4.แต่นี่มันธุระของผม
ระหว่างที่ทุกคนกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารมื้อกลางวัน
สุรเดชส่งเสียงมาแต่ไกล พวกพี่ๆ เชื้อเชิญให้เข้ามาร่วมวงด้วยกัน สุรเดชไม่รอช้าเพราะอาหารฟรีก็เป็นที่โปรดปรานของเขา อีกอย่างมีเพื่อนนำร่องอยู่ก่อนแล้ว
สุรเดชตอบแทนรสชาติของอาหารด้วยการออกแรงช่วยกงสินต่อโครงสร้างของรถบุปผชาติ ตลอดเวลาบุษบารู้ว่าทั้งสองแอบมองและแซวผ่านสายตาตลอดเวลา ก่อกวนสมาธิของหญิงสาว จนคล้อยบ่าย แดดเริ่มลามเลียเข้ามาทำให้เม็ดเหงื่อผุดง่ายขึ้น เธอจัดการยกม้วนผ้าหลากสีสันมากองวางเรียงราย เพราะนี่เป็นการทำรถบุปผชาติเป็นครั้งแรก
อดีตตอนที่บุษบายังเด็ก งานประเพณีลอยกระทงทีไร บุษบามักจะไปดักรอตามจุดที่เทศบาลจัดเตรียมเอาไว้ให้ ประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจยืนชะเง้อดูความตื่นตาตื่นใจ ความอลังการของรถบุปผชาติเคลื่อนไปช้าๆ บนรถมีกระทงขนาดยักษ์
และอีกหลายขบวนที่สวยงามไม่แพ้กัน คนร่วมขบวนเองก็จัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผม นานๆ ครั้งที่จะมีงานประเพณีอันยิ่งใหญ่แบบนี้ มีผู้หญิงคนไหนๆ บางจะยอมให้คนอื่นสวยกว่า ก็ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องประเคนชุดใหญ่ให้สวยครบครัน เมื่อแข่งกัน ทุกคนก็เลยดูสวยไปหมด
แดดแรงๆ เริ่มหมดฤทธิ์ กระจายความเย็นเข้ามาแทนที่ กงสินเห็นว่าทุกคนเหน็ดเหนื่อยช่วยเหลืองาน ก็ออกปากชักชวนคนช่วยงานให้ไปผ่อนคลายที่ร้านหมูกะทะ
“แกจะไปเหรอว่ะ”
สุรเดชกระซิบเสียงดังเอ่ยถามเทวัญที่ยืนกอดอกอยู่ โดยมีวิษณุยืนเซ้าซี้ให้ไปด้วยกัน ใจหนึ่งก็อยากจะปฏิเสธ แต่อยากจะสานต่อความสัมพันธ์กับผู้หญิงปากกล้าคนนั่นเหลือเกิน
รถกะบะขับมาจอดขนคนขึ้นรถ บุษบาถูกดันให้ไปนั่งหลัง ซึ่งมีสาวประเภทสองและชายที่ไม่ต้องชะตาอีกสองคนขึ้นมาด้วย การเป็นผู้หญิงคนเดียวบนหลังรถกะบะมันช่างทรมานเหลือเกิน เธอจึงเลือกที่จะยื่นหน้าโต้ลมไปจนถึงร้าน
เทวัญเหมือนคนบ้าที่คอยตามรังควาน นั่งตรงข้ามเพื่อหลอบสบตา เขาสนใจหรือว่าแกล้งแหย่ให้เธอโกรธกันแน่
เสียงโทรศัพท์ที่ดังในกระเป๋ากางเกงแย่งเอาเวลาของหมูที่กำลังจะสุกแล้วเป็นที่หมายตาขอบุษบาอยู่
“จ้า ว่าไง อ๋อ บุษกำลังกินอยู่ จูนไม่ต้องมารับก็ได้ เดี๋ยวบุษกลับบ้านเอง จ้าๆ ไม่ต้องเป็นห่วง อืม คืนนี้ค่อยคุยกันนะ เดี๋ยวคนอื่นแย่งหมูของบุษไปกิน จ้า” ระหว่างที่หญิงสาวกดวางสาย
เทวัญที่รู้ว่าเธอจ้องหมูชิ้นกำลังสุกพอดี ตะเกียบฝั่งตรงข้ามคีบหมูสุกชิ้นนั่นไป เกือบจะถึงจานของเขา รอยยิ้มของเขาดูเยาะเย้ย แล้วหมูชิ้นนั่นก็ลอยมาใส่จานของบุษบา
“ให้”
“แหว่ะ ไม่เอาหรอก นายคีบไปแล้วเอาไปกินเลย” ว่าแล้วหมูชิ้นเดิมก็ลอยมาอยู่บนจานของเขา หญิงสาวพลิกหมูชิ้นใหม่ที่สุกยังไม่เต็มที่ จุ่มน้ำจิ้มเข้าปากเคี้ยว ปากเรียวปิดไม่สนิท รู้สึกร้อนผ่าวพะงาบๆ จนไอร้อนออกมาจากปากของหญิงสาว
เทวัญหัวเราะในลำคอ ขำในสิ่งที่บุษบาทำ หมูชิ้นต่อไปคงไม่อร่อยสำหรับเธออีกแล้ว เพราะตลอดเวลามีแต่สายตากรุ้มกริ่มคอยจ้องมองดูเธอ
แล้วหมูชิ้นต่อไปก็ถูกลำเลียงขึ้นเตาย่าง รอจนกระทั่งสุกเขาก็เอาหมูชิ้นที่สุกไปวางแทนที่วางตรงหน้าของหญิงสาว เธอรู้ว่าเขากำลังเอาใจ หน้าแสนงอนเลิกที่จะรอชิ้นที่เธอเพิ่งเอาขึ้นไปวาง เป็นอยู่อย่างนี้จนเป็นที่สังเกตุของเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างสุรเดชและภัคคริชญ์ ทั้งสองมองหน้าซึ่งกันและกัน เลิกคิ้วสงสัยเพื่อนสนิทและหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม ภัคคริชญ์เองก็เหลียวมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไงน้องบุษ หมูไม่อร่อยหรือไง เห็นเลือกกินชิ้นโน้นชิ้นนี้ แล้วชิ้นนี้ล่ะ” เขาพูดพลางหยิบหมูที่สุกแล้วซึ่งเป็นฝีมือการวางย่างของเทวัญ
“อันนี้นะสุกแล้ว”
บุษบายิ้มแหยๆ อย่างเกรงใจคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างพี่ภัคคริชญ์ เธอต้องฝืนเอาน้ำจิ้มมาราดชิ้นหมูแล้วยกกลืนหายเข้าไปในปาก เพราะสายตาจับจ้องของภัคคริชญ์กำลังจ้องมองดูอยู่ทุกขณะ
“อร่อยไหม ชิ้นที่พี่คีบให้”
“อร่อยคะพี่ติ๊ก”
บุษบายิ้มให้ก่อนจะคีบชิ้นหมูที่สุกส่งคืนให้คนที่มีน้ำใจกลับไปสามชิ้น
“อันนี้ก็สุกแล้ว พี่ติ๊กกินบ้างนะคะ จะได้โตเร็วๆ”
ชายหนุ่มหัวเราะร่าเสียงดัง เพราะฤทธิ์ของหมูหรือฤทธิ์ของเบียร์กันแน่ แต่คงเป็นทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ เพราะกินเท่าไรก็เรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นเรื่อยๆ
กว่าสามทุ่มความสนุกบนเตาย่างก็จบลง
วิษณุอาสาขับรถไปส่งบุษบาที่บ้าน ญิงสาวเกี่ยงปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้ผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังรู้จักบ้านของเธอ ปัญหาข้างหน้ามันอาจทำให้แม่ปวดหัวก็ได้ เธอพยายามเลี่ยงแล้วแต่มันก็ไม่เป็นผล เพราะเสียงแข็งของพี่กงสินเสริมเข้ามาอีกคน ต้องปล่อยเลยตามเลย
“แม่ครับ ผมเอาน้องมาส่งครับ” พี่กงสินเดินลงมาส่งบุษบาถึงหน้าบ้าน หญิงสาวโบกมือให้แล้วปรี๊ดปร๊าดหายเข้าไปในตัวบ้านทันที บ้านของเธอหลังขนาดพอดีไม่เล็กไม่ใหญ่
เทวัญยิ้มมองรั้วบ้านของหญิงสาวจนสุดตา สุรเดชแซวเรื่องบ้านของศัตรูคู่อาฆาต เทวัญกระหยิ่มครึ้มใจอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจเขา ความคุ้นเคยเหมือนเคยผ่านหรือเคยรู้จักหมู่บ้านย่านแถวนี้
วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เทวัญออกเวรพอดี
รถกระบะยกสูงจอดไม่ห่างจากต้นซอยเท่าไร ใช่แล้ว เขามาดักรอดูพฤติกรรมของหญิงสาวในเช้าวันหยุดอีกวัน รอเพียงไม่นานรถคันเดิมที่เคยเป็นคู่กรณีก็ขับออกมาท่ามกลางบรรยากาศหนาวเหน็บอึมครึม เขาขับตามไปช้าๆ
“เอ๊ะ!! ทำไมออกมาเร็วกว่าที่พี่เขานัดเอาไว้ แล้วนั่นจะไปไหนล่ะ” คนสงสัยแอบเร่งเครื่อง เพื่อให้รถข้างหน้าอยู่ในสายตา อย่างน้อยจะได้รู้ว่าไปไหนยามรุ่งสางขนาดนี้ ขับไปไม่ไกลชายหนุ่มในรถกระบะก็พอจะรู้เป้าหมายของหญิงสาว
ตลาดสดบิ๊กวันนั่นเอง
เขาชะลอเข้าซองจอดก่อนถึงทางเข้าตลาด ก้มลงมองดูนาฬิกา เงยหน้ากวาดมองไปรอบๆ สิ่งที่เขาคิดว่าจะโผล่มา ทันทีก็แล่นมา ข้างหน้าเป็นรถเชฟตัวใหม่ขับมาจอดด้านหน้าที่เป็นตึกทรงเตี้ยคล้ายกล่องติดแอร์ ชายวัยกลางคนเดินลงพร้อมพลขับที่มีวัยใกล้เคียง เทวัญเปิดประตูลงมาหลังจากที่ชายวัยกลางคนทั้งสองเดินหายเข้าไปในตลาด เขาตามไปช้าๆ
สรยุทธเจ้าของตลาดสดบิ๊กวันขยับแว่น ระมัดระวังการก้าวย่างด้วยอายุที่มากขึ้นและร่างกายที่ล้าถอยเชื่องช้า พื้นปูนเฉอะแฉะจากน้ำที่แม่ค้าเจ้าของแผงปลาทำความสะอาดเพิ่งเสร็จไปหมาดๆ สรยุทธตะโกนบอกให้จัดการเก็บกวาดน้ำนองตามพื้นให้เรียบร้อย อย่างน้อยก็เป็นตลาดที่ติดดาวได้รับรางวัลมาหลายปีซ้อน เขาจึงต้องเข้มงวดนิดหน่อย อะไรที่พอจะอะลุ่มอล่วยออมชอมกันได้ก็จัดว่าเขาเป็นคนมีเหตุมีผลพอสมควร เงินบาทเดียวก็ไม่ยอมให้หลุดออกจากกระเป๋า พ่อค้าแม่ค้าต่างก็ยังให้ความเคารพและนับถือสรยุทธ
“เออๆ หวัดดีๆ เป็นไงขายของดีไหม” สรยุทธเอ่ยถามเจ้าของแผงดอกไม้ที่ใกล้เทศกาลลอยกระทง ในอีกไม่ถึงอาทิตย์
“ก็เรื่อยนะครับ วันนี้คุณยุทธมาตลาดเองเลยหรือครับ”
“อืม พอดีนัดกรรมการตลาดมาคุยสักหน่อย กะว่าต้นปีหน้าจะส่งตลาดเข้าประกวดอีกสักปี สงสัยต้องรบกวนเฮียอีกตามเคย” สรยุทธพูดถึงการประกวดตลาดสดน่าซื้อระดับจังหวัด บิ๊กวันเป็นตลาดสดที่ได้รางวัลที่หนึ่งมาสี่ปีซ้อน และปีหน้าก็เป็นที่คาดหวังอีกเช่นเคย
“ได้เลยครับคุณยุทธ พวกเราพร้อมเป็นกำลังสำคัญให้ตลาดครับ เพราะตลาดดี พวกเราก็ขายดีตามไปด้วย”
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะรางวัล คือ สิ่งที่การันตีความมุมานะอดทน เพียรพยายามก่อร่างสร้างตัวที่เคยเปล่าเปลือยจนกลายเป็นคนมีชื่อเสียงระดับจังหวัด และอีกไม่นานอาจจะดังระดับประเทศก็ได้ ความเป็นคนมีชื่อเสียงจึงกลายเป็นที่สนใจของทุกคน
สรยุทธ์ทักเจ้าของแฝงแทบจนครบทุกแผงอย่างเป็นกันเอง
“เต็มๆ”
สรยุทธ์เอ่ยเรียกพลขับและเป็นคนรับใช้อยู่คู่กันมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มๆ อีกคนเดินเร็วขึ้นตามเสียงเรียก
“เต็ม แกเอานี่ไปให้นังเดือนมันหน่อย...แม่ค้าแผงผลไม้ตรงทางออกโน้น” เขาหยิบซองสีขาว เต็มรีบไปหา และกลับมาโดยบอกแค่ว่าเจ้านายให้เอามาให้
“เขาพูดว่าอะไรไหม?” ชายกลางคนเลิกคิ้วที่แซมด้วยสีดอกเลา เต็มส่ายหน้า ทำให้เขาต้องเดินต่อไปอีกนิด
บุษบาหลงไฟ (4.แต่นี่มันธุระของผม!!)
ระหว่างที่ทุกคนกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารมื้อกลางวัน
สุรเดชส่งเสียงมาแต่ไกล พวกพี่ๆ เชื้อเชิญให้เข้ามาร่วมวงด้วยกัน สุรเดชไม่รอช้าเพราะอาหารฟรีก็เป็นที่โปรดปรานของเขา อีกอย่างมีเพื่อนนำร่องอยู่ก่อนแล้ว
สุรเดชตอบแทนรสชาติของอาหารด้วยการออกแรงช่วยกงสินต่อโครงสร้างของรถบุปผชาติ ตลอดเวลาบุษบารู้ว่าทั้งสองแอบมองและแซวผ่านสายตาตลอดเวลา ก่อกวนสมาธิของหญิงสาว จนคล้อยบ่าย แดดเริ่มลามเลียเข้ามาทำให้เม็ดเหงื่อผุดง่ายขึ้น เธอจัดการยกม้วนผ้าหลากสีสันมากองวางเรียงราย เพราะนี่เป็นการทำรถบุปผชาติเป็นครั้งแรก
อดีตตอนที่บุษบายังเด็ก งานประเพณีลอยกระทงทีไร บุษบามักจะไปดักรอตามจุดที่เทศบาลจัดเตรียมเอาไว้ให้ ประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจยืนชะเง้อดูความตื่นตาตื่นใจ ความอลังการของรถบุปผชาติเคลื่อนไปช้าๆ บนรถมีกระทงขนาดยักษ์
และอีกหลายขบวนที่สวยงามไม่แพ้กัน คนร่วมขบวนเองก็จัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผม นานๆ ครั้งที่จะมีงานประเพณีอันยิ่งใหญ่แบบนี้ มีผู้หญิงคนไหนๆ บางจะยอมให้คนอื่นสวยกว่า ก็ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องประเคนชุดใหญ่ให้สวยครบครัน เมื่อแข่งกัน ทุกคนก็เลยดูสวยไปหมด
แดดแรงๆ เริ่มหมดฤทธิ์ กระจายความเย็นเข้ามาแทนที่ กงสินเห็นว่าทุกคนเหน็ดเหนื่อยช่วยเหลืองาน ก็ออกปากชักชวนคนช่วยงานให้ไปผ่อนคลายที่ร้านหมูกะทะ
“แกจะไปเหรอว่ะ”
สุรเดชกระซิบเสียงดังเอ่ยถามเทวัญที่ยืนกอดอกอยู่ โดยมีวิษณุยืนเซ้าซี้ให้ไปด้วยกัน ใจหนึ่งก็อยากจะปฏิเสธ แต่อยากจะสานต่อความสัมพันธ์กับผู้หญิงปากกล้าคนนั่นเหลือเกิน
รถกะบะขับมาจอดขนคนขึ้นรถ บุษบาถูกดันให้ไปนั่งหลัง ซึ่งมีสาวประเภทสองและชายที่ไม่ต้องชะตาอีกสองคนขึ้นมาด้วย การเป็นผู้หญิงคนเดียวบนหลังรถกะบะมันช่างทรมานเหลือเกิน เธอจึงเลือกที่จะยื่นหน้าโต้ลมไปจนถึงร้าน
เทวัญเหมือนคนบ้าที่คอยตามรังควาน นั่งตรงข้ามเพื่อหลอบสบตา เขาสนใจหรือว่าแกล้งแหย่ให้เธอโกรธกันแน่
เสียงโทรศัพท์ที่ดังในกระเป๋ากางเกงแย่งเอาเวลาของหมูที่กำลังจะสุกแล้วเป็นที่หมายตาขอบุษบาอยู่
“จ้า ว่าไง อ๋อ บุษกำลังกินอยู่ จูนไม่ต้องมารับก็ได้ เดี๋ยวบุษกลับบ้านเอง จ้าๆ ไม่ต้องเป็นห่วง อืม คืนนี้ค่อยคุยกันนะ เดี๋ยวคนอื่นแย่งหมูของบุษไปกิน จ้า” ระหว่างที่หญิงสาวกดวางสาย
เทวัญที่รู้ว่าเธอจ้องหมูชิ้นกำลังสุกพอดี ตะเกียบฝั่งตรงข้ามคีบหมูสุกชิ้นนั่นไป เกือบจะถึงจานของเขา รอยยิ้มของเขาดูเยาะเย้ย แล้วหมูชิ้นนั่นก็ลอยมาใส่จานของบุษบา
“ให้”
“แหว่ะ ไม่เอาหรอก นายคีบไปแล้วเอาไปกินเลย” ว่าแล้วหมูชิ้นเดิมก็ลอยมาอยู่บนจานของเขา หญิงสาวพลิกหมูชิ้นใหม่ที่สุกยังไม่เต็มที่ จุ่มน้ำจิ้มเข้าปากเคี้ยว ปากเรียวปิดไม่สนิท รู้สึกร้อนผ่าวพะงาบๆ จนไอร้อนออกมาจากปากของหญิงสาว
เทวัญหัวเราะในลำคอ ขำในสิ่งที่บุษบาทำ หมูชิ้นต่อไปคงไม่อร่อยสำหรับเธออีกแล้ว เพราะตลอดเวลามีแต่สายตากรุ้มกริ่มคอยจ้องมองดูเธอ
แล้วหมูชิ้นต่อไปก็ถูกลำเลียงขึ้นเตาย่าง รอจนกระทั่งสุกเขาก็เอาหมูชิ้นที่สุกไปวางแทนที่วางตรงหน้าของหญิงสาว เธอรู้ว่าเขากำลังเอาใจ หน้าแสนงอนเลิกที่จะรอชิ้นที่เธอเพิ่งเอาขึ้นไปวาง เป็นอยู่อย่างนี้จนเป็นที่สังเกตุของเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างสุรเดชและภัคคริชญ์ ทั้งสองมองหน้าซึ่งกันและกัน เลิกคิ้วสงสัยเพื่อนสนิทและหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม ภัคคริชญ์เองก็เหลียวมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไงน้องบุษ หมูไม่อร่อยหรือไง เห็นเลือกกินชิ้นโน้นชิ้นนี้ แล้วชิ้นนี้ล่ะ” เขาพูดพลางหยิบหมูที่สุกแล้วซึ่งเป็นฝีมือการวางย่างของเทวัญ
“อันนี้นะสุกแล้ว”
บุษบายิ้มแหยๆ อย่างเกรงใจคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างพี่ภัคคริชญ์ เธอต้องฝืนเอาน้ำจิ้มมาราดชิ้นหมูแล้วยกกลืนหายเข้าไปในปาก เพราะสายตาจับจ้องของภัคคริชญ์กำลังจ้องมองดูอยู่ทุกขณะ
“อร่อยไหม ชิ้นที่พี่คีบให้”
“อร่อยคะพี่ติ๊ก”
บุษบายิ้มให้ก่อนจะคีบชิ้นหมูที่สุกส่งคืนให้คนที่มีน้ำใจกลับไปสามชิ้น
“อันนี้ก็สุกแล้ว พี่ติ๊กกินบ้างนะคะ จะได้โตเร็วๆ”
ชายหนุ่มหัวเราะร่าเสียงดัง เพราะฤทธิ์ของหมูหรือฤทธิ์ของเบียร์กันแน่ แต่คงเป็นทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ เพราะกินเท่าไรก็เรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นเรื่อยๆ
กว่าสามทุ่มความสนุกบนเตาย่างก็จบลง
วิษณุอาสาขับรถไปส่งบุษบาที่บ้าน ญิงสาวเกี่ยงปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้ผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังรู้จักบ้านของเธอ ปัญหาข้างหน้ามันอาจทำให้แม่ปวดหัวก็ได้ เธอพยายามเลี่ยงแล้วแต่มันก็ไม่เป็นผล เพราะเสียงแข็งของพี่กงสินเสริมเข้ามาอีกคน ต้องปล่อยเลยตามเลย
“แม่ครับ ผมเอาน้องมาส่งครับ” พี่กงสินเดินลงมาส่งบุษบาถึงหน้าบ้าน หญิงสาวโบกมือให้แล้วปรี๊ดปร๊าดหายเข้าไปในตัวบ้านทันที บ้านของเธอหลังขนาดพอดีไม่เล็กไม่ใหญ่
เทวัญยิ้มมองรั้วบ้านของหญิงสาวจนสุดตา สุรเดชแซวเรื่องบ้านของศัตรูคู่อาฆาต เทวัญกระหยิ่มครึ้มใจอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจเขา ความคุ้นเคยเหมือนเคยผ่านหรือเคยรู้จักหมู่บ้านย่านแถวนี้
วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เทวัญออกเวรพอดี
รถกระบะยกสูงจอดไม่ห่างจากต้นซอยเท่าไร ใช่แล้ว เขามาดักรอดูพฤติกรรมของหญิงสาวในเช้าวันหยุดอีกวัน รอเพียงไม่นานรถคันเดิมที่เคยเป็นคู่กรณีก็ขับออกมาท่ามกลางบรรยากาศหนาวเหน็บอึมครึม เขาขับตามไปช้าๆ
“เอ๊ะ!! ทำไมออกมาเร็วกว่าที่พี่เขานัดเอาไว้ แล้วนั่นจะไปไหนล่ะ” คนสงสัยแอบเร่งเครื่อง เพื่อให้รถข้างหน้าอยู่ในสายตา อย่างน้อยจะได้รู้ว่าไปไหนยามรุ่งสางขนาดนี้ ขับไปไม่ไกลชายหนุ่มในรถกระบะก็พอจะรู้เป้าหมายของหญิงสาว
ตลาดสดบิ๊กวันนั่นเอง
เขาชะลอเข้าซองจอดก่อนถึงทางเข้าตลาด ก้มลงมองดูนาฬิกา เงยหน้ากวาดมองไปรอบๆ สิ่งที่เขาคิดว่าจะโผล่มา ทันทีก็แล่นมา ข้างหน้าเป็นรถเชฟตัวใหม่ขับมาจอดด้านหน้าที่เป็นตึกทรงเตี้ยคล้ายกล่องติดแอร์ ชายวัยกลางคนเดินลงพร้อมพลขับที่มีวัยใกล้เคียง เทวัญเปิดประตูลงมาหลังจากที่ชายวัยกลางคนทั้งสองเดินหายเข้าไปในตลาด เขาตามไปช้าๆ
สรยุทธเจ้าของตลาดสดบิ๊กวันขยับแว่น ระมัดระวังการก้าวย่างด้วยอายุที่มากขึ้นและร่างกายที่ล้าถอยเชื่องช้า พื้นปูนเฉอะแฉะจากน้ำที่แม่ค้าเจ้าของแผงปลาทำความสะอาดเพิ่งเสร็จไปหมาดๆ สรยุทธตะโกนบอกให้จัดการเก็บกวาดน้ำนองตามพื้นให้เรียบร้อย อย่างน้อยก็เป็นตลาดที่ติดดาวได้รับรางวัลมาหลายปีซ้อน เขาจึงต้องเข้มงวดนิดหน่อย อะไรที่พอจะอะลุ่มอล่วยออมชอมกันได้ก็จัดว่าเขาเป็นคนมีเหตุมีผลพอสมควร เงินบาทเดียวก็ไม่ยอมให้หลุดออกจากกระเป๋า พ่อค้าแม่ค้าต่างก็ยังให้ความเคารพและนับถือสรยุทธ
“เออๆ หวัดดีๆ เป็นไงขายของดีไหม” สรยุทธเอ่ยถามเจ้าของแผงดอกไม้ที่ใกล้เทศกาลลอยกระทง ในอีกไม่ถึงอาทิตย์
“ก็เรื่อยนะครับ วันนี้คุณยุทธมาตลาดเองเลยหรือครับ”
“อืม พอดีนัดกรรมการตลาดมาคุยสักหน่อย กะว่าต้นปีหน้าจะส่งตลาดเข้าประกวดอีกสักปี สงสัยต้องรบกวนเฮียอีกตามเคย” สรยุทธพูดถึงการประกวดตลาดสดน่าซื้อระดับจังหวัด บิ๊กวันเป็นตลาดสดที่ได้รางวัลที่หนึ่งมาสี่ปีซ้อน และปีหน้าก็เป็นที่คาดหวังอีกเช่นเคย
“ได้เลยครับคุณยุทธ พวกเราพร้อมเป็นกำลังสำคัญให้ตลาดครับ เพราะตลาดดี พวกเราก็ขายดีตามไปด้วย”
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะรางวัล คือ สิ่งที่การันตีความมุมานะอดทน เพียรพยายามก่อร่างสร้างตัวที่เคยเปล่าเปลือยจนกลายเป็นคนมีชื่อเสียงระดับจังหวัด และอีกไม่นานอาจจะดังระดับประเทศก็ได้ ความเป็นคนมีชื่อเสียงจึงกลายเป็นที่สนใจของทุกคน
สรยุทธ์ทักเจ้าของแฝงแทบจนครบทุกแผงอย่างเป็นกันเอง
“เต็มๆ”
สรยุทธ์เอ่ยเรียกพลขับและเป็นคนรับใช้อยู่คู่กันมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มๆ อีกคนเดินเร็วขึ้นตามเสียงเรียก
“เต็ม แกเอานี่ไปให้นังเดือนมันหน่อย...แม่ค้าแผงผลไม้ตรงทางออกโน้น” เขาหยิบซองสีขาว เต็มรีบไปหา และกลับมาโดยบอกแค่ว่าเจ้านายให้เอามาให้
“เขาพูดว่าอะไรไหม?” ชายกลางคนเลิกคิ้วที่แซมด้วยสีดอกเลา เต็มส่ายหน้า ทำให้เขาต้องเดินต่อไปอีกนิด