'เจ๊เพ็ญ'ค้านนิรโทษกรรมยกเข่ง ผวาคนเสื้อแดงเข้าข้างศัตรู

20 ต.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และคดีลักลอบดักฟังโทรศัพท์ หลบหนีไปซ่อนตัวในต่างประเทศ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คแสดงความไม่เห็นด้วยกรณีที่กรรมาธิการเสียงข้างมากมีมติให้คำแปรญัตติของนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ส.ส.มหาสารคม พรรคเพื่อไทย ในมาตรา 3 ชนะ ซึ่งมีผลทำให้คดีทุกคดีตั้งแต่รัฐประหาร 19 ก.ย.49 เป็นต้นมาได้รับการนิรโทษกรรมทั้งหมด รวมไปถึงคดีจองพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษชายต้องคำพิพากษาศาลจำคุก 2 ปีคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลจะต้องคืนเงินกว่า 4.6 หมื่นล้านบาทที่ศาลพิพากษายึดทรัพย์เป็นของหลวงตั้งแต่ปี 2551แห่พ.ต.ท.ทักษิณด้วย

นายจักรภพ ระบุว่า ทุกๆ คนอยากเห็นความขัดแย้งในประเทศจบสิ้นลง เพื่อให้บ้านเมืองจะได้ก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจภูมิภาคและระหว่างประเทศอย่างเต็มที่ แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศกำลังเรียกร้องหาความถูกต้องเป็นธรรม และมาตรฐานที่เท่าเทียมกันอย่างประชาธิปไตย ไม่ใช่การเขียนบทจบแบบละครที่เจ้าของสถานีและสปอนเซอร์ละครอยากให้จบ เพื่อให้เลิกแล้วต่อกันไป

“อย่าลืมเป็นอันขาดว่า การลดค่าของประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยฝ่ายประชาชน คือยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายตรงข้ามเขาใช้เตะตัดขาไม่ให้ระบอบประชาธิปไตยเมืองไทยเสถียรได้มาตลอด คำถามคือแนวคิดนิรโทษกรรมยกเข่งหรือทั้งยวง คือ คลื่นสึนามิที่ไหลบ่าเข้ามาท่วมหลักฐานแห่งความผิดและการทำลายประชาธิปไตยของฝ่ายตรงข้ามไปด้วยหรือไม่ ถ้ามีลักษณะอย่างที่ว่านั้น แทนที่เรื่องนี้จะเป็นตอนอวสาน จะกลับเป็นบทที่หนึ่งของการต่อสู้ครั้งใหม่ ที่มิตรอาจกลายเป็นศัตรูไปได้ง่ายๆ”

ข้อความที่นายจักรภพโพสต์ลงเฟซบุ๊ค
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%9E-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%8D%E0%B9%81%E0%B8%82-Jakrapob-Penkair/560398830659767?ref=profile

อย่าทรยศต่ออดีตและอนาคต
เมื่อทราบว่าเขาจะเสนอให้นิรโทษกรรม (ทำให้ความผิดหมดไป หรือเป็นโมฆะ) กันทั้งยวง ใน “ความผิด” ทางการเมืองตั้งแต่การรัฐประหาร พ.ศ.๒๕๔๙ เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงการปราบปรามประชาชนรอบบริเวณราชประสงค์เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ผมก็เกิดความกังวลใจขึ้นมาอีก ใจผมก็ไม่ได้แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ที่อยากเห็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานนี้จบสิ้นลง เพื่อให้ทุกฝ่ายมีปกติสุขและบ้านเมืองจะได้ก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจภูมิภาคและระหว่างประเทศอย่างเต็มสูบได้ แต่ใจข้างที่ใหญ่กว่ากลับบอกตัวเองว่า วันนี้มวลชนประชาธิปไตย ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศกำลังเรียกร้องหาความถูกต้องเป็นธรรม และมาตรฐานที่เท่าเทียมกันอย่างประชาธิปไตย ไม่ใช่การเขียนบทจบแบบละครที่เจ้าของสถานีและสปอนเซอร์ละครอยากให้จบ เพื่อให้เลิกแล้วต่อกันไป ราวกับว่าทุกคนคือเด็กเล็กๆ ที่เข้ามาวิ่งกรูเกรียวสร้างความวุ่นวาย เมื่อผู้ใหญ่เข้ามาเทศนาสั่งสอนและสั่งให้เข้าบ้าน ก็จบลงง่ายอย่างดาย ราวกับว่าสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงเกมขู่กรรโชก (blackmailing) ที่คนทำไม่ได้คิดเอาจริง แค่ต้องการสำแดงพลังให้ฝ่ายตรงข้ามรู้เท่านั้นว่าถ้าไม่ยอมแล้วจะเกิดอะไรขึ้น มิได้ยาวไกลไปถึงการสร้างบรรทัดฐานและมาตรฐานใหม่ในการพัฒนาประชาธิปไตยเลย

ช่วงปีหลังๆ มีหนังสือเกี่ยวกับประชาธิปไตยไทยที่ค้นคว้าอย่างเป็นระบบและแต่งดีมาให้เราได้อ่านกันมากขึ้น ผมได้อ่านเกือบทุกเล่ม และบางเล่มก็ยังใช้เป็นหนังสืออ้างอิงในการพูดและเขียนอยู่เสมอ ท่านที่อ่านอย่างผมคงจะคิดคล้ายกันว่า การขัดขวางระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นในสังคมไทยมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ และย้อนกลับไปได้ถึง ร.ศ.๑๓๐ ที่ถูกเรียกว่าเป็น “กบฏ” เวลาที่ผ่านมาถึง ๑๐๑ ปี (ร.ศ.๑๓๐ แปลงเป็นพุทธศักราชคือ พ.ศ.๒๔๕๕) ชนชั้นนำในเมืองไทยไม่เคยเปลี่ยนทัศนะและพฤติกรรมมาในทางสนับสนุนสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมกันทางกฎหมายในสังคมไทยเลย การยอมรับว่าประชาชนเป็นเจ้าของรัฐไทยไม่เคยปรากฏ เพียงแค่แปลงความคิดและความเชื่ออันล้าหลังโบร่ำโบราณในลักษณะเอาของเก่าเวียนมาใช้ใหม่ (recycling) เท่านั้นเอง

ประชาธิปไตยจึงเป็นนวัตกรรมจำเป็นของอารยธรรมมนุษย์ที่ชนชั้นนำไทยมองว่าเป็นของปลอมหรือเป็นส่วนเกิน และทำทุกวิถีทางที่จะลดความหมาย ความผูกพัน ความสำคัญ และบิดเบือนฐานะทางประวัติศาสตร์ของการต่อสู้เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยลงอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง (หนังสือเล่มล่าสุดของ ดร.ณัฐพล ใจจริง ซึ่งมีชื่อว่า “ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อฯ” ได้ลำดับความอย่างละเอียดและเป็นระบบยิ่งเกี่ยวกับขบวนการขัดขวางประชาธิปไตยในห้วง ๒๕ ปีแรกของการเปลี่ยนการปกครอง) ถ้าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไม่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และพร้อมจะช่วยเขาผลักการต่อสู้ครั้งสำคัญๆ ของฝ่ายประชาชนให้เหลือความสำคัญเพียงเรื่องที่เล่าสู่กันฟัง หรือเชิงอรรถในงานวิชาการด้านประชาธิปไตย เช่นเดียวกับวีรกรรม ๒ ครั้งในปี พ.ศ.๒๕๕๓ (ทั้งวันที่ ๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม) ซึ่งมีความหมายไม่ต่ำกว่าการลุกฮือของฝ่ายประชาชน ก็เท่ากับเรามีส่วนร่วมในขบวนการของฝ่ายเขาโดยปริยาย

อย่าลืมเป็นอันขาดว่า การลดค่าของประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยฝ่ายประชาชน คือยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายตรงข้ามเขาใช้เตะตัดขาไม่ให้ระบอบประชาธิปไตยเมืองไทยเสถียรได้มาตลอด คำถามคือแนวคิดนิรโทษกรรมยกเข่งหรือทั้งยวง ซึ่งเป็นการเขียนบทจบในหนังสือได้รวดเร็วทันใจวัยรุ่น แต่อาจจะไม่จบจริงนั้น คือคลื่นสึนามิที่ไหลบ่าเข้ามาท่วมหลักฐานแห่งความผิดและการทำลายประชาธิปไตยของฝ่ายตรงข้ามไปด้วยหรือไม่ ถ้ามีลักษณะอย่างที่ว่านั้น แทนที่เรื่องนี้จะเป็นตอนอวสาน จะกลับเป็นบทที่หนึ่งของการต่อสู้ครั้งใหม่ ที่มิตรอาจกลายเป็นศัตรูไปได้ง่ายๆ ถึงตอนนั้นเครือข่ายศัตรูเดิมก็จะฝังตัวลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งในการต่อสู้ขัดขวางระบอบประชาชน โดยอาศัยความขัดแย้งระหว่างฝ่ายที่ยอมรับประชาธิปไตยแบบจำกัดและฝ่ายที่เรียกร้องต้องการประชาธิปไตยแบบสุดทาง มาเป็นเครื่องมือที่สำคัญของเขา

เราทุกคนอยากให้เรื่องจบ แต่ถ้าจบอย่างไร้ความหมายและทิ้งไว้แต่ความรู้สึกอ้างว้าง ไม่รู้จะเอาอะไรไปสอนลูกหลานในรุ่นต่อๆ ไปได้ ก็อย่าเพิ่งจบ เพราะจะเท่ากับเราเอาความสุขของปัจจุบัน ไปอยู่เหนือคุณค่าแห่งอดีตและโอกาสแห่งอนาคต เหนื่อยมามากแล้วก็อึดกันต่อไปอีกสักนิดเถอะครับ ฝ่ายเขามาไม้อ่อนก็เพราะเขาอ่อนแอลง ไม่ใช่เพราะเขายอมรับนับถือฝ่ายประชาชนหรือเปลี่ยนใจใดๆ เราควรยืนระยะสุดท้ายก่อนเข้าโค้งประชาธิปไตยไว้ให้จงดี อย่าแวะเข้าข้างทางทั้งๆ ที่เห็นปลายทางอยู่รำไรแล้วเลยครับ

http://www.ryt9.com/s/nnd/1759701
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่