึ้นในคืนก่อนหน้านั้นเอง และเมื่อจับเวลาดูแล้ว สังเกตเห็นว่า ระยะห่างของบั้งไฟแต่ละลูก
จะขึ้นห่างกัน 4-6 นาที บางลูกก็ขึ้นห่างกัน 8 นาที แต่โดยส่วนใหญ่แล้วไม่เกิน 6 นาที
จึงทำให้คาดเดาได้ง่ายพอสมควรว่าจะขึ้นตอนไหน
ในระหว่างที่สังเกตการณ์นั้น เนื่องจากเป็นคืนที่ไม่ค่อยมีคนดูเยอะ (หมายถึงฝั่งลาว) จึงทำให้สามารถได้ยินเสียงต่างๆ ได้ดี และผมก็สังเกตว่า
ทุกครั้งที่บั้งไฟฯ ขึ้นมานั้น มักจะได้ยินเสียงคล้ายปืนติดตามมาด้วยเสมอ บางครั้งเมื่อบั้งไฟขึ้นได้ 2 ลูกก็มีเสียงปืนตามมา 2 นัด แต่บางครั้งก็ไม่ได้ยินเสียงก็มี
เมื่อสังเกตการณ์ไปได้ระยะนึงแล้ว ก็นับบั้งไฟขึ้นได้จำนวน 30 กว่าลูก จึงปรึกษากันว่า ถ้าเรายังเฝ้าอยู่ตรงนี้
ก็คงไม่มีอะไรมาก ไม่สามารถเห็นได้ว่ามันขึ้นจากไหนกันแน่ เราควรขับรถไปใกล้ๆ บริเวณทางโค้งของแม่น้ำโขง
ที่มันขึ้นกันดีกว่า ว่าแล้วก็ขับรถกันไปต่อ จนไปถึงทางโค้งที่ว่านั้น ซึ่งตรงกับบ้านห้วยสายพาย
และปรากฏว่าเป็นบ้านเดียวกับที่ผมเคยมาดูในปีที่แล้วนี่เอง ซึ่งอันนี้ก็เป็นไปตามคาด
เมื่อมาถึงบ้านห้วยสายพายแล้ว ก็สังเกตว่าไม่มีคนเยอะเท่าไหร่สำหรับฝั่งลาว แต่ฝั่งไทยนั้น คนเต็มฝั่ง
โดยมีการใช้โทรโข่งพากย์เสียงเหตการณ์ไปด้วย โฆษณาต่างๆ ไปด้วย ครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง
พอไม่กี่นาที ก็มีเสียงโห่ขึ้นมาจากฝั่งไทย ผมหันหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างไว
และเห็นลูกไฟฯ ลอยขึ้นพ้นต้นไม้ไป โดยระยะที่เกิดบั้งไฟนั้น ใกล้กับจุเที่ผมยืนดูอยู่มาก
คาดว่าห่างออกไปไม่เกิน 500 เมตรเป็นอย่างมาก และมันไม่ได้เกิดขึ้นในน้ำแน่นอน เพราะบริเวณที่ขึ้นนั้น มันเป็นทุ่งนา!
เมื่อสังเกตไปได้ระยะนึง ก็พบเห็นบั้งไฟฯ อีกสองลูกขึ้นมาทางซ้ายมือจากจุดสังเกต และมันขึ้นใกล้มากอีกเช่นกัน
ห่างออกไปไม่เกิน 300 เมตรเท่านั้น ซึ่งวิถีการยิงของบั้งไฟดั่งกล่าว คือยิงออกไปทางฝั่งไทย และมันอยู่ฝั่ง ไม่ใช่ในน้ำ หรือใกล้น้ำเลย
เวลาผ่านไประยะนึง บั้งไฟก็ขึ้นอยู่บริเวณทุ่งนาถัดจากป่าใกล้ๆ จุดสังเกตการณ์ ซึ่งพวกเรารู้ว่ามันเป็นทุ่งนาด้วยการใช้ Google Maps
ดูข้อมูลสถานที่ในบริเวณดั่งกล่าว (และเป็นวิธีเดียวกับที่ใช้หาหมู่บ้านนี้ที่อยู่ทางโค้งของแม่น้ำโขง) จึงได้ตั้งข้อสันนิฐานว่า
บั้งไฟมันเกิดจากบริเวณทุ่งนาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผมและคณะไม่เห็นประโยชน์ของการไปดูคนที่ยิงบั้งไฟอยู่ตรงทุ่งนาอีกครั้งนึง จึงตัดสินใจเดินทางกลับ
ระหว่างทางกลับ พวกเราได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องบั้งไฟพญานาค ซึ่งผมตั้งข้อสังเกตว่า คืนวันที่ 15 ค่ำนั้น
หลังจากที่พวกเราดูบั้งไฟฯ กันแล้ว ก็ได้สัมภาษณ์ชาวบ้านคนนึง อายุมากกว่า 60 ปี โดยถามแกว่า
เคยเห็นบั้งไฟที่ว่านี้นานหรือยัง? แกตอบกลับมาว่า เห็นมา 30 ปีแล้ว พวกเราจึงถามไปอีกว่า บั้งไฟที่ลุงเห็นเมื่อ 30 ปีก่อน
กับบั้งไฟที่เห็นในค่ำคืนนี้ เป็นแบบเดียวกันไหม? แกตอบว่า เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งพอผมได้ฟังแบบนั้นก็คิดฉงนในใจว่า
บั้งไฟในคืน 15 ค่ำที่พวกเราเห็นนั้น เป็นบั้งไฟจากปลายปืนแบบเดียวกับที่ผมบันทึกภาพ และวิดีโอได้ในปีที่แล้วนี่เอง...
ถึงแม้จะมีหลักฐานเป็นรูปภาพ วิดีโอ และเสียงชัดเจนเพียงใด ก็ยังคงมีศรัทธาของผู้พบเห็นบังไฟพญานาค
และคนเก่าแก่ที่ยืนยันว่า เคยเห็นจากน้ำนั้น ยังคงเชื่อ และศรัทธาอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าข้อมูลที่เกิดขึ้นจะชัดเจนเพียงใดก็ตาม
ในทัศนะคติของผมเห็นว่า บั้งไฟที่เกิดขึ้น เปรียบดั่งปรากฏการณ์ที่ตอกย้ำศรัทธาของคนที่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ในสิ่งลึกลับ และอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่เป็นที่พึ่งทางใจ
เป็นที่พึ่งในยามที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุ หรือผลอันใดก็ตาม
และไม่ว่ามันจะเป็นข้อเท็จจริง หรือความเชื่อความศรัทธาก็ตาม.
9:28 AM 21/10/2013
หนึ่งในผู้สังเกตการณ์ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคปี 2012-2013